บอร์ดทีโอทีใหม่เจอของแข็ง อีริคสันประเดิมส่งหลักฐานขย่มประมูล 3 จี
บอร์ดทีโอทีใหม่นัดแรกก็เจอศึกหนัก เมื่ออีริคสันซึ่งอกหักถูกตัดสิทธิร่วมประมูล 3 จี หอบหลักฐานชุดใหม่เรียกร้องความเป็นธรรม ด้านปลัดไอซีทีปลงผลเจรจาค่าเสียหายแก้สัมปทานกับดีแทคล่าสุด ถอดใจไปไหนไม่เป็น เมื่อกสท ยืนยันไม่ได้รับความเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ประชุมกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ชุดใหม่ ได้มีมติแต่งตั้งกรรมการใหม่รวม 7 คน ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนกรรมการชุดเก่าที่ยกโขยงลาออกไปเกือบหมด โดยการประชุมเริ่มต้นขึ้นในเวลา 14.30 น. ลำดับแรกเป็นการปฐมนิเทศหรือการแจ้งกฎระเบียบให้กรรมการชุดใหม่รับทราบ จากนั้นบอร์ดได้เชิญฝ่ายกฎหมายของทีโอทีให้ รายงานปัญหาข้อพิพาทระหว่างทีโอทีกับคู่สัญญาสัมปทานทุกสัญญา ทั้งสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส สัญญาระบบการจัดเก็บเงิน (บิลลิ่ง) กับบริษัท เทเลเมติกส์ (ประเทศไทย) ที่อยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องกันอยู่ รวมถึงโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 จีมูลค่า 17,440 ล้านบาท และยังได้แต่งตั้งนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี เป็นประธานบอร์ดคนใหม่ด้วย
นอกจากนั้น บอร์ดชุดใหม่ยังประเดิมได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายยัวอาคีม ดัมการ์ด ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) เพื่อขอความเป็นธรรมในกรณีที่คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 จี มูลค่า 17,440 ล้านบาท ได้ตัดสิทธิอีริคสันเข้าร่วมประมูล เพราะขาดคุณสมบัติโดยร้องเรียนว่าบริษัทที่ผ่านเข้าร่วมประมูล 2 ราย ได้แก่ กลุ่มคอนซอร์เตียมเอสแอล ผู้ชนะในราคาต่ำสุด 16,290 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเกีย ซีเมนส์ จำกัด บริษัทหัวเว่ย จำกัด และกลุ่มคอนซอร์เตียมเอยู ประกอบด้วยบริษัทอัลคาเทล ลูเซ่นส์ จำกัด บริษัทยูเทล จำกัด ซึ่งเสนอราคา16,799 ล้านบาทนั้น ก็ขาดคุณสมบัติเช่นกัน
นอกจากนั้น อีริคสันยังส่งหลักฐานต่างๆ ให้บอร์ด อาทิ หนังสือจากสำนักงานตรวจการเงินแผ่น (สตง.) ที่ได้สอบถามมายังทีโอทีว่าการประมูลมีความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ คำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ชี้ขาดว่าการขาดแคตตาล็อก ซึ่งทำให้อีริคสันถูกตัดสิทธิ ไม่ใช่สาระสำคัญ รวมทั้งเอกสารการขาดคุณสมบัติของบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ในบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของทีโอที และบริษัทยูไนเต็ด เทเลคอม เซลล์แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัดหรือยูเทล ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มเบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด เช่นเดียวกับบริษัทบีบี คอนเน็ค ซึ่งทำธุรกิจให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศ แข่งขันกับทีโอที เนื่องจากตามเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ข้อ 4.2.7 ระบุว่าผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องไม่ทำธุรกิจแข่งกับทีโอที และถือหุ้นรวมกันในบริษัทที่ทำธุรกิจแข่งกับทีโอทีเกิน 10% หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 1 ใน 10 อันดับแรก
ด้านนายสุรช ล่ำซ่ำ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ล็อกซเล่ย์ กล่าวว่า ล็อกซ์เล่ย์ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในทีทีแอนด์มาหลายปีแล้ว ขณะนี้มีหุ้นไม่เกิน 30,000 หุ้นเท่านั้น และไม่ได้มีอำนาจในการบริหารจัดการแต่อย่างใด ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อปี 2551 ล็อกซ์เล่ย์ถือหุ้นทีทีแอนด์ทีอยู่ในอันดับ 4 จำนวน 7.92% แต่ขายเหลือ 4.72% ในเดือน ธ.ค.2552 อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานปรากฏว่าปัจจุบันล็อกซ์เล่ย์เป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่เท่าใด เนื่องจากจากนั้นทีทีแอนด์ทีไม่เคยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขณะเดียวกัน นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอ–ซีที) ได้เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการเจรจาการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับคู่สัญญาบริษัทโทเทิ่ล แอ็กเซส คอม– มูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคว่า ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เนื่องจากทางดีแทคยืนยันกสท ไม่ได้รับความเสียหายและกสท ก็ยืนยันไม่เสียประโยชน์ ดังนั้นทางคณะกรรมการจะสรุปผลการเจรจาทั้งหมด เสนอให้รมว.ไอซีทีและรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป “เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าไม่เสียหาย ก็ไม่รู้ว่าจะเจรจากันอย่างไร ถ้าเจรจาต่อก็เหมือนกับเป็นการซื้อเวลา เสียดายเวลาที่ต้องประชุมเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่มีข้อสรุปได้”
ขณะที่ทางฝั่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 30 มี.ค. หารือเบื้องต้นถึงประเด็นในสัญญาธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ระหว่างกสท กับกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้สำนักงานกสทช.วิเคราะห์ อย่างละเอียดเกี่ยวกับสัญญาว่าขัดต่อพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) หรือไม่
วันเดียวกัน กสท ยังได้เปิดบริการ CAT 3 G+ ซึ่งเป็นผลพวงจากการทำสัญญาใหม่กับกลุ่มทรูซึ่งนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่กสท กล่าวว่า ขณะนี้มีความพร้อมที่จะให้บริการโครงข่าย 3G+ หรือ 3 จี พลัส ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการปลายเดือน เม.ย. ในกรุงเทพและปริมณฑล 25 จังหวัด และภายในเดือน ส.ค.นี้ จะให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศเป็นรายแรกของประเทศ.