ขนส่งฯ เล็งยึดใบอนุญาตขับรถ ดีเจเก่ง 1 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560405

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ม.ค. 2559 15:45

 

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เตรียมให้ผู้ตรวจการขนส่งทางบก เรียกตัวดีเจเก่ง มาพบ เพื่อตรวจสอบการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ โดยหากพบผิดจริงจะพักใบอนุญาตขับรถ 1 ปี และหากพบมีการกระทำผิดซ้ำ จะยกเลิกใบอนุญาตฉบับดังกล่าวทันที…

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2559 นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีการแชร์ทางโซเชียลมีเดีย สำหรับพฤติกรรม นายภัทรศักดิ์ เทียมประเสริฐ หรือ ดีเจเก่ง ที่มีการถอยรถปิกอัพชนรถคู่กรณี แต่มีการกล่าวในการบันทึกคลิป อ้างว่าถูกชนท้าย ซึ่งการแชร์คลิปดังกล่าว สร้างกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างมาก โดยประเด็นดังกล่าวในส่วนของการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2558 การดำเนินคดีเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในส่วนของกรมการขนส่งทางบก ที่ดูแลกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 การกระทำของดีเจเก่ง ขณะนี้ มีการรับทราบข่าวสารอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็ถือว่ามีมูลความผิดแล้ว รวมถึงการเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดง ก็มีการยอมรับว่ากระทำผิดจริง แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด กรมการขนส่งทางบก จะให้ผู้ตรวจการขนส่งฯ เรียกดีเจเก่งมาให้ถ้อยคำต่อไป

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวด้วยว่า หากการสอบสวนพบมีการกระทำผิดชัดเจนแล้ว ตามอำนาจ พ.ร.บ.รถยนต์ฯ กรมการขนส่งทางบก มีอำนาจในการพักใบอนุญาต ดีเจรายดังกล่าว 1 ปี แต่ถ้ามีการนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาล และศาลมีคำพิพากษาว่าผิด ก็ต้องไปติดตามประวัติของดีเจเก่งว่า มีการกระทำผิดซึ่งถูกศาลพิพากษา ตาม พ.ร.บ.จราจรฯ หรือ พ.ร.บ.รถยนต์ หรือไม่ หากเคยมีประวัติถูกศาลพิพากษามีความผิด เมื่อรวมกับคำพิพากษาคดีในครั้งนี้ ถือว่า ครบ 2 ครั้ง กรมการขนส่งทางบก สามารถยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ฉบับดังกล่าวได้ตลอดไป ซึ่งล่าสุด ได้มีการประสานขอประวัติการกระทำผิดทางจราจรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว ทั้งนี้ข้อมูลเบี้องต้นพบว่า ดีเจเก่ง ถือใบอนุญาตขับรถตลอดชีพด้วย.

 

กสทช.-เมโทรซิสเต็มส์ฯ ร่วมจัดงานวันเด็ก มอบสิ่งของพร้อมความรู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560381

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ม.ค. 2559 15:00

 

กสทช.ร่วมจัดงานวันเด็กแห่งชาติที่สำนักงานซอยสายลม กทม. ด้านเมโทรซิสเต็มส์ฯ จัดกิจกรรม “MSC สานฝัน ปันรอยยิ้ม” ให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน…

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. มีรายงานว่า หลายหน่วยงานด้านโทรคมนาคมและไอซีทีได้ร่วมจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดย นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ สำนักงาน กสทช. เปิดบ้านจัดงานวันเด็กแห่งชาติปี 2559 “ตะลุย คลื่นมหาสนุก วันแสนสุขของหนูๆ ปี 4 ตอน เด็กไทยหัวใจอาเซียน” ขึ้น ณ สำนักงาน กสทช. ถนนพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) กรุงเทพฯ เปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้าเยี่ยมชมห้องประมูล 4G ที่ใช้ในการประมูลครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย พร้อมพบประสบการณ์ใหม่ในการทดลองเป็นผู้ร่วมแถลงข่าวการประมูล

นอกจากนั้น เด็กๆ จะได้สนุกสนานพร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน มีกิจกรรมการแสดงบนเวที เช่น การประกวดเต้น Cover Dance การแสดงมายากล โชว์การแสดงสัตว์ รวมทั้ง ไฮไลต์ความสนุกด้วยเครื่องเล่น อาทิ บ้านลมมหาสนุกขนาดใหญ่ สระลูกบอลน้ำ (Water Ball) ม้าหมุน วัวกระทิง แต่งหน้าคัพเค้ก พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมายภายในงานทั้ง เครื่องเล่นเกม Playstation 4 จักรยานพับได้ Tablet และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

นายฐากร กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์ในการจัดงานวันเด็กของ กสทช. เพื่อให้กิจกรรมนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยกระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในอนาคต
รวมถึงส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับความสนุกสนาน มีเวทีแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมส่วนรวม
พร้อมทั้งได้รับความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน

มีรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านไอซีที จัดกิจกรรม “MSC สานฝัน ปันรอยยิ้ม” มอบของขวัญให้กับ 2 โรงเรียนในเขตชุมชน ได้แก่ โรงเรียนคชเผือกอนุสรณ์ และโรงเรียนคลองมะขามเทศ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2559 เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาด้วย.

 

ราคาทองไทยเพิ่มบาทละ 50 แท่งขาย 18,950

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560309

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ม.ค. 2559 10:35

 

สมาคมค้าทองคำประกาศปรับราคาทองคำในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบาทละ 50 ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 18,950…

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. มีรายงานว่า สมาคมค้าทองคำประกาศปรับราคาทองคำในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบาทละ 50 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 18,950 บาท ซื้อคืนบาทละ 18,850 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณขายออกบาทละ 19,350 บาท ซื้อคืนบาทละ 18,571 บาท.

 

ไฟลนก้นแก้ปัญหาราคายาง รัฐงัดมุกเดิมเพิ่มปริมาณใช้ภายในประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560175

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ม.ค. 2559 09:01

 

รัฐตื่นแก้ปัญหาราคายาง เดินหน้าเร่งใช้ยางในประเทศเพิ่ม กระทรวงอุตสาหกรรมจี้โรงงานแปรรูปยางที่ได้ใบ รง.4 กว่า 90 โรง เร่งเดินเครื่องผลิตให้ได้ภายในปีนี้ พร้อมประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำยางพาราไปเป็นส่วนผสมสร้างสนามกีฬาและสนามเด็กเล่น “อรรชกา” ยอมรับส่งออกยางไปจีนปีนี้ไม่สดใส

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่ชาวสวนยางต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในระดับต้นๆ และทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้ามาดูแลในเรื่องนี้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นห่วง โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้ปฏิรูปโครงสร้างเกษตรอย่างจริงจังเพื่อให้สินค้าเกษตรมีราคา และมีการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ต้องสร้างสมดุลยภาพระหว่างระยะสั้น และระยะยาว

ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังจากการประชุมแนวทางลดผลกระทบจากปัญหายางพาราตกต่ำ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยประสานงานกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้สำรวจจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม ที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิต เช่น อุตสาหกรรมยางล้อ ยางยืด ถุงมือยาง เป็นต้น ซึ่งได้รับรายงานว่ามีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตโรงงานที่เสี่ยงต่อมลภาวะและสุขภาพ (รง.4 ) แล้ว และเตรียมก่อสร้างประมาณ 90 โรงงาน มีความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น 100,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะลงทุนจริง และเปิดดำเนินการได้ภายในปีนี้ 60-70% ขณะที่อีก 30-40% ที่ไม่สามารถเปิดได้ภายในปีนี้ จะลงไปติดตามว่าผู้ประกอบการเหล่านี้ติดปัญหาด้านใด และจะเร่งประสานงานแก้ไข เพื่อให้สามารถเปิดโรงงานให้ได้ทันภายในปีนี้

ทั้งนี้ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหายางพาราตกต่ำ โดยมาตรการระยะสั้นของกระทรวงอุตสาหกรรมคือ ประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อหาแนวทางในการนำยางพาราไปใช้ผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุด เบื้องต้นมองว่าควรนำยางพาราไปเป็นส่วนผสมในการก่อสร้างสนามกีฬา และสนามเด็กเล่น โดยขณะนี้ประเมินว่ามี 10 กว่าโรงงานที่มีความพร้อมในการก่อสร้างร่วมกับภาครัฐ นอกจากนี้จะมีการเสนอให้หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่น หน่วยงานทหาร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดซื้อยางพาราเพื่อนำมาใช้เพิ่มเติมให้มากที่สุด

นางอรรชกา กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตน้ำยางพารา 4 ล้านตันต่อปี โดยนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา 13% คาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะส่งออกยางพาราได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะตลาดประเทศจีนจะมียอดส่งออกที่ลดลงมาก เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีนที่ชะลอตัว ประกอบกับสต๊อกยางของจีน ยังมีปริมาณมาก ดังนั้น ภาครัฐจะเร่งสร้างความต้องการใช้ยางพาราในประเทศให้สูงขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับอุตสาหกรรมยาง

ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ใช้ยางพาราในการทำถนนผ่านกระทรวงคมนาคม จำนวน 20,000 ตัน และให้ อบต.และ อบจ. ใช้ยางพาราในการสร้างสนามฟุตซอล ปูพื้นสนามกีฬา อีกทั้งทางกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายขับเคลื่อนวางรากฐานเกษตรกรอย่างยั่งยืนโดยส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมนอกในพื้นที่ปลูกยางพารา ซึ่งมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 159,270 ราย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) จ่ายเงินไปแล้วกว่า 96,563 ราย และจะเร่งรัดจ่ายเงินเกษตรกรที่เหลือให้เสร็จสิ้นภายในเดือน ม.ค.นี้

ทั้งนี้ในวันที่ 10 ม.ค.2559 กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ลงไปคุยกับเกษตรกรถึงปัญหายางพาราที่เกิดขึ้น ที่ จ.นครศรีธรรมราช และในวันที่ 11 ม.ค.2559 จะเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อพัฒนายางพารา โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งศูนย์ราชการ, ตัวแทนกลุ่มเกษตร 12 กลุ่มทั่วประเทศ เข้าประชุมเพื่อหาทางออกการแก้ปัญหายางพาราตกต่ำ

ด้านนายอำนวย ปะติเส ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ในปี 2559 จะเดินหน้าใช้กลไกตาม พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทยมาแก้ไขปัญหายางพารา โดยวันที่ 14 ม.ค.นี้ จะผลักดันให้มีคณะกรรมการ (บอร์ด) การยางแห่งประเทศไทย จำนวน 15 คน ซึ่งมาจากการคัดเลือกจากทุกภาคส่วน เมื่อบอร์ดเกิดขึ้นตามกฎหมายจะสามารถใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพาราระยะยาวและเงินหมุนเวียนในแต่ละปีได้ ซึ่งเงินเหล่านี้จะนำไปใช้สำหรับวัตถุประสงค์ 6 ด้าน คือ งบเพื่อบริหารจัดการ 1%, ใช้เพื่อการปลูกแทน 40% , การดูแลการใช้ยางในประเทศและการพัฒนามูลค่าเพิ่มของสินค้าในประเทศ 35%, การสนับสนุนพัฒนาเกษตรกร 3%, ให้สวัสดิการแก่เกษตรกร 7%, เพื่อวิจัยและพัฒนา 5%

“เมื่อมีการใช้ พ.ร.บ.การยางจะมีเงินที่เกษตรกรไม่เคยได้รับมาก่อนในประวัติศาสตร์ คือ เกษตรกรจะได้รับเงินโดยตรง 7% จากเงินสวัสดิการก้อนนี้ เป็นเงินส่วนที่เติมเข้าไปเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวนเงินกว่า 300 ล้านบาท โดยจะมีการบริหารร่วมกันระหว่างองค์กรเกษตรกรและรัฐ และยังมีเงินดูแลค่าครองชีพอีก 3% เพื่อทำให้เกษตรกรเข้มแข็งขึ้น”.

 

ท่องเที่ยวมาเหนือเมฆทำรายได้เกินเป้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560174

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ม.ค. 2559 08:01

 

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการชุดนี้และมอบให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ที่มี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สานต่อการทำงานแทนในระบบการบริหารงานปกติ พร้อมกันนี้ได้มีการสรุปตัวเลขล่าสุดของปี 2558 มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.23 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2.20 ล้านล้านบาท หรือสูงกว่าเป้า 30,000 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 29.88 ล้านคน สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 28.80 ล้านคนนำรายได้เข้าประเทศ 1.44 ล้านบาท และคนไทยเที่ยวในประเทศ 138.8 ล้านคน/ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ 790,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2559 นี้ตั้งเป้ารายได้ 2.3 ล้านล้านบาท

ด้านนายยุทธศักดิ์ ศุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำอย่างมากถึงการกระจายประโยชน์ของการท่องเที่ยวไปยังคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง ในประเด็นที่อาจได้รับผลกระทบในเชิงลบ เช่น การจราจรแออัด หรือค่าครองชีพของคนในพื้นที่สูงขึ้น และต้องการให้ช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการเดินทางมาของนักท่องเที่ยวด้วย.

 

“สมคิด” ย้ำเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง จีนปรับค่ากลางหยวนรอบ 9 วัน “อภิศักดิ์” เตรียมพร้อมรับมือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560171

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ม.ค. 2559 07:01

 

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนั้น เชื่อว่าจะไม่เกิดสงครามค่าเงินแน่ แต่ได้ฝากเรื่องนี้ให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา ซึ่งผู้ว่าการ ธปท.ได้ดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ต้องกังวล อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยมีความแข็งแกร่ง

“เรื่องของจีน อาจจะก่อให้เกิดความผันผวนทางการเงินบ้างในตลาดโลกประมาณ 2-3 วัน แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง จึงไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งรัฐบาลเตรียมรับมือไว้เรียบร้อย โดย 3-4 วันก่อน รมว.คลัง ได้ติดตามมาและดูแลร่วมกับ ธปท. ผมคิดว่าเมืองไทยจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ส่วนค่าเงิน ผู้ว่าการ ธปท.ดูแลอยู่แล้ว รู้ว่าระดับไหนเหมาะกับเศรษฐกิจไทย และระดับไหนที่จะทำให้ประเทศไทยไปได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวล”

นายอภิศักดิ์กล่าวยอมรับว่า เรื่องของจีนกระทบการส่งออกค่อนข้างสูง แต่สิ่งที่จะทำได้ตอนนี้คือ ต้องดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ การใช้จ่ายประชาชน ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจของไทยไปได้ ส่วนผลกระทบตลาดเงิน ตลาดทุนนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่เวลาประเทศใหญ่เกิดปัญหาก็จะกระทบต่อประเทศเล็ก ซึ่งไม่ใช่ไทยประเทศเดียว “ขณะนี้เตรียมรับมือไว้หมดแล้ว คือการดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่ง ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ต้องดูหลายส่วนประกอบทั้งจีน ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ ที่จะขึ้นดอกเบี้ย โดยปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามช่วยให้ประชาชนที่ลำบากและมีรายได้น้อยสามารถอยู่ได้”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ปรับค่ากลางเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 วัน หลังจากปรับลดค่าเงินหยวนลง 8 วันติดต่อกัน โดยค่ากลางเงินหยวนอยู่ที่ 6.56 หยวนต่อดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินหยวนในประเทศไทยซื้อที่ 4.96 หยวนต่อบาท และขาย 5.62 หยวนต่อบาท.

 

รถเมล์ไฟฟ้าวิ่งมาปี 60

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560168

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ม.ค. 2559 06:01

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (8 ม.ค.) ที่บริเวณถนนหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดแสดงนวัตกรรมต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้า ที่ผลิตจากบริษัทเอกชนในประเทศไทย เช่น รถเมล์โดยสาร จักรยานยนต์ รวมทั้งตุ๊กตุ๊กสามล้อที่ใช้สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างเยี่ยมชมว่า ต้องการให้ผู้ประกอบการรถไฟฟ้าพิจารณาเรื่องการสร้างธุรกิจเชื่อมโยงที่ต้องใช้ชิ้นส่วนการผลิตในประเทศไทยมากกว่า 20% และยินดีสนับสนุนผู้ประกอบการ แต่ทุกอย่างต้องคำนึงถึงระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขระเบียบเพื่อรองรับกับการผลิตของผู้ประกอบการ และที่สำคัญต้องจดทะเบียนตามมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกราย

“ความตั้งใจจริงเจตนารมณ์ของรัฐบาลนี้ คือจะส่งเสริมการผลิตรถไฟฟ้าในประเทศให้ได้ เราจะต้องเป็นประเทศที่ผลิตรถไฟฟ้าให้ได้โดยเร็วในอนาคต”

ด้านนางปราณี ศุกระศร รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า ขสมก.มีโครงการจัดซื้อรถโดยสารใหม่ 3,500 คัน โดยลอตแรกมีจำนวน 249 คัน ซึ่งในส่วนนี้คณะกรรมการของ ขสมก. มีมติให้จัดซื้อเป็นรถโดยสารไฟฟ้า 200 คัน น้อยกว่าที่นายกรัฐมนตรีเคยมีนโยบายให้จัดซื้อที่ 500 คัน เนื่องจากต้องพิจารณาถึงเรื่องความพร้อมของสถานีชาร์จไฟและบุคลากร โดยวางแผนให้รถโดยสารไฟฟ้า 200 คัน กระจายอยู่ในอู่ 4 แห่ง แห่งละ 50 คัน โดยการจัดซื้อคงเกิดขึ้นช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ และคาดว่าจะมีการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าออกมาให้บริการประชาชนได้ในปี 2560.

 

“ทุกการช็อป คือการช่วย” อาสาแนวใหม่ ที่งาน “คนไทย ขอมือหน่อย”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558923

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ม.ค. 2559 06:01

 

คนไทยมีน้ำใจ เรื่องส่วนรวม งานอาสา ได้ข่าวเมื่อไรก็พร้อมจะลงแรงช่วยเสมอ แต่หลายๆ ครั้ง ก็ยังไม่รู้ว่า “เราช่วยอะไรได้บ้าง”

เลยเป็นที่มาของงาน “คนไทย ขอมือหน่อย” มหกรรมรวมงานอาสา และมูลนิธิทั่วประเทศ ที่จะมาออกร้านให้คุณได้เลือกงานอาสาที่ใช่ จากมูลนิธิที่ชอบ ซึ่งครั้งนี้ ก็จัดมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

จุดเด่น ไฮไลต์ห้ามพลาดของงานนี้ก็คือ ร้านค้า ร้านอาหารชื่อดัง ที่จะชวนคุณมาร่วมแบ่งปัน ผ่านโปรโมชั่นเพื่อสังคม ทุกเมนูที่กินในร้านอาหาร ทุกเสื้อผ้าที่ช็อป จะแบ่งรายได้ ไปช่วยสังคมในประเด็นต่างๆ

อาทิ เช่น ร้านอาหารดังอย่าง After you ที่จะร่วมบริจาครายได้ทั้งหมด! เมื่อสั่งเมนูพิเศษที่คิดขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อร่วมโครงการ Food4Good เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในประเทศไทย หรือ ร้าน S&P ที่จะร่วมบริจาค 1 บาท เมื่อสั่งเค้กวันเกิด 2 ปอนด์ทุกก้อน และยังมีร้านอื่นๆ อีกมากมายอย่าง Sizzler, Audrey, Dairy Home, Crepes&Co., Kuppadeli

ลองไปชมวิดีโอไวรัลของงาน “คนไทย ขอมือหน่อย” ปีนี้ ที่ชวนเราคิดถึง “ตัวเรา” ว่าช่วยกันแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง มากกว่าจะชี้นิ้วโทษ “คนอื่น”

ดูจบแล้ว ก็รีบแชร์ ชวนเพื่อนไปงานดีๆ นี้กัน หรือไปดูเพิ่มเติม ว่ามีอะไรที่ “เราช่วยได้บ้าง” ที่ www.facebook.com/khonthaifoundation

 

“พีเพิลฟู” บุกตลาดจอภาพดิจิตอล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/559921

โดย วานิชหนุ่ม 9 ม.ค. 2559 05:01

 

ทุกวันนี้การดำเนินชีวิตของมนุษย์เรามีความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะมนุษย์เองได้คิดค้น ประดิษฐ์อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆออกมาเป็นเสมือนผู้ช่วยที่ทำงานแทนเราไปเกือบทุกอย่าง

หนึ่งในนั้นก็มี ระบบกล้องวงจรปิด Closed–circuit television (CCTV) ที่ในปัจจุบันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปไกลมาก ทำให้มีขนาดเล็กลงแต่มีความละเอียดของภาพสูง และถ่ายภาพเวลากลางคืนได้คมชัดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการไม่หยุดนิ่งในการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์นี้เอง

นายพงศพัค หวัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเพิลฟู เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดกล้องวงจรปิดในประเทศไทยมีขนาดใหญ่มาก และในเวลานี้ก็มีผู้คนต่างให้ความสนใจในการติดตั้งกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯก็ไม่หยุดที่จะสรรหาสินค้าที่ดีมีคุณภาพมานำเสนอต่อลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้กล้องที่ดี ราคาสมเหตุสมผล

“ตลาดกล้องวงจรปิดยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะในเวลานี้ผู้คนต่างได้เห็นถึงประโยชน์จากการติดตั้งกล้องว่าสามารถช่วยจับภาพเหตุการณ์ สำคัญต่างๆได้มากมาย อาทิ เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ กล้องวงจรปิดก็เป็นพระเอกให้การช่วยจับภาพผู้ก่อเหตุ และนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ในที่สุด”

ทั้งนี้ นอกจากตลาดกล้องวงจรปิดแล้ว ในปีหน้า 2559 บริษัทฯยังมีแผนที่จะบุกตลาดจอภาพดิจิตอล โดยจะมีการนำเข้าสินค้าประเภทจอภาพดิจิตอลเข้ามาในไลน์สินค้าของบริษัทฯ โดยมีแผนทำตลาด 3 ชนิด คือ 1.พีซี ทีวี จะเป็นจอภาพที่มีระบบคอม-พิวเตอร์อยู่ด้านใน สามารถ เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลผ่านระบบไวไฟได้ มาพร้อม หน้าจอแบบทัชสกรีนได้ ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นจอโฆษณาก็ได้ ใช้ติด ตั้งในห้องประชุมก็ได้ มีขนาดจอคือ 46, 49 และ 55 นิ้ว

2.Digital Signage หรือป้ายดิจิตอล สื่อรูปแบบใหม่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์มาผสมผสานกับจอภาพคอมพิวเตอร์ จะมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความทันสมัยในการโปรโมตสินค้า ตั้งไว้ตามงานอีเวนต์ต่างๆ เป็นต้น และ 3.ทีวี วอลล์ จะเป็นจอแสดงผลที่มีความละเอียดสูง มีจุดเด่นในเรื่องการมองที่มุมเอียง 178 องศา ก็สามารถเห็นภาพได้ชัดเจนไม่ผิดเพี้ยนจากการมองในมุมตรง ซึ่งสินค้าตัวนี้จะมาตอบโจทย์ในเรื่องการทำป้ายโฆษณา นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนจะเปิดตลาดสินค้าประเภทจอภาพที่ไว้แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดอีกด้วย

“บริษัทฯเล็งเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดจอภาพแสดงผลในประเทศไทย โดยแนวโน้มในอนาคตโลกก็จะก้าวไปสู่ยุคดิจิตอลแน่นอน การทำอะไรก็ต้องรวดเร็ว ซึ่งจอแสดงผลของบริษัทฯก็สามารถมาเสริมและตอบโจทย์ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี”

นายพงศพัคกล่าวว่า ในปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะมุ่งความสำคัญไปที่ตัวกล้องวงจรปิดเป็นหลัก ไม่ค่อยคำนึงถึงตัวจอภาพแสดงผลเท่าไร ซึ่งหากมาวิเคราะห์กันดีๆ จะพบว่า ถึงแม้เราจะติดกล้องที่ดี มีความคมชัดสูง สามารถถ่ายบันทึกภาพได้ดี แต่พอมาดูผ่านจอภาพที่ปัจจุบันจะใช้โทรทัศน์เป็นตัวแสดงภาพ ส่วนมากจะขาดความคมชัดไป

โดยในจุดนี้ จอภาพทีวี วอลล์ ของบริษัทฯจะมาเป็นตัวช่วยได้เป็นอย่างดี เมื่อนำมาใช้คู่กับระบบกล้องวงจรปิด ก็จะมีศักยภาพในการแสดงภาพได้มีคุณภาพ เริ่มตั้งแต่กล้องบันทึกภาพได้ชัด พอมาดูผ่านจอทีวี วอลล์ ก็ยังได้ภาพที่มีความชัดตามจริงอย่างที่กล้องสามารถถ่ายได้

“ผมอยากให้ลูกค้าหันมาใส่ใจกับจอภาพแสดงผลมากขึ้น เพราะในกรณีที่บ้านเรามีโจร ผู้ร้าย บุกมาทำร้ายเรา หรือมาขโมยทรัพย์สิน ภาพที่ชัดจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การตามจับกุมผู้กระทำผิดได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องเสียเวลามานั่งคาดเดาว่าผู้ร้ายจะมีใบหน้าเป็นเช่นไร”

สำหรับในส่วนของแผนการตลาดจอภาพแสดงผล บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ไว้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ 1.ปล่อยเช่าอุปกรณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการกำหนดอัตราค่าเช่าอยู่ 2.จำหน่ายให้ลูกค้าโดยตรง ซึ่งก็คาดว่าจะมีลูกค้าสนใจ เพราะเป็นสินค้าที่สะดวกในการใช้งาน และ 3.เปิดขายโฆษณา โดยบริษัทฯจะไปลงทุนนำจอไปติดตั้งในสถานที่ต่างๆ แล้วให้ลูกค้ามาซื้อพื้นที่โฆษณาอีกที

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ตลาดของจอแสดงภาพดิจิตอล ในอนาคตตลาดนี้จะเป็นที่นิยมจากกลุ่มลูกค้ามากน้อยเพียงใด แน่นอนนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้านวัตกรรมที่มนุษย์บนโลกได้เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว!!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

 

AEC Go On 09/01/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/559934

โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 9 ม.ค. 2559 05:01

 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 หน้าประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์อาเซียน และประวัติศาสตร์โลก จะต้องจารึกและบันทึกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้เริ่มต้นเต็มรูปแบบและเดินหน้าอย่างเต็มตัวทั้ง 10 ประเทศสมาชิกของอาเซียนแล้ว

“ประเทศไทยจะสู้คนอื่นไหวมั้ยเมื่อเปิด AEC” หรือ “คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก AEC” หรือ “เราจะต้องปรับตัวรับมือกับ AEC อย่างไรดี” เป็นคำถามยอดฮิตที่ถูกถามบ่อยๆ เพราะความห่วงใยของคนไทยเนื่องจากรู้สึกว่ายังไม่รู้จัก AEC ดีพอ แน่นอนครับ คนไทยต้องพยายามรู้จัก AEC มากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องเครียดว่าจะต้องรู้จักอย่างดี 100% นะครับ ค่อยๆ เรียนรู้เดี๋ยวก็ปรับตัวได้ครับ เราสู้ประเทศอื่นๆ ใน AEC ได้อยู่แล้ว เพราะจากสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยกับ AEC ตั้งแต่ปี 2553 ที่ไทยลดภาษีนำเข้าเพื่อนำร่องการเข้าสู่ AEC นั้น ไทยยังรักษาสถิติเกินดุลการค้ากับประเทศในอาเซียนมาโดยตลอด แต่ก็ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องนะครับ อย่าชะล่าใจ

นอกจากนี้ วันที่ 1 มกราคม 2559 ยังเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ปีลิง ปี 2559 หรือปี 2016 เรามารู้จักคำ “สวัสดีปีใหม่” ของประเทศสมาชิก AEC แต่ละประเทศกันดีมั้ยครับ เริ่มที่ “CLMV” คือ ภาษากัมพูชาจะพูดว่า “ซัวซะเดย ชะนำทะไม” สปป.ลาวใช้คำว่า “สะบ๋ายดี๋ปี๋ใหม่” เมียนมาพูดว่า “มิงกะลา นิติ๊ป่า” และเวียดนามใช้ “จุ๊กหมึ่ง นัมเหมย”

สำหรับกลุ่มประเทศใน AEC ที่มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากคือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งผมใช้คำย่อเท่ๆ เองว่า
“BIMS” นะครับ พูดคำว่าสวัสดีปีใหม่เหมือนกันคือ “เซอละมัท ตา ฮุนบารู” ประเทศสุดท้ายคือ ฟิลิปปินส์ จะพูดว่า “มะนิกง บะกง ทะอง”

ผมขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายที่ท่านผู้อ่านเคารพนับถืออำนวยพรให้ทุกท่านรวมทั้งทีมงานของไทยรัฐมีสุขภาพแข็งแรงมีความสุขความเจริญ รวยๆๆ และเฮงๆๆ ตลอดปี 2559 และตลอดไปกับประวัติศาสตร์ยุคใหม่ภายใต้เวทีความร่วมมือของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ครับ.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย