‘เสธ.อ้าย’กับมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล

‘เสธ.อ้าย’กับมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล

‘เสธ.อ้าย’กับมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล

‘เสธ.อ้าย’กับมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา

               ใกล้วันนัดหมายชุมนุมใหญ่ของกลุ่มที่เรียกว่า “องค์การพิทักษ์สยาม” วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม ที่สนามม้านางเลิ้ง ก็ยิ่งสร้างความหวาดหวั่นปั่นป่วน

“เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1 (ตท.1) รุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี คือผู้ที่ประกาศนำการชุมนุม

แล้วก็พูดชัดเจนว่า เนื้อหาการปราศรัยในที่ชุมนุมเมื่อได้ฟังแล้วจะทำให้ “กองทัพ” ตัดสินใจได้

1.ปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบัน โดยไม่มีการเอาผิดใน 1 ปีและปล่อยให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น

2.เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ ซึ่งให้คนอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าดูถูกประชาชนคนไทยมาก

และ 3.ปล่อยให้มีการทุจริตหลายโครงการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น โครงการรับจำนำข้าว ที่ขาดทุนปีละแสนล้านแต่กลับไม่ทำอะไร

 เสธ.อ้าย พูดตรงไปตรงมาประสาชายชาติทหารว่า มีการพูดคุยเรื่องปฏิวัติกันจริง และสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นสมัยก่อน มีกำลังอยู่ในมือปฏิวัติไปแล้ว

มีคำถามว่า เสธ.อ้าย เอาอะไรมาสร้างความมั่นใจว่า การชุมนุมครั้งนี้จะนำไปสูการโค่นล้มรัฐบาล ทั้งในแง่ของมวลชน หรือในแง่ของการลุกฮือของนายทหารในกองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐบาลที่เสธ.อ้าย เรียกว่า “หุ่นเชิดของทักษิณ”

สถานการณ์ก่อนที่จะเปิดศึกซักฟอกเช่นนี้มันง่ายมากที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะกล่าวหาว่า เสธ.อ้ายรับงานจากพรรคฝ่ายค้านเปิดแผลเพื่อกรุยทางไปสู่ศึกในสภา

ขณะเดียวกัน เนื้อหาในการชุมนุม แม้จะมั่นใจว่า น่าจะมีคนไปร่วม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมากมายจนมืดฟ้ามัวดิน จนทำให้ภารกิจขับไล่รัฐบาลบรรลุภารกิจได้อย่างรวดเร็ว

แม้กระทั่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังออกปากไม่เอาด้วย เพราะเกรงว่าผลออกมาจะกลายเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่รัฐบาล

จะมีก็แต่กลุ่มสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศกเท่านั้น ที่ประกาศชัดว่าร่วมด้วยช่วยกัน

มุมมองจากหน่วยงานด้านความมั่นคงนั้น ยังคงให้น้ำหนักว่า จำนวนคนและแผนจะเป็นตัวชี้วัด ที่ไม่เพียงการวัดความแข็งแกร่งของฝ่ายไม่เอารัฐบาลเท่านั้น ยังเป็นการชี้วัดมวลชนคนเสื้อแดงที่ยังเอาอยู่กับทักษิณ

เพราะมีการประเมินแล้วว่า วันนี้ไม่เหมือนช่วงปี 2553-2554 ที่มวลชนเสื้อแดงของทักษิณแข็งแกร่งจนยากที่ใครจะเจาะหรือขวางทางได้

แต่วันนี้ไม่ใช่ !

“บำเหน็จ” ที่มอบให้แก่แกนนำทั้งหลายกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่แม้แต่คนไกลเองก็ยังไม่มั่นใจว่า เมื่อเป่านกหวีดแล้วจะได้สักครึ่งหนึ่งของปี 2553 หรือไม่

โชคลาภที่พรั่งพรูลงมาราวกับเม็ดฝนในช่วงฤดูมรสุมนำมาซึ่งความอ่อนแอของขุนพล

สิ่งที่เกิดขึ้นบรรดานายทหารระดับ “ผู้บังคับการกรม” ระดับ “ผู้บังคับกองพัน” ที่เจ็บปวดเมื่อเมษายน 2553 จากการต่อสู้ที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ไร้แม้เศษเสี้ยวของคำว่า “ลูกผู้ชาย” เพราะยิงฝ่ายตรงกันข้ามทั้งที่รู้ว่าไม่มีอาวุธ ยิงกระทั่งประชาชนคนที่มาร่วมชุมนุมยังคงบาดลึกในใจ ในวันนี้ต่างก็รับรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับมวลชนคนเสื้อแดง

ถึงจะรู้ว่า ในวันนี้ “คนไกล” จะหวาดหวั่นกับการยึดอำนาจ และการยึดอำนาจก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ปัญหาคือ หากยึดแล้วทำอย่างไรถึงจะไม่ย่ำรอยของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดแล้วจะทำอย่างไรต่อ ยึดแล้วจะตั้งเข็มทิศให้ประเทศที่กำลังอยู่ในสภาพที่ใกล้พังพาบนี้ได้อย่างไร

แต่ถึงกระนั้นความหวาดหวั่นของรัฐบาลก็ได้แสดงออกผ่านการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่บอกว่าจะเดินทางไปพบ เสธ.อ้าย พร้อมกับสาธยายสายสัมพันธ์เก่าก่อนว่าลึกซึ้งกันมาอย่างไร…ราวกับให้คิดถึงเยื่อใยมากกว่าสิ่งที่ เสธ.อ้าย กำลังจะทำอย่างไรอย่างนั้น

สำหรับการชุมนุมของกลุ่ม “องค์การพิทักษ์สยาม” ครั้งนี้หลายคนคงจะให้น้ำหนักไปที่จำนวนมวลชนที่จะมาร่วมชุมนุม หากแต่ในมวลหมู่นักรบระดับเสนาธิการแล้ว “คน” อาจเป็นเพียงส่วนประกอบของ “แผน” เท่านั้น

“ไม่มีหรอกปฏิวัติประชาชน”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะจำได้ดีว่าใครเป็นเจ้าของคำพูดคำนี้

………………..

(หมายเหตุ : ‘เสธ.อ้าย’กับมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา)

‘เพรียวพันธ์-จารุพงศ์’สายตรงทั้งคู่!

‘เพรียวพันธ์-จารุพงศ์’สายตรงทั้งคู่!

‘เพรียวพันธ์-จารุพงศ์’สายตรงทั้งคู่!

‘เพรียวพันธ์-จารุพงศ์’สายตรงทั้งคู่! : ขยายปมร้อนโดยสมถวิล เทพสวัสดิ์

              แม้ว่าข่าวการประชุมวิสามัญของพรรคเพื่อไทย เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ จะไม่คึกคัก เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่า ท้ายที่สุดอำนาจการตัดสินใจสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่ “คณะกรรมการบริหารพรรค” แต่อยู่ที่ผู้มีบารมีนอกประเทศ

แต่ก็เชื่อว่า หลายคนยังให้ความสนใจผู้ที่จะมานั่งในตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” เพราะอย่างน้อยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง

ผู้ที่ได้การคาดคะเนและมีชื่อปรากฏตามหน้าสื่อต่างๆ มีหลายคน เนื่องจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้พ้นโทษแบรนด์ทางการเมือง ทำให้ “พรรคเพื่อไทย” ในครั้งนี้มีบุคลากรที่มีความสามารถและได้รับการเสนอชื่อหลายคน ตั้งแต่ “จาตุรนต์ ฉายแสง, ภูมิธรรม เวชยชัย, จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ, พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดามาพงศ์”

โดยเฉพาะ “จาตุรนต์-ภูมิธรรม-จารุพงศ์” ได้แรงสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อแดงค่อนข้างมาก

แต่การคัดเลือกครั้งนี้มีเสียงจากสมาชิกเกือบ 300 เสียง ประกอบด้วยเสียงจาก “รัฐมนตรี-ส.ส.และตัวแทนสาขาพรรคทั่วประเทศ”

ดังนั้นหากไม่มี “ใบสั่ง” เชื่อว่าคะแนนเสียงแต่ละคนน่าจะมีเสียงแตกต่างกันไป

โดยในการประชุม ส.ส.ของพรรคในวันอังคารที่ 23 ตุลาคมนี้ จะเป็นการประชุมเพื่อแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับวาระการเลือก “คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่” ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้

ซึ่งในการประชุมจะมีการเสนอชื่อสมาชิกเพื่อชิงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” โดยมีผู้รับรองอย่างน้อย 5 คน หากผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ประสงค์จะเข้าชิงตำแหน่งสามารถขอถอนตัวได้

สำหรับคุณสมบัติของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยถูกมองว่าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านการเมือง เพราะส่วนใหญ่น่าจะมาทำหน้าที่ด้าน “ธุรกรรม” ให้แก่พรรคมากว่างานด้านการเมือง

เหมือนกับสมัยที่ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มารับตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ครั้งแรก ภารกิจส่วนใหญ่เน้นงานด้านเอกสาร ไม่เกี่ยวกับงานบริหารการเมืองภายในพรรค

การเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ผู้ที่จะมานั่งในคณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกมองไม่ต่างกัน

โดยเฉพาะเมื่อมีกระแสข่าวก่อนประชุมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคเลือก 1 วัน คือวันที่ 29 ตุลาคมนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาที่ฮ่องกง จึงถูกมองว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการประชุมในครั้งนี้ด้วย

ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย มองว่า ผู้ที่เหมาะจะมาเป็นหัวหน้าพรรคในสถานการณ์ปัจจุบันต้องสามารถประสานกับทุกฝ่ายได้ ทั้งภายในพรรคและนอกพรรค มีภาวะการนำพาพรรค และสร้างสรรค์ประเทศให้ดีขึ้น

“การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีใบสั่งจากคุณทักษิณ กรรมการบริหารพรรคเป็นตัวจริงทั้งหมด ถ้ามีใบสั่งจากคุณทักษิณป่านนี้คณะรัฐมนตรีปรับเป็น 10 ตำแหน่งแล้ว เพราะที่ผ่านมามีแต่ข่าวว่าคุณทักษิณเสนอให้ปรับรัฐมนตรีตลอด และหัวหน้าพรรคคนใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มหรือก๊วน เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่มีกลุ่มหรือก๊วนที่ชัดเจน”

ส่วนรายชื่อที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ “ภูมิธรรม” ไม่ยอมเปิดเผย เพราะคาดเดายาก เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น

แต่ถ้ามาไล่เรียงรายชื่อในขณะนี้ ชื่อที่โดดเด่นมีอยู่ 2 ชื่อ คือ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์”

แม้ว่า “เพรียวพันธ์” จะเคยประกาศในวันที่เดินทางไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า ไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค พร้อมกับประกาศว่า ถ้ามีใครเสนอชื่อก็จะขอถอนตัวถือเป็นการแสดงท่าทีส่วนตัวเท่านั้น ถ้าเป็นมติพรรคหรือเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ก็ต้องมาดูท่าทีกันใหม่อีกครั้ง!

เพราะผู้ใหญ่ในพรรค โดยเฉพาะ “เครือญาติ” คงอยากให้ผู้ที่ไว้ใจได้มานั่งอยู่ในตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” มากกว่าการให้คนอื่น

สำหรับ “เพรียวพันธ์” ณ เวลานี้ถือว่าคุณสมบัติครบถ้วน!

-เป็นคนมีบุคลิกประนีประนอม
-ไม่มีประวัติด่างพร้อย
-ตระกูลชินวัตรไว้วางใจมากที่สุด
-ไม่มีศัตรู เข้ากับทุกฝ่ายได้ โดยเฉพาะสายตรงจากบ้านจันทร์ส่องหล้า
-การที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรื่องการ “ยุบพรรค” แทบจะมีความเป็นไปได้ยาก

ดังนั้นการที่ “เพรียวพันธ์” ปฏิเสธรับตำแหน่ง เพราะเชื่อว่าส่วนตัวแล้วไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

ที่สำคัญการเข้าไปนั่งในตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” ในสถานการณ์ที่การเมืองกำลังร้อน โอกาสในการร้องเรียนให้ “ยุบพรรค” ย่อมกระทบผู้ที่ไปนั่งในตำแหน่ง “กรรมการบริหารพรรค”

เชื่อว่า “เพรียวพันธ์” หากมองถึงอนาคตที่จะก้าวไปในตำแหน่งที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

โดยเฉพาะตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” คุณสมบัติของ “เพรียวพันธ์” ไม่ด้อยไปกว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หรืออาจจะโดดเด่นกว่าด้วยซ้ำ

“ผมรู้ตัวว่าไม่พร้อม และไม่มีความสามารถเพียงพอในเรื่องการเมือง” คำยืนยันของ “เพรียวพันธ์” เมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่ไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค

ดังนั้นท่าทีของ “เพรียวพันธ์” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่เดินทางเข้าไปสมัครสมาชิกพรรคต่อสถานการณ์ในวันเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยในวันที่ 30 ตุลาคม การเจรจาทำความเข้าใจระหว่าง “พี่-น้อง” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีโอกาสทำให้ท่าทีปฏิเสธเปลี่ยนเป็นตอบรับได้

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ “พรรคเพื่อไทย” เป็นรัฐบาล ความได้เปรียบทางการเมืองย่อมมีผลต่อการตัดสินใจในเชิงบวก

แต่ถ้าท้ายที่สุด “เพรียวพันธ์” ยังยืนยันแข็งขันไม่รับตำแหน่ง ก็ยังมี “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รมว.คมนาคม ในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรค ซึ่งเสียงสนับสนุนขณะนี้มาเป็นอันดับสอง รองจาก “เพรียวพันธ์”

เพราะสัมพันธภาพระหว่าง “จารุพงศ์” กับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” มีกันมานาน ตั้งแต่สมัยการแลกเปลี่ยนเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงยุติธรรม” กับ “ปลัดกระทรวงแรงงาน” ในสมัยที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น ไม่ว่า “เพรียวพันธ์” หรือ “จารุพงศ์” ก็สายตรงทั้งคู่!

……………….

(หมายเหตุ : ‘เพรียวพันธ์-จารุพงศ์’สายตรงทั้งคู่! : ขยายปมร้อนโดยสมถวิล เทพสวัสดิ์)

กระชับสัมพันธ์ยูเครน’กห.’เล็งซื้ออาวุธเพิ่ม

กระชับสัมพันธ์ยูเครน’กห.’เล็งซื้ออาวุธเพิ่ม

กระชับสัมพันธ์ยูเครน’กห.’เล็งซื้ออาวุธเพิ่ม

ไทยกระชับสัมพันธ์ยูเครน’กห.’เล็งซื้ออาวุธเพิ่ม : ทีมข่าวความมั่นคง

              จากที่ก่อนหน้านี้กองทัพบก (ทบ.) ได้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศยูเครนอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ยานเกราะล้อยางรุ่น BTR3-E1 และรถถังรุ่น T-84 OPLOT กองทัพไทย นำโดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกระทรวงกลาโหม จึงเดินทางไปเยือนยูเครนอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ คณะของ รมว.กลาโหมไทยเดินทางไปเยือนตามคำเชิญของ นายดิมิโตร ซาลามาติน รมว.กลาโหมยูเครน และมีการลงนามความตกลง (เอ็มโอเอ) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลไทยและกระทรวงกลาโหมยูเครน หลังจากก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ก็เดินทางไปเยือนยูเครนมาแล้วครั้งหนึ่ง

การเดินทางเยือนยูเครนครั้งนี้ของ พล.อ.อ.สุกำพล ได้เข้าพบประธานาธิบดียูเครน นายกรัฐมนตรียูเครน และรมว.กลาโหมยูเครน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทหาร รวมถึงโครงการจัดตั้งสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทยในยูเครน

รวมทั้งการร่วมลงนามในบันทึกความตกลงเอ็มโอเอระหว่างรัฐบาลไทย-ยูเครน ร่วมกับ รมว.กลาโหมยูเครน, ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, การจัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัย (Defense & Security 2013) โครงการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านการทหาร และการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission : JC)

บันทึกความตกลงฉบับนี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์กับยูเครน ขณะที่ นายวิคเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดียูเครน ระบุว่า ประเทศยูเครนและประเทศไทยมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการยกระดับโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

“การเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก และหวังว่าเราจะสามารถพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น เราอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเยือนประเทศยูเครนในโอกาสต่อไปด้วย” ประธานาธิบดียูเครน ระบุในระหว่างการพบปะกัน

ส่วนความคืบหน้าโครงการส่งมอบรถยานเกราะล้อยางรุ่น BTR3-E1 เฟสแรก จำนวน 110 คัน ตามวงเงินงบประมาณ 3,800 ล้านบาท ได้ทยอยส่งมอบให้กองทัพบกแล้ว 97 คัน และที่เหลืออีก 13 คัน จะส่งมอบภายในเดือนมกราคม 2556 โดยรถยานเกราะล้อยางเฟสแรกจะบรรจุประจำการที่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี

ยานเกราะล้อยางเฟสสอง จำนวน 121 คัน วงเงินงบประมาณ 4,800 ล้านบาท จะมีการส่งมอบให้กองทัพบกภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2555 จำนวน 30 คัน แบ่งเป็นยานเกราะล้อยางจำนวน 20 คัน และรถซ่อมบำรุงอีก 10 คัน

ที่เหลือจะมีการแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ปี 2557 จะส่งมอบให้จำนวน 60 คัน และที่เหลืออีก 31 คัน จะส่งมอบภายในปี 2557 ทั้งหมดจะเข้าประจำการที่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 จ.ชลบุรี ซึ่งจะทำให้กองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) มีรถยานเกราะเข้าประจำการครบทุกกรม ตามแผนจัดโครงสร้างของ พล.ร.2 รอ.ให้เป็น “กองพลยานเกราะ”

นอกจากนี้ โครงการจัดซื้อรถถังรุ่น T-84 oplot จากประเทศยูเครน จำนวน 51 คัน ตามวงเงินงบประมาณ 7,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีการส่งมอบเสร็จสิ้นภายในปี 2559 โดยจะมาประจำการที่กองพันทหารม้า ที่ จ.สระบุรี ขณะนี้ได้มีการทำสัญญาแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดสร้าง โดย พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบก ได้เดินทางไปดูสมรรถนะมาแล้ว

“รถถังรุ่นนี้มีศักยภาพน่ากลัว มีความทันสมัย แม่นยำ และมีราคาถูก แต่สมรรถนะเทียบได้กับรถถังราคาแพง ซึ่งเราไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย ถ้าอยากได้ของดีต้องซื้อของแพง แต่เราทำไม่ได้ และอย่าไปมองว่า การจัดซื้อมีผลประโยชน์แอบแฝง ถ้าคิดเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปซื้อ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุถึงเหตุผลในการจัดซื้อรถถังสัญชาติยูเครน

แหล่งข่าวกองทัพบกชี้แจงว่า สาเหตุที่ยูเครนส่งยานเกราะล้อยางล่าช้า เพราะเสียเวลาไปกับการเลือกเครื่องยนต์ เนื่องจากประเทศเยอรมนีไม่ยอมขายเครื่องยนต์ให้ หลังจากประเทศไทยเกิดการรัฐประหาร ทำให้กองทัพบกพยายามสรรหาเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะและสามารถตอบสนองภารกิจของกองทัพบกได้เป็นอย่างดี สุดท้ายจึงมาได้เครื่องยนต์เอ็มทียู ทำให้เสียเวลาไปเกือบ 2 ปี

“จากเดิมจะมีการจัดส่งรถยานเกราะล้อยางในปี 2552 แต่เกิดความล่าช้า โดยยูเครนสามารถจัดส่งให้กองทัพบกได้ในปี 2554 และมีการจัดสาธิตเพื่อตรวจรับอีกครั้งเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สมรรถนะตรงตามความต้องการของกองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางไปยูเครน เพื่อดูการผลิต ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงสัญญาที่ลงนามกันเอาไว้”

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวย้ำถึงคุณสมบัติเด่นของยานเกราะล้อยางจากยูเครนด้วยว่า ยานเกราะล้อยางเป็นรถอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้ทั้งในการลำเลียงพล และเป็นยานเกราะในการรบ ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 2 อย่างตอบสนองความต้องการของกองทัพบก และราคาถูกกว่าประเทศอื่นเมื่อเทียบกับราคากับสมรรถนะ

ที่สำคัญ กระบวนการการจัดซื้อก็ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการทุกอย่าง โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้นโยบายไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องมีความโปร่งใสในการจัดซื้อในทุกขั้นตอน

………………….

(หมายเหตุ :ไทยกระชับสัมพันธ์ยูเครน’กห.’เล็งซื้ออาวุธเพิ่ม : ทีมข่าวความมั่นคง)

ความในใจ’ยะใส’ถึง’สุภิญญา’

ความในใจ’ยะใส’ถึง’สุภิญญา’

ความในใจ’ยะใส’ถึง’สุภิญญา’

ความในใจ’ยะใส’ถึง’สุภิญญา’: ขยายปมร้อนโดย เสถียร วิริยะพรรณพงศา

              ไม่น่าเชื่อว่าการประมูลคลื่นโทรศัพท์ 3จี แทนที่จะเป็นความเคลื่อนไหวในแวดวงโทรคมนาคม หรือแวดวงการสื่อสาร แต่ปรากฏว่ามันกลายเป็นมหกรรมระดับชาติที่ดึงเอาตัวละครจากเวทีต่างๆ เข้ามาเล่นในเกมนี้เต็มไปหมด กลายเป็นปมปัญหาของประเทศชาติในเวลานี้ ร้อนถึงโรงถึงศาลที่อาจจะต้องเอื้อมมือมาไกล่เกลี่ยเคลียร์ข้อข้องใจต่างๆ เสียเอง

หนึ่งในตัวละครที่ออกโรงมาปะฉะดะ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กสทช.) เสียยับเยิน และยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ล้มการประมูลที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการประเคน นั่นคือ “สุริยะใส กตะศิลา”

บางคนอาจจะงุนงงว่า เพราะเหตุใดอดีตผู้ประสานขบวนการคนเสื้อเหลือง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ถึงโดดมาลุยในสงครามการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ผ่านมา “สุริยะใส”จับประเด็นการเมืองเชิงโครงสร้าง บู๊ล้างผลาญกับระบอบทักษิณเป็นหลัก

แต่ถ้าหมุนนาฬิกาแล้วย้อนวันเวลากลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนก็จะพบรากเหง้าเข้าใจเหตุผลว่าทำไมวันนี้ “ยะใส” หันมาคว้าดาบฟาด กสทช. อย่างเต็มมือ

ก็เพราะเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเอ็นจีโอเต็มขั้นในบทบาทเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย หรือครป. เมื่อประมาณ 10 ปีก่อนนั้น เขาคือผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้งองค์กรที่ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปสื่อในสังคมไทยที่ชื่อว่า “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ” หรือคปส.

คปส.ตั้งขึ้นมาเพื่อผลักดันให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับและจัดสรรคลื่นความถี่ของชาติ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 40 ที่กำหนดไว้ว่าต้องมีองค์กรอิสระเพื่อทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ภายใต้แนวคิดว่าคลื่นความถี่เป็นสมบัติของสาธารณะไม่ใช่ปล่อยให้ผูกขาดอยู่กับหน่วยงานรัฐแทบทั้งหมด

คปส.เกิดขึ้นพร้อมกับเอ็นจีโอสาวน้อยหน้าตาคมเข้ม ชาวสุราษฎร์ธานี ที่ชื่อ “เก๋” สุภิญญา กลางณรงค์ ที่วันนี้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการกสทช. เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับรูปแบบการประมูลเชิงแบ่งเค้กให้เอกชนแบบนี้

“สุริยะใส” ในฐานะผู้ที่ผ่านมาก่อน ก็รับหน้าที่พี่เลี้ยงติวเข้มเอ็นจีโอน้องใหม่

ก้าวแรกในชีวิตเอ็นจีโอของ “สุภิญญา” มี “สุริยะใส” คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เป็นพี่เลี้ยงที่คอยสอนวิธีการเคลื่อนไหว การทำงานมวลชน เทคนิคการเขียนแถลงการณ์ การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน สารพัดวิชาของการเป็นนักเคลื่อนไหวในวันที่เพิ่งตั้งไข่ “น้องเก๋” ได้เรียนรู้จาก “พี่ยะใส” เป็นหลัก จนถูกแซวในมวลหมู่เอ็นจีโอด้วยกันเองว่าความสัมพันธ์มันจะกระเถิบไปไกลกว่าแค่รุ่นพี่กับรุ่นน้องหรือไม่

เหมือนได้ปุ๋ยเร่งโต “เก๋” เติบโตในเส้นทางสายนี้อย่างก้าวกระโดด เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเคลื่อนไหว รณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลก

ช่วงที่เธอถูกบริษัทชินคอร์ปของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 400 ล้านทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ด้วยวัยเพียง 30 ต้นๆ เธอต้องตระเวนไปอภิปรายกรณีการคุกคามสื่อเกือบทั่วโลก

ขณะที่ “เก๋” ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางของการปฏิรูปสื่อ “ยะใส” ก็ก้าวจากนักรณรงค์ประชาธิปไตย ไปเป็นผู้นำม็อบแบบเต็มขั้นในบทบาทผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสถานการณ์การเมือง ที่ประดุจน้ำป่าอันเชี่ยวกราก ก็ลากพาให้ “สุริยะใส” พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง ต้องเผชิญหน้ากับแรงกระแทกทางการเมืองอย่างหนักหนาสาหัสเกินกว่าคนหนุ่มอย่างเขาจะรับไหว หวุดหวิดติดคุกติดตะรางก็หลายรอบ

กระทั่งวันนี้ “ยะใส” ถอยฉากจากความเป็นนักเคลื่อนไหวที่ยืนอยู่ในมุมเหลือง ออกมาทำงานในภาพกว้างมากขึ้น หลุดพ้นจากสังกัดสีที่ครอบงำชีวิตเขามาอย่างน้อย 5-6 ปี

ขณะที่ “สุภิญญา” เข้าไปอยู่ในระบบ อยู่ในอ้อมกอดของอำนาจและผลประโยชน์มหาศาล ในบทบาทกรรมการกสทช. แต่ “สุริยะใส” ยังคงยืนอยู่ในเวทีการเมืองภาคประชาชน

ไม่มี “น้องเก๋” ยืนชูป้ายอยู่บนท้องถนน “พี่ยะใส” ตัดสินใจเดินกลับมาสานต่ออุดมการณ์ของน้องด้วยการเดินหน้าฟ้องศาลปกครองว่าการประมูลครั้งนี้เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนมากกว่าจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ถ้า “น้องเก๋” ยังอยู่งานนี้ไม่ต้องถึงมือ “พี่ยะใส” ในวันที่ทั้งสองคนยืนกันอยู่คนละเวที “สุริยะใส” มีข้อความบางอย่างถึงสุภิญญา ว่าในฐานะที่เป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน เมื่อเข้าไปทำงานในระบบแล้วต้องยอมรับว่าจะเหนื่อยมากกว่าคนอื่นสองเท่า เพราะสังคมจะคาดหวังว่า “เก๋” เป็นคนมีอุดมการณ์เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าไปแล้วจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติได้อย่างเต็มที่

“วันนี้ เก๋ เป็นเสียงข้างน้อยในกสทช. อย่าเสียใจ หลายประเทศในรัฐสภาพรรคเสียงข้างน้อยมีพลังมากกว่าพรรคเสียงข้างมาก เพราะเขาทำงานโดยมีหลังพิงอยู่ที่มวลชน ถ้าเก๋เห็นอะไรไม่ถูกต้องชอบธรรม ถึงจะโหวตแพ้ในที่ประชุม ก็ขอให้เอาเรื่องนั้นมาบอกกับประชาชน ตีแผ่ให้สังคมรู้ความจริง ทำงานโดยยึดโยงกับประชาชน พลังของประชาชนเท่านั้นจะเป็นแรงผลักดันให้เก๋สามารถเอาชนะเสียงข้างมากที่ไม่ถูกต้องได้”

นี่คือข้อความจากใจของ “พี่ยะใส” ฝากถึง “น้องเก๋” ในวันที่โชคชะตา ขีดเส้นให้ทั้งสองคนเดินห่างกันไกลขึ้นทุกที
…………

(หมายเหตุ : ความในใจ’ยะใส’ถึง’สุภิญญา’: ขยายปมร้อนโดย เสถียร วิริยะพรรณพงศา)

4เรื่องร้อนกระหน่ำ’ยิ่งลักษณ์’

4เรื่องร้อนกระหน่ำ’ยิ่งลักษณ์’

4เรื่องร้อนกระหน่ำ’ยิ่งลักษณ์’

4เรื่องร้อนกระหน่ำ’ยิ่งลักษณ์’ : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา

               สถานการณ์การเมืองที่เดินมาถึงวันนี้ ดูเผินๆ เหมือนกับว่า แม้จะอยู่ในภาวะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาเขย่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้พลิกคว่ำคะมำหงายลงไปได้

ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยประเมินแนวโน้มการเมืองล่าสุด ดูจะไม่ค่อยเป็นเรื่องดีเท่าใดนักสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เริ่มจากการปรับ ครม. ที่แนวโน้มน่าจะมีขึ้นภายหลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากเดิมที่คาดว่าจะโละชุดใหญ่ ก็น่าจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว

สัญญาณที่ส่งออกไปยังรัฐมนตรีทุกคนของพรรคประหนึ่งว่า ต่อไปนี้จะดูรายละเอียดของงานที่แต่ละคนรับผิดชอบทุกเม็ด

ใครเป็นจุดอ่อนคือคนที่จะถูกปรับเปลี่ยน โดยที่การตัดสินใจให้เป็นเด็ดขาด ห้ามอุทธรณ์กันเลยทีเดียว

วิธีการแบบนี้ก็จะทำให้การปรับ ครม.ที่จะมีขึ้น น่าจะออกมาเพียงไม่กี่ตำแหน่ง

อาจไม่ถึง 10 เสียด้วยซ้ำไป

แต่ก็นั่นแหละ คนที่อกสั่นขวัญผวา ก็อาจจะนอนไม่หลับบ้าง

ดูอย่าง ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแดงอุดรฯ ที่มักจะอ้างเสมอว่า “สายตรง” ถึง “นายใหญ่” ที่ดูไบได้ทุกเมื่อ จู่ๆ ก็ออกมาบอกว่า ไม่ควรที่จะปรับ “สารวัตรดาวเทียม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกจากตำแหน่ง

ไม่รู้ว่าแท้หรือเทียม แต่มิตรย่อมห่วงมิตร !

เพราะเมื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ สายที่ตรงเสียยิ่งกว่าตรงกับ “หญิงอ้อ” ผู้มีบารมีในพรรคเพื่อไทย เปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรคอย่างเอิกเกริก ก็ย่อมทำให้จิตใจหวั่นไหวกันบ้างเป็นธรรมดา

เรื่องที่หนักอกหนักใจของรัฐบาลในเวลานี้กลับเป็น “โครงการจำนำข้าว” ที่นับวันจะทำให้รัฐนาวาที่ลอยปริ่มน้ำอยู่ค่อยจมลงเพราะโดนทั้งแรงคลื่นกระหน่ำซัดจากหลายทิศหลายทาง และน้ำหนักข้าวที่รับจำนำเพิ่มขึ้นทุกปี

นับแต่วันที่ยิ่งลักษณ์ แถลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่าทำ “เอ็มโอยู” แล้วแก้เป็นการทำ “สัญญา” ขายข้าว 7 ล้านกว่าตันนั่น จนป่านนี้คนในวงการค้าข้าวทั้งหลายยังไม่มีใครรู้เรื่องรู้ข่าวว่า ขายให้ใคร ขายเมื่อไหร่ ได้ราคาหรือเปล่า

เช่นเดียวกับคนในกระทรวงพาณิชย์ที่ยังใบ้กิน อ้างอย่างเดียวว่าเป็นความลับ

ชัดเจนอยู่เรื่องเดียวว่า รมว.กลาโหม สั่งทุกเหล่าทัพ เปิดพื้นที่เพื่อใช้เป็นโกดังเก็บข้าว !

คนเขาอยากรู้ อยากถามว่า ถ้าขายได้แล้วจะเก็บไว้ทำไม ?

ถ้าขายไม่ได้แล้วมาโกหกกันทำไม ?

คนอีกกลุ่มก็จะถามว่า ทำไมถึงเอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศอุ้มชาวนาเพียงกลุ่มเดียว พืชผลการเกษตรชนิดอื่นทำไมไม่ทำแบบนี้บ้าง ?

แต่ที่ถามกันหนักๆ ก็คือ จากนอกประเทศซึ่งกำลังลุกลามใหญ่โต เพราะมีฝรั่งเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า ไอ้วิธีการตั้งราคารับจำนำข้าวแพงกว่าตลาด แล้วเอาไปเก็บไว้ในโกดังนั้น มันขัดต่อกฎการค้าโลก ที่องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เป็นขาใหญ่คุมเกือบทั้งโลกนั่นหรือไม่

ยังไม่นับรวมเรื่องโกงทุกขั้นตอนที่ฝ่ายค้านกำลังจะลากไส้ในต้นเดือนหน้าอีก

ไม่นับเรื่องที่ ส.ว.ยื่นให้ตีความว่านโยบายนี้ข้อต่อรัฐธรรมนูญอีก

แต่ละดอกล้วนหนักหน่วงทั้งนั้น !

เรื่อง “ชายชุดดำ” นี่ก็เป็นอีกเรื่อง ขนาดดีเอสไอที่ว่าแน่ เพราะมี ธาริต เพ็งดิษฐ์ นั่งคุมอยู่ สุดท้ายก็ไม่รู้จะออกทางไหน ในเมื่อผลพิสูจน์ชัดว่า กระสุนปืนที่สังหารนักข่าวญี่ปุ่นและทหารนั่นมาจากปืนอาก้า ไม่ใช่ เอ็ม 16 ที่ทหารใช้

การอนุมัติจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้รายละล้านก็เลยดูจะเป็นทางออกที่ดี

แต่มันเท่ากับทำให้ชาวบ้านเขาเชื่อว่า ชายชุดดำมีจริง

แล้วก็ชายชุดดำนี่แหละที่เป็น “ตัวเปิด” และเป็นต้นเหตุความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553

ถึง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ในวันนี้ และเป็นแกนนำแดงในตอนนั้นจะพยายามท้านั่นท้านี่ ท้า สุเทพ เทือกสุบรรณ โต้วาที ก็เป็นเพียงการใช้โวหารเท่านั้น เพราะสุเทพไม่ให้ราคาขึ้นมาเทียบรุ่น

ขณะที่เรื่อง “ไซฟ่อนเงิน” ที่มีคนปูดออกมาจนฮือฮากันทั้งประเทศนั้น ความจริงน่าทำโพลล์สำรวจความเห็นกันบ้างก็ดีว่า เรื่องนี้ ชาวบ้านเขาเชื่อไหมว่ามีจริง หรือไม่จริง

ถึง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม จะยืนยันว่าไม่มี คนในหน่วยงานที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการฟอกเงินก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน แต่คนที่ชอบจับแพะชนแกะ ชอบต่อจิ๊กซอว์เขาก็คงให้ได้เต็มที่ แค่ลดน้ำหนักฝั่งโน้นลงแล้วฟังหูไว้หู

เพราะก่อนหน้านี้เชื่อไปแล้วเกือบ 100%

เพราะเรื่องรับงานประสานงานมันมีคนในพรรคใหญ่ชื่อ “ส.เสือ” เขาบริหารจัดการให้ “เจ๊ อ.-เจ๊ ด.” อย่างมืออาชีพ

บังเอิญว่า ส.เสือ ที่ว่า มีบริษัทอยู่ฮ่องกง !

พอมาลงตรงนี้เลยดูเหมือนจะกลายเป็นปมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกขยายให้ร้อนในช่วงปลายฝนต้นหนาว

………

(หมายเหตุ : 4เรื่องร้อนกระหน่ำ’ยิ่งลักษณ์’ : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา)

คำสั่งปากเปล่า!เจ้าหน้าที่รับเคราะห์

คำสั่งปากเปล่า!เจ้าหน้าที่รับเคราะห์

คำสั่งปากเปล่า!เจ้าหน้าที่รับเคราะห์

คำสั่งปากเปล่า!เจ้าหน้าที่รับเคราะห์ : ขยายปมร้อนโดยสมถวิล เทพสวัสดิ์

              เห็นอาการยืนยันของเจ้ากระทรวงการต่างประเทศ “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” ที่ประกาศไม่ยึดคืน “พาสปอร์ต” หรือหนังสือเดินทางของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ

เพราะขณะที่ “เจ้ากระทรวง” ประกาศจุดยืน “อุ้ม” เจ้านาย แต่ฝ่ายปฏิบัติต้องรับผิดชอบเมื่อรับ “คำสั่ง” ที่ขัดแย้งกับข้อกฎหมายโดยเฉพาะเป็นคำสั่งที่ไม่มีลายลักษณ์อักษรต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “กระทรวงการต่างประเทศ” ลงนามโดย “ปลัดกระทรวง” ได้ส่งหนังสือขอขยายเวลาชี้แจงการคืนพาสปอร์ตให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ไปยัง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เป็นเวลา 30 วัน เพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐาน

หลังจากทาง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ได้ส่งหนังสือไปให้ “กระทรวงต่างประเทศ” ทบทวนการออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” เมื่อ 13 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ถ้าไม่ทบทวนสุดท้ายหากมีการฟ้องร้องถึงศาลปกครองผู้ที่รับผิดชอบต่อเรื่องนี้คงไม่พ้น “เจ้าหน้าที่” ตั้งแต่ “ผู้อำนวยการกองหนังสือเดินทาง, อธิบดีกรมการกงสุล ไปจนถึงปลัดกระทรวง”

เพราะถ้ามาดู “ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง” ในหมวด 7 “การปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง” ข้อที่ 21 (2) ที่ระบุว่า เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้

หลายคนสงสัยทำไม “ทักษิณ” ยังสามารถถือพาสปอร์ตอยู่ได้ ทั้งที่ถูกดำเนินคดีและออกหมายจับ

ต้องไปดูว่าทาง “กระทรวงการต่างประเทศ” ให้ตรวจสอบประวัติของ “ทักษิณ” จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นปัจจุบันหรือไม่ หรือเลือกถามประวัติก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีที่ดินรัชดาฯ ในเดือนตุลาคม 2551

โดยเลือกที่จะถามข้อมูลเฉพาะเจาะจงไม่ถามข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน!

เพราะถ้าถามข้อมูลปัจจุบันก็เชื่อว่า “ทักษิณ” อาจอยู่ในข่ายถูกยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง ข้อที่ 21 (2) เพราะมีคดีติดตัวอยู่หลายคดีโดยในรอบ4 ปี “ทักษิณ” มีหมายจับแล้ว 6 หมาย

เช่น คดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้แก่รัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท, คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน), คดีทุจริตแปลงสัมปทานมือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต, คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ซึ่งศาลพิพากษาที่ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี, คดีก่อการร้าย

เพียงแค่ไล่เรียงคดีแล้วนำมาเปรียบเทียบกับ “ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง” ก็น่าจะพอได้คำตอบว่าควรจะทำอย่างไรก็พาสปอร์ตของ “ทักษิณ”

เมื่อมีข้อโต้แย้งความผิดทางการเมืองกับความผิดทางกฎหมาย โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า “ทักษิณ” ไม่ผิด แต่ถูกยัดข้อหา หรือตามหลักกฎหมาย “ดร.ด้านกฎหมายเพื่อไทย” ใช้คำว่า “คุณทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม”

แต่ในทางการเมืองถ้าไปถามศาลเกี่ยวกับสิ่งที่ “ทักษิณ” ทำคงรอดยาก และจากพฤติกรรมของ “สุรพงษ์” ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้ “ทักษิณ” หนีหมายศาลหรือขัดคำสั่งศาล

การที่ “เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ” ส่งหนังสือขอขยายเวลาชี้แจงเรื่องพาสปอร์ต “ทักษิณ” เป็นเวลา 30 วัน มองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเพียงเพื่อ “ซื้อเวลา” ดูทิศทางการเมืองแต่ไม่รู้ว่าจะยื้อได้นานแค่ไหน!

…….

(หมายเหตุ : คำสั่งปากเปล่า!เจ้าหน้าที่รับเคราะห์ : ขยายปมร้อนโดยสมถวิล เทพสวัสดิ์)

‘เพรียวพันธ์’ทายาท’แม้ว’คนต่อไป?

‘เพรียวพันธ์’ทายาท’แม้ว’คนต่อไป?

‘เพรียวพันธ์’ทายาท’แม้ว’คนต่อไป?

‘เพรียวพันธ์’ ทายาท’ทักษิณ’คนต่อไป? : ขยายปมร้อน โดยสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์, ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี

                การตัดสินใจก้าวสู่การเมืองของ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเขาคือ “พี่ชาย” ของคุณหญิงอ้อ พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ผู้ที่ถึงแม้ทางนิตินัยจะเป็น “อดีตภรรยา” ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่ในทางพฤตินัย ใครๆ ก็รู้ว่าคนทั้งคู่ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน

อีกอย่างที่ทำให้ไม่น่าแปลกใจ เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวมาตลอดว่า เพรียวพันธ์ จะเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวทักษิณ ซึ่งจะว่าไปแล้วข่าวนี้เริ่มมาตั้งแต่เขายังไม่ได้เกษียณจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ด้วยซ้ำ

ที่ผ่านมาเพรียวพันธ์ ไม่ได้มีท่าทีเคอะเขินเมื่อต้องให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกตรงๆ ว่า งานที่เขาสนใจคือ งานด้านการปราบปรามยาเสพติด ข่าวที่ออกมาจึงเป็นว่า เพรียวพันธ์จะเข้ามาเป็นรองนายกฯ คุมงานด้านการปราบปรามยาเสพติด

แต่ที่สำคัญ ตำแหน่งรองนายกฯ ที่เพรียวพันธ์จะเข้ามานั้น จะต้องเป็น “รองนายกฯ อันดับ 1” ด้วย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุใดๆ กับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เขาจะต้องเป็นตัวแทนในการทำหน้าที่ “รักษาการนายกฯ” ต่อไป ซึ่งเดิมตำแหน่งรองนายกฯ อันดับ 1 นี้เป็นของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกจากตำแหน่งไปเพราะวิบากกรรมจากคดีอัลไพน์

ตอนนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ อันดับ 2 จึงขยับขึ้นมาเป็นรองนายกฯ อันดับ 1 ซึ่งถ้าถามเรื่องความไว้อกไว้ใจของทักษิณที่มีต่อเฉลิมนั้น ก็คง “ไม่เต็มร้อย” โดยเฉพาะหากเทียบกับ “เพรียวพันธ์” ที่เป็นสายตรง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเพรียวพันธ์ ไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น หากเกิดอะไรกับยิ่งลักษณ์ เขาจะเป็นได้เพียง “รักษาการนายกฯ” เท่านั้น นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมเพรียวพันธ์ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะมันจะเป็นการปูทางไปสู่การลงสมัคร ส.ส.ในอนาคต และนั่นหมายความว่าในอนาคต เพรียวพันธ์ ก็น่าจะเป็นอีกชื่อหนึ่งของผู้ที่จะมาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ในฐานะ “ตัวแทนทักษิณ”

มีคำถามต่อว่า เพรียวพันธ์ จะมาเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” หรือไม่?

ก่อนอื่นเลยต้องไม่ลืมว่า เพรียวพันธ์ คือพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจก้าวสู่การเมืองอย่างเต็มตัวของเขาในครั้งนี้

เป็นที่รู้กันดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณหญิงพจมาน คือ “ผู้มีบารมีในพรรคเพื่อไทย” คนหนึ่ง ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของพรรค รวมถึงการวางบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งจะมีข่าวออกมาตลอดว่ามีใครบ้างที่เป็นรัฐมนตรีสายตรง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แม้คุณหญิงอ้อจะพยายามโลว์โปรไฟล์ เช่นเดียวกับพี่ชายบุญธรรม บรรณพจน์ ดามาพงศ์

เพรียวพันธ์ จึงต้องรับหน้าที่เป็น “ตัวแทนคุณหญิงอ้อ” ในการเปิดหน้าทางการเมือง

เพรียวพันธ์ จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ น่าจะฟันธงได้เลยว่า “ไม่” เพราะสไตล์ที่ชัดเจนของ “พรรคทักษิณ” หลังจากโดนยุบพรรคไป 2 รอบ คือ พรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน คือ จะไม่ส่งคนที่เป็นคีย์แมนของพรรคไปเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค

“คนที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ต้องเป็นคนที่หากถูกตัดสิทธิทางการเมืองก็ไม่เป็นไร” ส.ส.พรรคเพื่อไทย คนหนึ่งพูดชัดเจน

เพรียวพันธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวระหว่างการมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า ตั้งใจมาดูแลงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งขณะนี้มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ส่วนเรื่องตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น ยังเป็นเรื่องที่พูดกันไป

เมื่อถามถึงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพรียวพันธ์บอกว่า “เรื่องหัวหน้าพรรคตัดออกไปได้เลยและถ้ามีใครเสนอชื่อผมขึ้นมา ก็จะถอนตัว”

ส่วนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะเดินทางไปคูเวต ได้พูดถึงการที่เพรียวพันธ์มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ช่วยพรรคทำงาน ส่วนจะได้รับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่ ก็อยู่ที่การพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค และย้ำว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้จะยังทำงานต่อไป โดยยังไม่ปรับครม.ตอนนี้

ต้องจับตาก้าวย่างของ “สายตรงชินวัตร” รายล่าสุดคนนี้ต่อไป ว่าจะก้าวไปถึงไหน…จะไปถึงตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุดของประเทศ…ทายาททักษิณ” คนต่อไปหรือไม่??

……….

(หมายเหตุ : ‘เพรียวพันธ์’ ทายาท’ทักษิณ’คนต่อไป? ขยายปมร้อน โดยสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์, ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี)

‘เสี่ยหนู’รีเทิร์นรับมรดก’ภูมิใจไทย’

‘เสี่ยหนู’รีเทิร์นรับมรดก’ภูมิใจไทย’

‘เสี่ยหนู’รีเทิร์นรับมรดก’ภูมิใจไทย’

‘เสี่ยหนู’รีเทิร์นรับมรดก’ภูมิใจไทย’ : ขยายปมร้อนโดยวัฒนา ค้ำชู

            ทันทีที่นักธุรกิจเจ้าสัวใหญ่เครือซิโน-ไทย คอนสตรัคชั่น “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ประกาศสละแพ “ภูมิใจไทย” แล้วปล่อยผ่านเข้าสู่มือลูกรักอย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หรือ “เสี่ยหนู” ที่กล้าหาญอาสาออกหน้าเป็นแม่ทัพ

ซึ่งยังต้องพิสูจน์กันว่า “พรรคภูมิใจไทย” ใต้เงา “เสี่ยหนู” เติบใหญ่ไปข้างหน้าหรือแค่ประคับประคองเอาไว้ในแบบเดิม

นอกจาก “อนุทิน” ที่มานั่งหัวหน้าพรรค สมาชิกพรรคภูมิใจไทยยังคลอดอีก 8 กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เข้ามาแทนที่เป็นกรรมการบริหารชุดเก่า ประกอบด้วย “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 “ประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ” รองหัวหน้าพรรคคนที่ 2 “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค “ศุภชัย ใจสมุทร” รองเลขาธิการพรรค “นาที รัชกิจประการ” เหรัญญิกพรรค “ศุภมาส อิศรภักดี” โฆษกพรรค “รังสิกร ทิมาตฤกะ” นายทะเบียนพรรค และ “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ประธานที่ปรึกษาพรรค

ไม่ต้องแปลกใจกับการขอเกษียณวางมือของ “ชวรัตน์” ก็เพื่อเป็นการส่งมอบมรดกการเมืองให้ทายาทหัวแก้วหัวแหวน ที่เข้าเล่นบทเป็นตัวจริงยามนี้

โดยที่ไม่ต้องคอยอยู่เบื้องหลังเช่นในอดีต ที่ติดโทษแบนต้องเว้นวรรคสนามการเมืองไปนาน 5 ปี

ขณะที่ขุนพลคู่ใจก็ขนาบข้างด้วย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ได้เข้ามานั่งเป็นเลขาธิการพรรคเป็นแม่บ้านคู่ใจ

และด้วยชื่อ “ศักดิ์สยาม” ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นน้องรักของ “เนวิน ชิดชอบ” เจ้าของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ได้ประกาศวางมือจากการเมือง และเดินหน้าทำทีมฟุตบอลอย่างเต็มตัวแล้ว

สิ่งที่เห็นกับการที่เป็นอยู่ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เนื้อหาของ “เนวิน” ที่ให้เหตุแสดงผลทางชาวบ้านว่า กลัวทำบ้านเมืองวุ่นวาย

พร้อมกับทิ้งข้อความเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ผมพอแล้ว” หรือแม้แต่ประกาศแตกหักไปก่อนหน้านี้กับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ข้อความว่า “มันจบแล้วครับนาย” จริงเท็จเพียงใดคงต้องรอเวลาระยะทางในอนาคตได้พิสูจน์กันต่อไป

แม้ “เนวิน” จะวางมือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครอบครัว “ชิดชอบ” จะออกจากการเมือง เพียงแต่วันนี้เปลี่ยนหน้ามาเป็น “ศักดิ์สยาม” เท่านั้น

ทั้ง 9 รายชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จากที่ประชุมพรรคภูมิใจไทย เรียกว่าไม่พลิกจากกระแสที่แย้มมาก่อนหน้านี้

ที่ไม่ว่าอย่างไร หัวหน้าพรรคต้องเป็น “อนุทิน” ส่วนเลขาธิการพรรคต้องเป็น “ศักดิ์สยาม” เท่านั้น และชัดเจนว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนมีความใกล้ชิดกับ “อนุทิน-เนวิน” เปรียบเป็นมือไม้ที่วางใจได้ เป็นเสมือนตัวกับเงาที่ตัวขยับเงาย่อมเคลื่อนไปตาม

แม้อีกมุมกลุ่มมัชฌิมาของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เพื่อนรักของเนวิน ที่เป็นแกนนำกลุ่ม ได้เล่นลงแพชิงหนีในยามที่พรรคภูมิใจไทยตกเป็นฝ่ายค้าน

“สมศักดิ์” มี ส.ส.อยู่ในมือ 7 คน แม้ลึกๆ ข้างในเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครรับรู้การคิดอ่านความต้องการ แต่ก็มีเสียงพรั่งพรูออกมาจากคนสนิทข้างกาย ได้ส่งข้อความตามบทที่ควรจะเป็น มีนัยว่า ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน เพราะกลัวความอดอยากปากแห้ง

และ “กลุ่มมัชฌิมา” ก็ได้เวลาทำตามวลีพจน์ ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวรในสนามการเมือง

ทันทีที่ “อนุทิน” ได้นั่งหัวหน้าพรรค ก็ได้เอ่ยปากขอบคุณสมาชิกพรรค ที่ไว้วางใจรับปากเป็นมั่นเหมาะจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง จะไม่เป็นคู่ขัดแย้งใครและสนับสนุนความปรองดองทุกรูปแบบนั้น เป็นภาพที่ถูกฉายออกมาในบุคลิกที่เห็นๆและเป็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน

สิ่งหนึ่งที่แม้จะเปลี่ยนหัวหน้า แต่นโยบายหลักของพรรคนั้นไม่เปลี่ยน คือ การเทิดทูนสถาบัน และเรื่องนี้น่าจะถูกขยายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ส่วนงานการเมืองนั้น เขาบอกว่า พรรคต้องทำงานด้วยความชัดเจน ไร้เล่ห์เหลี่ยม นั่งทำงานในช่วงนี้เป็นฝ่ายค้านมืออาชีพ ไม่ต่อรองเป็นเกมการเมือง แล้วยังไม่คิดเข้าร่วมกับรัฐบาลในยุคสมัยนี้ แต่อนาคตไม่แน่ พร้อมทั้งยอมรับว่า นี่เป็นกฎธรรมชาติทางการเมือง

คำพูดนี้เหล่านี้ หากตีความแบบการเมืองก็อาจถูกมองว่า เป็นการส่งสัญญาณไปถึงบางคนว่าพร้อมที่จะร่วมงานด้วยแล้ว

และนี่เป็นบทบาทความเป็นตัวตนของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ในโอกาสการหวนคืนสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัว และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคตัวจริง

วันนี้อาจจะยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบว่า ผลงานของ “เสี่ยหนู” จะเป็นอย่างไร แต่ระยะเวลาข้างหน้าจะแสดงให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือ

เพราะสนามแห่งนี้ไม่ใช่ธุรกิจก่อสร้างหมื่นล้าน หากแต่เป็นการพายเรือบนดงขวากหนามความขัดแย้งผลประโยชน์ ในยามที่บ้านเมืองยังแตกแยก และสถานการณ์อีกมากมายที่ยังดูอึมครึมไร้ทางออก

……………..

(หมายเหตุ : ‘เสี่ยหนู’รีเทิร์นรับมรดก’ภูมิใจไทย’ : ขยายปมร้อนโดยวัฒนา ค้ำชู)

ทภ.3’ขึงลวดหนาม’สกัดยา!ซุกกระบะฮิต

ทภ.3’ขึงลวดหนาม’สกัดยา!ซุกกระบะฮิต

ทภ.3’ขึงลวดหนาม’สกัดยา!ซุกกระบะฮิต

ทภ.3’ขึงลวดหนาม’สกัดยา!! เผยฮิตส่งไปรษณีย์-ซุกกระบะ : ตะลุยกองทัพโดยทีมข่าวความมั่นคง

             แม้จะมีผลการจับกุมลอตใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยาเสพติดก็ยังคงเป็นปัญหาอาชญากรรม และปัญหาทางสังคมที่น่าหวาดหวั่นของประเทศไทย โดยช่องทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติดยังคงเป็นพื้นที่แนวชายแดนไทย-พม่า ทางภาคเหนือของไทยในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)

ทั้งนี้ ดัชนีการจับกุมในช่วงปี 2554-55 พบว่า ยาบ้ามีปริมาณเพิ่มขึ้น 34.37% กัญชาเพิ่มขึ้น 21.8% ไอซ์ เพิ่มขึ้น 30.84% แม้ว่าสัดส่วนของเฮโรอีนจะลดลง 42.88% และโคเคน ลดลง 18.21% ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปริมาณยาเสพติดที่จับกุมได้มากขึ้นล้วนเป็นยาเสพติดที่นิยมเสพกันในปัจจุบันทั้งสิ้น

พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีศูนย์พลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติด (ศพส.ชน.) รับผิดชอบปัญหาโดยเฉพาะ โดยทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันหลังจากหน่วยงานด้านความมั่นคงมีการเข้มงวดตามแนวชายแดนมากขึ้น ทำให้มีการลำเลียงยาเสพติดเป็นลอตเล็กๆ ก่อนที่จะนำมาแพ็กรวมกัน และลำเลียงยาเสพติดเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของประเทศ

ส่วนพฤติกรรมของขบวนการค้ายาเสพติดจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่หน่วยงานความมั่นคงก็ไม่ได้ประมาท และเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะการตั้ง “ด่านตรวจ” เพื่อกำจัดเสรีของขบวนการยาค้าเสพติด โดยจะเน้นหลักในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ จ.แม่ฮ่องสอน

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งจุดตรวจในพื้นที่เสี่ยงอีกหลายจุด เพื่อป้องกันยาเสพติดทะลักเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน โดยในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวจะต้องมีการปรับแผนเพื่อรับมืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจัดตั้ง “ศูนย์ข่าวยาเสพติด” ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งทำหน้าที่เกาะติดการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ก่อนที่จะแจ้งไปยังหน่วยปฏิบัติว่ากลุ่มค้ายาเสพติดมีความเคลื่อนไหวอย่างไร

พล.ต.ปรีชา กล่าวว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดจะต้องจัดระบบให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเรื่องปัญหายาเสพติด ได้สั่งการให้ ป.ป.ส.สนับสนุนงบประมาณให้กองทัพทำ “รั้วลวดหนาม” ขึ้นมา เพื่อป้องกันการขนย้ายยาเสพติด เพราะส่วนใหญ่จะมีการลักลอบลำเลียงเข้ามายังฝั่งไทยตามช่องเล็กๆ บนภูเขา

ดังนั้นการจัดทำรั้วลวดหนามก็จะทำให้การเคลื่อนย้ายยาเสพติดทำได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไขปัญหานั้น “งานข่าว” ถือว่าสำคัญที่สุด และกองทัพก็พยายามสกรีนพื้นที่ชายแดน เพราะโรงงานผลิตยาเสพติดอยู่ติดกับชายแดนของไทย

“เราได้ปรับแผนรับมือกับพวกนี้อยู่ตลอด โดยเฉพาะการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการตามแนวชายแดน เพราะยังคงมีความต้องการของผู้เสพเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ไม่เพียงยาบ้าที่ระบาดหนัก ไอซ์ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยยาบ้าจะนิยมในกลุ่มเยาวชน และผู้ใช้แรงงาน ส่วนไอซ์จะนิยมเสพในหมู่คนมีเงิน ซึ่งเราสามารถจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง”
พล.ต.ปรีชา ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 3 และกองทัพภาคอื่นๆ ป้องกันไม่ให้กลุ่มขบวนการยาค้าเสพติดมีอิสระในการค้าขาย และต้องทำงานให้เต็มที่ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

พ.อ.เทิดศักดิ์ งามสนอง โฆษกกองทัพภาคที่ 3 กล่าวเสริมว่า กองกำลังผาเมือง และกองกำลังนเรศวร จะดูแลรับผิดชอบตามแนวชายแดน ขณะที่ศูนย์พลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติด (ศพส.ชน.) จะเน้นดูแลในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ จ.แม่ฮ่องสอน  ที่เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด และยังใช้ลวดหนามปิดกั้นบริเวณที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลได้ตลอดเวลา

“กองกำลังผาเมืองรับผิดชอบพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ส่วนกองกำลังนเรศวร รับผิดชอบพื้นที่ จ.ตาก และแม่ฮ่องสอน โดยเน้นตั้งจุดตรวจและจัดกำลังซุ่มโจมตีตามการข่าวที่ได้รับรายงาน และพื้นที่บางส่วนจะต้องมีการตั้งจุดตรวจในพื้นที่ภายใน นอกเหนือจากจุดตรวจหลักที่ปฏิบัติภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง”

พ.อ.เทิดศักดิ์ยังเผยถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลำเลียงยาเสพติดในปัจจุบันว่า กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดนิยมส่งของทาง “พัสดุไปรษณีย์” รวมถึงการ “ดัดแปลงรถกระบะ” เพื่อซุกซ่อนยาเสพติดไว้ภายในส่วนต่างๆ ของรถ และจะมีรถนำขบวนสังเกตการตั้งด่านตรวจ และความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้จากการประเมินสถานการณ์ในปี 2556 ยาเสพติดจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น

สำหรับมาตรการสกัดกั้นยาเสพติดจะเน้นการเข้มงวดการส่งออกสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด และเข้มงวดการสกัดกั้นตามช่องทางต่างๆ เพื่อไม่ให้ยาเสพติดทะลักเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของประเทศ

………………………….

(หมายเหตุ : ทภ.3’ขึงลวดหนาม’สกัดยา!! เผยฮิตส่งไปรษณีย์-ซุกกระบะ : ตะลุยกองทัพโดยทีมข่าวความมั่นคง)

จับตาการแก้ปัญหา’การเมืองจนมุม’

จับตาการแก้ปัญหา’การเมืองจนมุม’

จับตาการแก้ปัญหา’การเมืองจนมุม’

จับตาการแก้ปัญหา ‘การเมืองจนมุม’ : ขยายปมร้อน โดย…สมถวิล เทพสวัสดิ์

            เห็นการเมืองบ้านเราที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บางครั้งอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ตกลงระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “เพื่อไทย” ใครทำหน้าที่เป็นรัฐบาลและใครเป็นฝ่ายค้านกันแน่

เมื่อก่อนสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” โฆษกพรรคเพื่อไทย ไปยื่น “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) และ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาล

ในมุมมองในฐานะ “ฝ่ายค้าน” ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก แม้ว่าจะเป็นการไปยื่นรายวันก็ตาม แม้กระทั่งตัว “พร้อมพงศ์” บางครั้งยังจำเรื่องที่ไปยื่นยังไม่ได้

แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล “พร้อมพงศ์” และคณะ ก็ยังไปยื่นตรวจสอบ “แกนนำพรรคประชาธิปัตย์” อยู่เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ได้เพิ่มเป้าตรวจสอบไปที่ “สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งสังกัดพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย

หลายคดีมีการตั้งข้อสังเกตว่า “อำนาจเปลี่ยนมือ” การดำเนินคดีก็เปลี่ยนไปด้วย

เปลี่ยนตั้งแต่พนักงานสอบสวน หรือกระทั่งบางคดีก็ยกคำร้องฟ้องชนิดค้านสายตาประชาชนคนที่ติดตามการทำคดีดังกล่าวอยู่

หรือมีบางกรณีก็สั่งให้มีการตรวจสอบในลักษณะ “ตามน้ำ” มากกว่าจะตรวจสอบในเชิงเจาะลึก เพื่อไม่ให้สาวถึงตัวผู้บงการใหญ่

แต่บางคดีกลับนำมาพิจารณาใหม่ “เข้าทำนองทีใครทีมัน”

การเมืองที่หวังเพียงอำนาจโดยไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ยึดเพียงความถูกใจ ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เพื่อขัดขวางอีกฝ่ายไม่ให้มาช่วงชิงอำนาจไปจากกลุ่มและพวกพ้องของตัวเอง การทำงานการเมืองลักษณะนี้เรียกว่า “การเมืองจนมุม”

จากประวัติศาสตร์การบริหารบ้านเมือง ถ้า “จนมุม” มักใช้ทฤษฎี 2 กรณีเข้ามาเป็นตัวช่วย คือ ใช้ไสยศาสตร์หมอดูเข้ามาช่วย เป็นการทำงานการเมืองแบบจิตวิทยา มีการทำพิธีปัดรังควาน ทำบุญใหญ่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ทำหน้าที่บริหารต่อไปได้

หรือถ้า “จนมุมหนัก” ก็ใช้วิธีกวาดล้าง ฝ่ายตรงข้าม ถ้าในอดีตยุคเผด็จการจะกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามโดยวิธี “อุ้ม” จะฆ่าหรือหาย แล้วแต่ความสำคัญของคู่กรณี

แต่การเมืองสมัยใหม่ทำไม่ได้ จึงใช้วิธี “ยัดคดี” เป็นการนำคดีไปผูกขาไว้ก่อน เพื่อหยุดไม่ให้ไปตรวจสอบ ถือเป็นวิธีการแก้เกี้ยวฟ้องสังคมว่า คนเหล่านี้ก็มีพฤติกรรมไม่ดีเหมือนกัน

เหมือนที่เรากำลังเห็นการเมืองในยุคนี้ทำกัน จนบางครั้งประชาชนเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าใครผิดใครถูกกันแน่!

ตั้งแต่กรณีการวิวาทะกันระหว่าง “ปลอดประสพ สุรัสวดี” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธาน กบอ.กับ “ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์” กรณีกระสอบทราย

หรือกรณีการถอดยศของ “ทักษิณ ชินวัตร” กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

แทนที่จะมุ่งเน้นการให้ความรู้นำความจริงมาบอกกับประชาชนแต่กลับไปนำเฉพาะประเด็นที่คู่กรณีเสียหายมาตีแผ่เท่านั้น

โดยนำความจริงเพียงครึ่งเดียวมาพูดให้สังคมสับสน!

และในสถานการณ์การเมืองที่จนมุมบวกกับเป็นช่วงเตรียมปรับคณะรัฐมนตรีมี “รัฐมนตรี” บางคนพยายาม “สร้างราคา” ให้แก่ตัวเอง เพื่อให้ “นายใหญ่” เห็นว่าคนอย่างเขาเหมาะสมกับตำแหน่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างพากันหมายปอง

โดยเฉพาะในช่วงที่ฝ่ายค้านกำลังจะยื่นอภิปรายไม่มีใครจะทันเกมและตอบโต้ฝ่ายค้านได้ดุเดือดและดีเท่ากับเขา ดังนั้นเมื่อในรัฐบาลยังมองไม่เห็นใคร เมื่อมีคนมาอาสาเป็น “ม้าใช้” แม้จะดีเทียบเท่าม้าไม่ได้ การใช้ “ลา” แทนไปก่อนก็ถือว่ายังดีกว่าไม่มีเลย

นับจากนี้ไปให้จับตาดูการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะที่ถูกวิจารณ์นโยบายหลายเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายรับจำนำข้าว “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” พยายามจะ “เลี่ยง” การปะทะทางด้านการเมือง แม้ว่าจะมี ส.ส.และรัฐมนตรีบางคนพยายามเรียก “ศัตรูทางการเมือง” ให้ก็ตาม

ขณะเดียวกันทางทีมยุทธศาสตร์ของรัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปถึง “นายใหญ่” อย่าให้นำปัญหาตำแหน่งทางการเมืองมาเพิ่มความยุ่งยากให้แก่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะแค่การแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ “ยิ่งลักษณ์” ก็ทำงานลำบากอยู่แล้ว หากนำปัญหาตำแหน่งทางการเมืองมาพ่วงอีกอาจทำให้รัฐบาลล้มได้

ดังนั้นการปรับคณะรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ 3” จะเป็นการปรับตามจุดอ่อนของรัฐบาลโดยดูจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่กำลังจะมีขึ้น

และหลังปรับคณะรัฐมนตรีแล้วให้จับตา “เกมในสภา” เพราะทิศทางการเมืองในสภาจะโดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ

อาจเรียกได้ว่าเกมในสภาจะสร้างสีสันจนกลบปัญหาความล้มเหลวการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลและเป็นการแก้ปัญหาในสถานการณ์ “การเมืองจนมุม”!

……………

(หมายเหตุ : จับตาการแก้ปัญหา ‘การเมืองจนมุม’ :   ขยายปมร้อน โดย…สมถวิล เทพสวัสดิ์)