ไม่ใช่บล็อกเกอร์ ไม่ใช่ช่างภาพ แต่เธอคือนักเดินทาง มาเรีย ณ ไกลบ้าน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มีนาคม 2558 เวลา 13:47 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/351700/ไม่ใช่บล็อกเกอร์-ไม่ใช่ช่างภาพ-แต่เธอคือนักเดินทาง-มาเรีย-ณ-ไกลบ้าน

ไม่ใช่บล็อกเกอร์ ไม่ใช่ช่างภาพ แต่เธอคือนักเดินทาง มาเรีย ณ ไกลบ้าน

โดย…รอนแรม ภาพ… มาเรีย ณ ไกลบ้าน

คนอื่นเรียกเธอว่า บล็อกเกอร์ แต่เธอเรียกตัวเองว่า นักเดินทาง

มาเรีย ณ ไกลบ้าน เริ่มต้นเดินทางเมื่อใดไม่ทราบ แต่แน่นอนว่าเริ่มก่อนลงมือเขียนรีวิวในห้องบลูแพลนเน็ต เว็บไซต์พันทิป มานาน จนถึงตอนนี้เธอกลายเป็นที่รู้จักในวงการ มีคนติดตามเพจเฟซบุ๊ก Maria na klaibaan มากกว่า 9.6 หมื่นคน

 

ไลค์มาเรีย

เพจเฟซบุ๊ก Maria na klaibaan เป็นเพจส่วนตัวที่บอกเล่าความเป็นตัวเอง ถ้าคนที่ไม่รู้จักก็จะไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่เพจท่องเที่ยว โดยชื่อ “คนที่มาตามเราคือคนสองกลุ่ม” มาเรีย กล่าว “กลุ่มหนึ่งคือคนชอบเดินทาง และอีกกลุ่มคือคนชอบถ่ายภาพ”

หากเข้าไปดูเพจของเธอจะเพลินกับภาพสวยๆ มุมมองใหม่ๆ ขนาดว่าพอเห็นแล้วอยากไปเที่ยวตาม ทว่าเธอไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่จับกล้องถ่ายรูป “บางคนบอกว่าเราเป็นไอดอลของเขา แต่อะไรคือไอดอล เพราะเราไม่ใช่คนถ่ายรูปดีมาก เราได้คำตอบว่า เราเริ่มจากคนธรรมดาแล้วก็พัฒนาจากงานภาพถ่ายของเรา ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าจับต้องได้ ทำตามได้ คนที่เริ่มถ่ายภาพก็ไม่รู้สึกว่ามันยากเกินไป พอเขาเห็นว่าเราทำได้ เขาก็สามารถทำได้”

ภาพถ่ายของมาเรียสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากถ่ายภาพ เช่นเดียวกับชีวิตนักเดินทางของเธอก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนอยากเดินทาง แฟนเพจหลายคนอยากให้เธอจัดทัวร์ให้ แต่เธอจำเป็นต้องปฏิเสธเพราะในชีวิตจริงเธอก็ไม่ได้จัดทัวร์ให้ตัวเอง บางคนอยากเดินทางคนเดียว เธอก็ไม่สนับสนุนทันที เพราะมันขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน เธอกล่าวว่านักท่องเที่ยวชาวไทยชอบเที่ยวกันเป็น
กลุ่ม ทำให้มีประสบการณ์เดินทางคนเดียวน้อย ดังนั้น ต้องเริ่มลองเที่ยวจากที่ใกล้ๆ เมื่อมีความมั่นใจ มีความพร้อมแล้วจึงค่อยออกเดินทางไกลด้วยตัวเอง

 

ไร้แผนเที่ยว

ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของมาเรียจะไม่วางแผนแบบรัดกุม แต่จะวางแบบคร่าวๆ ว่าไปไหนบ้าง ไปทำอะไรบ้าง “เราเริ่มต้นจากการไม่ค้นหา เราไม่พร้อมมาก” เธอกล่าว “เราจะวางภาพไว้คร่าวๆ ว่าจะไปไหนบ้าง ไปทำอะไร ส่วนเรื่องที่กินที่นอนเป็นเรื่องเล็ก”

แต่เพราะสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้เธอต้องคำนึงถึงอันตรายมากขึ้น ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของเธอก็เปลี่ยนจากแบกเป้ขึ้นรถลงเรือ เป็นขับรถยนต์เที่ยว ซึ่งเส้นทางที่เธอหลงใหลอย่างมากคือประเทศไทย “ประเทศไทยเหมาะแก่การขับรถเที่ยว เราโชคดีที่มีแลนด์สเคปหลากหลาย ตั้งแต่ทะเล ภูเขา น้ำตก หรือวัดวาอาราม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ถนนหนทางเราก็ดี ซึ่งถนนตอนนี้ดีกว่าตอนที่เริ่มขับรถเที่ยวใหม่ๆ มาก”

 

มาเรียยกตัวอย่างทริปล่าสุดที่เพิ่งกลับมา เธอขับรถขึ้นแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่ ซึ่งทุกที่สามารถขับรถเก๋งไปได้ไม่ว่าจะเป็นปางอุ๋ง หมู่บ้านรักษ์ไทย ห้วยน้ำดัง ดอยแม่อูคอ แต่หากจะพูดถึงเส้นทางในดวงใจเธอยกให้เส้นทางขึ้นดอยอ่างขาง “อ่างขางมีความหลากหลาย มันเอ็กโซติกนิดๆ สวย มีสิ่งให้ทำ เช่น ไปไร่ชา ไปไร่สตรอเบอร์รี่ และที่สำคัญคือมีดอกไม้และหนาวกว่าดอยอื่นๆ”

เธอหลงใหลภูเขาและความหนาว เพราะพื้นเพเธอเป็นคนภูเก็ต หากติดตามเฟซบุ๊กของเธอจะเห็นว่าเธอชอบถ่ายภาพดอกไม้มากเป็นพิเศษ นั่นเพราะเธอเป็นคนมองโลกในด้านที่สวยงามเสมอ

นักเดินทาง

คำว่า บล็อกเกอร์ เพิ่งเป็นที่รู้จักในประเทศได้ไม่นาน แต่ก่อนที่เธอเขียนรีวิวอยู่ในกระทู้พันทิปเธอคือนักเดินทางคนหนึ่งที่นำเรื่องราวมาแบ่งปัน แต่เพราะกระแสสังคมเปลี่ยนมาเป็นสังคมออนไลน์มากขึ้น ทุกคนจึงเรียกเธอว่า บล็อกเกอร์ ไปโดยปริยาย

“มาเรียคือนักเดินทาง” เธอยืนยัน “เราเดินทางท่องเที่ยวเหมือนทุกคน เพียงแต่ว่าเรามีอิสระเรื่องเวลาจึงค่อนข้างมีผลงานออกมามากหน่อย” ทั้งนี้ เวลาที่ต้องกรอกช่องอาชีพในเอกสาร เธอจะกรอกไปว่า “ช่างภาพ” เพราะคนเข้าใจง่ายกว่า ซึ่งเธอก็ยืนยันว่าเธอไม่ใช่ช่างภาพอาชีพ

 

นอกจากอาชีพนักเดินทางที่เธอยอมรับว่าเป็นแน่ๆ แล้ว เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย จึงถามเธอว่ารายได้มาจากไหน เธอตอบว่าส่วนหนึ่งมาจากการขายภาพถ่าย แต่ส่วนอื่นๆ ไม่ขอบอกอย่างละเอียด “สมัยนี้เป็นบล็อกเกอร์ง่ายขึ้น เพราะมันมีการตลาดต่างๆ มีช่องทางการทำงานตรงนี้มากขึ้น แต่สำหรับเราคิดว่ามันคือผลพลอยได้จากสิ่งที่เราทำ เพราะ มาเรีย ณ ไกลบ้าน เริ่มต้นจากหนึ่ง เริ่มจากการไปซื้อเวาเชอร์ที่งานเที่ยวไทยแล้วไปเที่ยวเอง ดังนั้น การก้าวมาถึงจุดนี้มันต้องใช้เวลา ใช้เงินไปเยอะมาก และเรายังคงเป็นนักเดินทางที่ทำไปเพราะรักมัน”

โลกของมาเรีย

หากเธอมีโลกของตัวเองหนึ่งใบ อยากให้โลกนั้นเป็นอย่างไร เธอตอบว่า “อยากให้โลกใบนั้นสวยงาม เพราะเธอเป็นคนโลกสวย” โดยส่วนตัวเธอเป็นคนเกลียดความขัดแย้ง ไม่ชอบมีปัญหากับผู้อื่น ซึ่งตอนนี้ข่าวที่เธอยอมรับไม่ได้คือข่าวสงคราม ข่าวการข่มขืน เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากรับรู้อีกต่อไปแล้ว

“ทุกครั้งที่หลับตาจะคิดภาพว่าตัวเองอยู่บนภูเขา เต็มไปด้วยดอกไม้ อากาศเย็นๆ รอบตัวสงบ เราจึงชอบอยู่ต่างจังหวัด หาความสุขจากการมองภูเขา มองหมอก มองดอกไม้” เธอยังกล่าวด้วยว่า เราจะหาความสุขอย่างไรภายใต้ข้อจำกัด “อย่างบางคนมีวันหยุดแค่เสาร์-อาทิตย์ เราต้องถามตัวเองแล้วว่าเราจะรอให้ถึงวันจันทร์แบบไหน แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในวันหยุด แต่เราจะทำอย่างไรให้มีความสุขกับเวลาที่จำกัดเพียงเท่านี้”

 

‘ดูไบ’ ประวัติศาสตร์ไม่ยาวไกล แต่เปลี่ยนไปทุก 10 ปี

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มีนาคม 2558 เวลา 13:31 น. …. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1FkTfiI

‘ดูไบ’ ประวัติศาสตร์ไม่ยาวไกล แต่เปลี่ยนไปทุก 10 ปี

โดย…กาญจน์ อายุ

กรุงเทพมหานครมีอายุ 233 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งเมืองในปี พ.ศ. 2325 ปีนี้สิงคโปร์จะครบรอบครึ่งศตวรรษในวันที่ 9 ส.ค. 2558 ส่วน “ดูไบ” ประวัติศาสตร์เริ่มกล่าวถึงในปี ค.ศ. 1833 ปีนี้ก็มีอายุ 182 ปี

ที่ต้องพูดถึงอายุเพราะกำลังจะกล่าวถึง ประวัติศาสตร์ ไทยผ่านสงครามและการเปลี่ยนแปลงมาหลายรัชกาล สิงคโปร์เคยตกเป็นเมืองขึ้นและเผชิญกับความโดดเดี่ยว แต่สำหรับดูไบไม่มีสงคราม ไม่มีการต่อสู้ มีแต่เพียงความแห้งแล้งของทะเลทรายที่ต้องเอาชนะ

คลองดูไบยังมีเรือค้าขายและเรือนำเที่ยว

 

Dubai is a city where the impossible is possible. (ดูไบเป็นเมืองที่ความเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้) ประโยคนี้กล่าวอยู่ในนิตยสารท่องเที่ยวของดูไบ เป็นประโยคทิ้งท้ายหลังจากโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวฮิวแมนเมดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตึกสูงที่สุดในโลก ลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือสกีหิมะในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก สิ่งเหล่านี้คือวิทยาการและเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทำให้แผ่นดินไร้ความหวังกลายเป็นเมืองในฝันของหลายคน

ก่อนเดินทางสำรวจเมือง ลองแหงนหน้าลงจากตึกสูงมามองพิพิธภัณฑ์ดูไบ (Dubai Museum) ที่อยู่ในป้องปราการเก่าแก่ อัล ฟาฮิดิ (Al Fahidi Fort) ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะได้ทำความรู้จักดูไบอย่างลึกซึ้ง ถ้ามีเวลาควรใช้กับที่นี่

ทั้งทะเลทรายและท้องทะเลล้วนสร้างเมืองได้

 

อย่างที่บอกไปว่าดูไบเริ่มกล่าวถึงการสร้างเมืองเมื่อปี 1833 ปีที่ตระกูลมักตูม (Maktoum Family) เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณปากคลองดูไบ (Dubai Creek) ซึ่งเวลานั้นยังเป็นที่อยู่ของชนเผ่าบานิ ยาส (Bani Yas) ราว 800 คน ตามประวัติศาสตร์ไม่ได้จารึกถึงการสู้รบเพื่อแย่งชิงอาณาจักรแต่อย่างใด เขียนไว้แต่เพียงการลงหลักปักฐานและหลังจากนั้นการพัฒนาก็เริ่มต้นขึ้น

ในห้องสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์เป็นห้องมืด ฉายวีดิทัศน์หนึ่งเรื่องที่เปิดวนไปวนมา ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักเดินผ่านไป เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นบทสรุปของดูไบแบบย่อประวัติศาสตร์ทั้งหมดมาให้ชมแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าดูไบมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทุกๆ 10 ปี

จำลองการค้าขายในพิพิธภัณฑ์ดูไบ

 

อาชีพดั้งเดิมของชาวดูไบคือเก็บไข่มุกและประมง ยังดีที่ประเทศนี้ (ขณะนั้นดูไบยังไม่เข้าร่วมในสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE) ติดอ่าวเปอร์เซีย ทำให้สามารถขายสินค้าทะเลได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ดูไบต้องนำเข้าสินค้าหลายอย่าง ทั้งข้าว น้ำตาล พริกไทย ธัญญาพืช ไม้ไผ่ จากอินเดียและแอฟริกาตะวันออก จนกระทั่งช่วงปี 1940 จุดเริ่มต้นการพัฒนาประเทศได้เริ่มขึ้น เมื่อผู้ปกครองแห่งตระกูลมักตูมทำสัญญากับรัฐบาลอังกฤษให้เข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และค้นหาน้ำมัน จากนั้นช่วงปี 1950 ดูไบเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะการค้าทองที่กำลังรุ่งเรือง ลงทุนขุดลอกคลองดูไบ และทุ่มเงินสร้างเมกะโปรเจกต์มากมาย โดยเฉพาะการสร้างถนน

10 ปีต่อมา บุญหล่นทับดูไบอย่างจังกับการค้นพบน้ำมัน เม็ดเงินจากการส่งออกน้ำมันนำมาสร้างไฟฟ้า ประปา ระบบการสื่อสาร รวมถึงสนามบิน ประจวบกับผู้ปกครองดูไบและอาบูดาบีต่างมีความฝันเดียวกันที่จะสร้างอาณาจักรเอมิเรตส์ ในปี 1972 จึงได้รวมตัวกันสำเร็จ 7 ประเทศ อยู่ภายใต้ชื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates – UAE) โดยมีสองเมืองต้นคิดเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ ในช่วงระยะเวลานี้ ดูไบได้พัฒนาประเทศหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการลงทุนจากต่างชาติ ด้วยการเปิดฟรีโซน มีการสร้างท่าเรือน้ำลึก และตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ การก่อสร้างยังคงต่อเนื่องไปถึงยุค 1980 โปรเจกต์ที่อยู่อาศัยถูกสร้างใหญ่โต โครงการขยายสนามบิน การเปิดตัวของสายการบินเอมิเรตส์ รวมถึงการสร้างแหล่งบันเทิงและกีฬาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว มากไปกว่านั้นดูไบยังพบโชคชั้นที่ 2 กับการขุดค้นพบก๊าซธรรมชาติและน้ำมันกลางทะเลทรายมาร์กฮัม

ร้านขายถั่ว

 

ความเจริญอย่างรวดเร็วของดูไบเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก กระทั่งในช่วงปี 1990 มีรายได้จากการลงทุนต่างชาติมากถึง 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทว่าชาวดูไบก็ต้องเจอกับเรื่องเศร้าเมื่อผู้ปกครอง His Highness Sheikh Rashid Bin Saeed Al Maktoum หรือ ชีค ราชิด เสียชีวิตลง ทำให้ลูกชายต้องขึ้นมาปกครองแทน ท่านมีนามว่า His Highness Sheikh Mohammed Bin Rashid Al Maktoum หรือ ชีค มูฮัมหมัด ควบตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของยูเออี

วีดิทัศน์ฉายมาจนเกือบจบเรื่องแล้ว ตอนนี้ภาพบนผนังกำลังประมวลภาพตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของดูไบ ทั้งตึกเบิร์จ อัล อาหรับ ทรงเรือใบ ตึกเบิร์จ คาลิฟา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกพลับพลึง หรือการถมทะเลให้เป็นแผ่นดินลักษณะเฉพาะอย่างเดอะ ปาล์ม จูเมราห์ และเดอะ เวิลด์ การก่อสร้างตึกดีไซน์ทันสมัย แสดงให้เห็นว่าเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม หรือช่วงปี 2000 เต็มตัว จนถึงขณะนี้ปี 2015 การก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ยังไม่หยุด

อินทผลัม ผลไม้ทะเลทราย ของฝากที่โด่งดังของดูไบ

 

เวลามองดูไบจากชั้น 124 ของตึกเบิร์จ คาลิฟา จะเห็นเขตที่กำลังก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก จากสมัยก่อนที่ชุมชนจะอยู่กันหนาแน่นริมสองฝั่งคลองดูไบ แต่ตอนนี้เมืองขยายออกไปเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนไร้ขีดจำกัด เพราะทะเลทรายยังมีที่ว่างอีกมาก และน่านน้ำก็ยังเหลือเฟือ นอกจากนี้ในปี 2020 ดูไบจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โป เป็นอีกขั้นหนึ่งของการเป็นที่ยอมรับระดับโลก

หลายคนบอกว่าสาเหตุที่ดูไบเติบโตครั้งใหญ่ได้ทุกๆ 10 ปี เป็นเพราะประเทศนี้ รวย ซึ่งก็จริง เพราะทองคำและน้ำมันทำให้ดูไบมีเงินมาลงทุนสร้างสาธารณูปโภค แต่อีกหนึ่งเหตุผลคือ มี ผู้นำหัวก้าวหน้า ที่ไม่กลัวกระแสการลงทุนข้ามชาติ แถมยังอ้าแขนต้อนรับด้วยการเปิดฟรีโซนให้ลงทุนอย่างเสรี อีกทั้งการวางผังเมืองที่ดี ด้วยความที่เป็นเมืองสร้างใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถจัดกรุ๊ปได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เช่น โซนสื่อสารมวลชน โซนข้าราชการ หรือโซนเมืองเก่าที่อนุรักษ์

ซูเปอร์คาร์มีให้เห็นจนชินตาบนท้องถนน

 

การเดินทางสะดวกสบายด้วยระบบรถไฟฟ้าเชื่อมถึงกันทั้งเมือง โมโนเรลในตัวเมือง และรถประจำทาง อย่างไรก็ตาม ดูไบมีนโยบายสนับสนุนให้คนใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยนำทองคำมาล่อ แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะประชากรส่วนใหญ่มีฐานะดี มีรถยนต์ส่วนตัว โดยเฉพาะชาวดูไบแท้ๆ ที่มักเป็นคนมีฐานะทางสังคม และได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนชาติอื่น เช่น หากคนดูไบทำงานจะได้รับเงินเดือนมากกว่า หรือสิทธิทางสังคมที่มีมากกว่าชาติอื่น

ดูไบเป็นประเทศอิสลามที่ทั้งสมัยใหม่และดั้งเดิม ถามไกด์ว่าจะดูออกได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นชาวดูไบ เธอตอบว่าคนดูไบแท้ๆ จะแต่งตัวต่างจากคนอื่น เช่น ผู้ชายสวมชุดขาวก็จริงแต่จะใส่หมวกแก๊ปแทนผ้าคลุมศีรษะ (Ghutra) ส่วนผู้หญิงจะดูรักษากฎระเบียบมากกว่าด้วยการแต่งกายด้วยผ้าสีดำมิดชิด แต่จะแต่งหน้าเข้ากับเทรนด์สมัยนั้น ซึ่งทำให้ดูทันสมัยกว่าคนอื่น ส่วนนักท่องเที่ยวยังเห็นชาวต่างชาติใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น เดินตามท้องถนนเหมือนไม่ใช่เมืองอิสลาม แต่ก็มีหลายเรื่องที่ยังเข้มงวด เช่น เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ยังจำกัดอยู่ในโรงแรมและคลับ อาหารทุกจานเป็นฮาลาล สถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งมีห้องละหมาดแยกชายหญิง และวันหยุดราชการจะหยุดวันศุกร์-เสาร์ (วันอาทิตย์ทำงาน) เพราะวันศุกร์เป็นวันที่สำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม ตามที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า วันที่ดีที่สุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นคือวันศุกร์ ชาวมุสลิมถูกกำหนดให้ไปฟังเทศนาธรรม และปฏิบัติตัวเป็นพิเศษ เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ประทินน้ำหอม และใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด วันศุกร์จึงเป็นวันหยุดราชการเพื่อให้ละหมาดอย่างเคร่งครัด เหมือนกับชาวคาทอลิกที่ไปมิสซาที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์เช่นกัน

ถนนทุกสายลาดยางอย่างดี

 

ออกมาจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความเข้าใจประวัติศาสตร์ เวลาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันก็จะได้เห็นแบ็กกราวด์ของสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ แต่…ขณะที่ฉันกำลังมองรถสปอร์ตเปิดประทุนติดไฟแดงอยู่ข้างๆ ก็พลันคิดย้อนกลับไปสู่ทริปขับรถเที่ยวลาวที่มีวิวสองข้างเป็นทุ่งนาเขียวขจี

“แบบไหนที่เรียกว่าร่ำรวย” ฉันคิด

ในเมืองที่มีน้ำมันกลางทะเลทราย หรือเมืองที่มีควายไถนา

ทะเลทรายอาหรับเบียนกว้างใหญ่ ไร้สิ่งมีชีวิต

 

สายการบินเอมิเรตส์ให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ – ดูไบ ทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบินแบบ A380 โดย ชั้นบนเป็นชั้นสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง จำนวน 14 ห้อง ชั้นธุรกิจ จำนวน 76 ที่นั่ง และชั้นประหยัด จำนวน 399 ที่นั่ง ซึ่งทุกที่นั่งและทุกชั้นโดยสารจะเชื่อมต่อกับระบบความบันเทิง ไอซ์ (ICE – Information, Communication, Entertainment) ที่มีความบันเทิงมากกว่า 1,400 ช่อง

ผู้โดยสารชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งสามารถใช้บริการห้องรับรองสายการบินภายในสนามบิน ให้บริการบุฟเฟ่ต์อาหารไทยและนานาชาติ เครื่องดื่มทั้งมีและไม่มีแอลกอฮอล์ โซนคอมพิวเตอร์ โซนอ่านหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องอาบน้ำ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย มีให้บริการ 35 สนามบินใน 6 ทวีปทั่วโลก ข้อมูลสายการบินและสำรองที่นั่ง ได้ที่เว็บไซต์ www.emirates.com/th หรือโทร. 02-664-1040 ข้อมูลท่องเที่ยวดูไบ ตัวอย่างแผนการเดินทาง และหมวดหมู่ที่ท่องเที่ยวตามไลฟ์สไตล์ ดูได้ที่เว็บไซต์ dubai tourism.ae หรือโหลดแอพพลิเคชั่น Dubai Tourism ได้ทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์

 

ล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 มีนาคม 2558 เวลา 12:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/350363/ล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์

ล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์

โดย…พาแลง ภาพ กนกกร เปรมวิเชียร

หากจะบอกว่าสาวร่างเล็กคนหนึ่งแบกเป้เที่ยวคนเดียวมาแล้วกว่า 40 ประเทศ เชื่อว่าหลายคนร้องโอ้โห…ทำได้ไง? ซึ่งจุดเริ่มต้นการเดินทางของเด็กสาวจากสุพรรณบุรี ชื่อ ปอ-กนกกร เปรมวิเชียร วัย 24 ปี เจ้าของเพจ “ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้” จุดประกายจากการได้ไปเยือนประเทศเยอรมนีตอน ม.4 ด้วยโครงการแลกเปลี่ยนของโรงเรียน จากนั้นเธอก็มุ่งมั่นสอบชิงทุนด้านธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัย Lomonosov Moscow State University ประเทศรัสเซีย ซึ่งนับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญในชีวิตเธอ

“จากเด็กที่ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อนในชีวิต พูดภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ  ตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ได้พบเจอตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึงการได้เห็นอะไรที่ดูสวยแปลกตา เจอเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตอนนั้นต้องไปพักกับโฮสต์แฟมิลี่ ก็เห็นความเป็นระเบียบวินัย ได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่คนท้องถิ่น หลังจากกลับมาจากทริปนี้ ปอตั้งมั่นฝึกภาษาอังกฤษให้แข็งแรงมากขึ้น เพราะคิดว่าถ้าเราอยากไปเที่ยวแบบง่ายขึ้นในหลายๆ ที่ทั่วโลก จนกระทั่งได้มาเรียนต่อที่รัสเซีย ก็เปิดโอกาสให้ปอออกไปท่องเที่ยวแบบสุดเหวี่ยงตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ที่เรียนต่อปริญญาโทด้าน Petroleum Geoscience ที่ Imperial College London ประเทศอังกฤษ” ปอ บอกถึงแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้เธอต้องออกเดินทาง

 

ในบรรดา 40 กว่าประเทศที่หญิงสาวนักเดินทางได้ไปเยือน มีหลายจุดหมายที่เธอรู้สึกประทับใจ แต่มีสถานที่ที่เธอคิดว่าถ้าหากไม่ได้ไปเยือนจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ซึ่งเธอเพิ่งจะไปเยือนเมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมาคือประเทศไอซ์แลนด์

พูดถึงไอซ์แลนด์หลายคนจะนึกถึงดินแดนมหัศจรรย์ เพราะ ณ ดินแดนภูเขาไฟแห่งนี้มีครบทั้งน้ำพุร้อน น้ำตก ธารน้ำแข็ง ทะเล หรือ Blue Lagoon ฯลฯ คอหนังแนว Interstellar, Star Wars, The Secret Life of Walter Mitty จึงอาจคุ้นเคยกับฉากทิวทัศน์ธรรมชาติที่ปรากฏในหนังเป็นอย่างดี ดังนั้นใครที่ชื่นชอบธรรมชาติแนวเทพนิยาย ต้องชื่นชอบไอซ์แลนด์และอยากมาร์กไว้ว่าประเทศนี้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปก่อนตายให้ได้

ปอ เล่าว่า เธอเคยนั่งจดบันทึกไว้ให้เป็นสถานที่ที่ต้องไปให้ได้ก่อนตาย “หลายปีก่อนเสิร์ชอินเทอร์เน็ตเรื่อยเปื่อย จนไปเจอภาพแสงเหนือหรือออโรรา (Aurora Borealis) แล้วรู้สึกใจเต้นแรง มันดูมหัศจรรย์มาก เลยหาข้อมูลต่อว่าจะไปเห็นที่ไหน ยังไงได้บ้าง แล้วก็ไปเจอภาพแสงเหนือที่ประเทศไอซ์แลนด์ เลยบอกตัวเองว่าจะไปเห็นแสงเหนือด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต”

แต่ใช่ว่าการจะได้เห็นแสงเหนือจะง่ายดาย เพราะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องสภาพอากาศและระดับสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งถ้าไม่ศึกษาก่อนเดินทางให้ดี คุณอาจจะพลาดของดีได้เลย “หลังจากดูพยากรณ์อากาศแล้ว เขาบอกว่าแสงเหนือจะแรงตอนวันเสาร์ ก็ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินจากลอนดอนไปทันที เราบินจากลอนดอนไปวันศุกร์ ออกล่าแสงเหนือวันเสาร์ แล้วกลับมาเรียนเช้าวันจันทร์ โชคดีมากที่พยากรณ์แม่นและฟ้าเปิด ได้เห็นแสงเหนือจริงๆ ตอนแรกก็ชั่งใจอยู่ว่าจะเดินทางไปคนเดียวหรือไปกับทัวร์ แต่เนื่องจากทริปนี้มีเวลาน้อยจึงตัดสินใจไปกับทัวร์”

หญิงสาววัย 24 เล่าว่า การไปดูแสงเหนือต้องดูตอนกลางคืน ดังนั้นความงามระหว่างเส้นทางก่อนจะไปถึงแสงเหนือก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน “เราออกเดินทางโดยรถตู้ไปที่อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir National Park) สถานที่นี้แฟนซีรี่ส์เกมออฟโทรนส์ (Game of Thrones) อาจจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ซึ่งบริเวณนี้เราสามารถเห็นรอยต่อของแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นยูเรเซียได้ จากนั้นก็ไปต่อกันที่น้ำพุร้อนกีย์เซอร์ (Geysir) ที่ปะทุสร้างความประหลาดใจได้ตลอดเวลา”

 

นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางน้ำตกสโคคาร์ฟอสส์ (Skogafoss) เป็นน้ำตกยักษ์ อยู่ริมถนนที่ใครผ่านมาก็ต้องเก็บภาพตัวเองไว้โดยมีฉากหลังเป็นม่านน้ำตก จากนั้นตกกลางคืนก็ไปดูแสงเหนือ อย่างที่ได้เล่ามาด้านบน การไปดูแสงเหนือต้องเริ่มไปตอนกลางคืน ปอบอกว่าเธอเริ่มเฝ้ามองและรอคอยการเดินทางมาถึงของแสงเหนือตั้งแต่สองทุ่ม และได้เห็นแสงเหนือราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง และแสงมาโชว์เต้นระบำอยู่ราวๆ 30 นาที เมื่อได้เห็นสิ่งที่เฝ้าคอย หญิงสาวมองหน้าเพื่อนร่วมทางก็พบว่าทุกคนหน้าตาปริ่มสุขกันไปถ้วนหน้า กลับถึงที่พักราวๆ ตีหนึ่ง นอนเก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ต่อ โปรแกรมน่าตื่นเต้น เพราะจะได้ไปปีนธารน้ำแข็งครั้งแรกในชีวิต!!

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการนั่งรถลัดเลาะชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ไปเรื่อยๆ เป็นวิวที่สวยงามมาก เหมือนหลุดเข้าไปในหนังแบบแฟนตาซี ความอลังการของธารน้ำแข็งทำให้เราดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมากๆ ในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

 

“ที่นี่ไกด์จะสอนเราใส่หนามแหลมที่วัดไซส์รองเท้าไว้ เพื่อให้เกาะพื้นน้ำแข็ง เสร็จแล้วก็เดินลุยกันเลย ใครมาที่นี่อย่าลืมมาลองปีนธารน้ำแข็ง หรือ Glacier Hike น้า ได้เดินบนน้ำแข็งนี่มันสนุกแบบไม่คาดคิดมาก่อน”

หลังจากนั้นเราคาดว่าจะได้ไปดูแสงเหนืออีกรอบ แต่อากาศไม่เอื้ออำนวยและต้องบินกลับไปเรียนในเช้าวันจันทร์ จึงต้องตัดใจและเดินทางกลับลอนดอนในเย็นวันนั้น

ปอ บอกว่า ข้อสรุปของการเดินทางแบบไม่ได้วางแผนครั้งนี้ของเธอ เป็นการตัดสินใจที่บ้าบอแต่คุ้มค่ามาก เพราะเป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ทำในสิ่งที่ฝันมานาน ซึ่งเติมเต็มความสุขในชีวิตไปได้อีกเยอะ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เสาร์ อาทิตย์  แต่ก็เต็มไปด้วยความประทับใจและความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมกับประเทศนี้ … ไอซ์แลนด์

 

ดูไบ เมืองสองขั้ว

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 16:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1BLR9aL

 

โดย… กาญจน์ อายุ

หลังจากปี 1971 ดูไบได้เข้าไปเป็น 1 ใน 7ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (The United Arab Emirates – UAE) แม้ไม่ได้อยู่ในฐานะเมืองหลวงอย่างอาบู ดาบี แต่ก็เป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 10 ล้านคน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย รองลงมาเป็นชาวอินเดีย อังกฤษ อเมริกา และรัสเซีย สำหรับคนไทยไม่ติดอันดับซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะถ้าถาม
ว่าอยากไปเที่ยวดูไบไหม คงได้คำตอบว่า “ดูไบมีอะไร”กลับมาแทน

เมื่อกล่าวถึงดูไบ คนไทยจะคิดถึง…ทอง น้ำมัน ตึกเรือใบ ทะเลทราย และหลายคนเคยไปเพราะเป็นเมืองต่อเครื่องบินไปยังยุโรป แต่ดูไบมีมากกว่านั้น ที่น่าสนใจคือแต่ละแห่งต่างกันสุดขั้ว

หิมะ-ทะเลทราย-ชายทะเล

ดูไบมีพื้นที่ติดทะเลแต่ส่วนที่เป็นแผ่นดินคือทะเลทราย ทะเลทรายจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ถือว่าเป็นจุดขาย เรียกมันว่า Desert Safari

นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องซื้อโปรแกรมทัวร์แบบครึ่งวันช่วงเย็น เวลาประมาณ 15.30 น. จะมีรถโฟว์วีลมารอรับหน้าโรงแรม ขับออกจากเมืองไปยังทะเลทราย45 นาที รถของทุกบริษัทจะพาทัวร์ทะเลทรายในเขตที่กำหนดไว้แล้วซึ่งมันกว้างใหญ่มาก หากวันนั้นมีทัวร์ 100 คัน ก็ยังเหลือพื้นที่ว่างมหาศาล

การขับรถบนทะเลทรายไม่ใช่เรื่องง่ายและคนขับก็ตั้งใจทำให้มันยากขึ้น ด้วยการเลี้ยวดริฟต์ ขึ้นยอดทรายแล้วทิ้งดิ่ง หรือเร่งสปีดจนรถลอย ยิ่งคนในรถตื่นเต้นมากเท่าไร คนขับก็ยิ่งผาดโผนมากเท่านั้น หลังจากนั่งตัวเกร็งราว 25 นาที รถจะพาไปส่งที่แคมป์ไซต์ซึ่งทำเลียนแบบที่พักของชนเผ่าเบดูอิน (Bedouin) คนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลทรายอาหรับเบียนในแคมป์จะมีเวทีตรงกลาง ล้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ และเบาะนั่ง ร้านค้า บุฟเฟ่ต์ไลน์ ส่วนด้านนอกมีอูฐให้ลองขี่ รถเอทีวีให้เช่า และเหยี่ยวให้ถ่ายรูป

อาหารและการแสดงจะเริ่มหลังพระอาทิตย์ตกดินประมาณ 18.30 น. สิ้นสุดที่ 19.30 น. ทั้งนี้ต้องหมายเหตุตัวโตๆ ว่า คุณภาพอาหาร บรรยากาศ และการบริการ จะแล้วแต่ราคาทัวร์ที่เสียไป เพราะหากซื้อทัวร์แบบแชร์กับบริษัทอื่นก็ต้องทำใจกับปริมาณคนในแคมป์ การต่อคิวรับอาหาร และรสชาติอาหารที่อาจไม่ประทับใจ แต่หากซื้อทัวร์แบบไพรเวต แน่นอนว่าทุกอย่างต้องดีกว่าตามราคาที่สูงขึ้น

นอกจากอูฐ ดูไบยังมีเพนกวิน ความแตกต่างกันสุดขั้วนี้อยู่ที่ สกี ดูไบ (Ski Dubai) หิมะในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในห้างมอลล์ ออฟ เดอะ เอมิเรตส์ (Mall of the Emirates) สถานที่ที่จะได้สัมผัสความหนาว -4 องศาเซลเซียส ใกล้ชิดกับเพนกวินสายพันธุ์คิงและเจนทู และได้เล่นสกีหิมะบนแผ่นดินทะเลทราย กิจกรรมใน สกี ดูไบ มีทั้งการสอนเล่นสกี นั่งกระเช้ากอดจูบเพนกวิน สไลเดอร์น้ำแข็ง และเล่นหิมะที่จะโปรยลงมาทุกเย็น ดูเป็นความต่างที่น่าเหลือเชื่อแต่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นมาได้

แต่สำหรับคนที่ชอบกีฬากลางแจ้งอย่างกิจกรรมทางน้ำดูไบมี 6 หาด แต่มี 2 หาดที่เปิดเป็นหาดสาธารณะคือ ซันเซตบีช และ ไคท์บีช ทะเลมีลมดีที่เหมาะกับกีฬาไคท์เซิร์ฟวิ่ง และมีคลื่นไม่แรงเหมาะแก่การพายคายัคและเล่นแพดเดิลบอร์ดดิ้ง (paddleboarding) อีกทั้งมีสวนน้ำขนาดใหญ่ที่ อะควาเวนเจอร์ (Aquaventure) ในแอตแลนติสเดอะ ปาล์ม หรือ วายด์ วาดิ (Wild Wadi) ที่จูเมราห์ บีช เป็น2 อาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ทำให้ลืมไปว่าดูไบเป็นเมืองร้อน

ห้าง-ตลาด

ฤดูร้อนที่ดูไบอุณหภูมิพุ่งถึง 50 องศาเซลเซียส (ก.ค.-ก.ย.) ช่วงนั้นไม่มีใครอยากอยู่นอกอาคาร นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดูไบถึงมีห้างสรรพสินค้ามากถึง 95 แห่ง

หนึ่งในนั้นมีห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ดูไบ มอลล์ ห้างที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า เพราะมีทั้งอะควอเรียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำตก น้ำพุ ดูไบไดโนหรือโครงกระดูกไดโนเสาร์ของจริงที่ซื้อมาจัดแสดง คิดซาเนีย ร้านอาหารมากกว่า 200 ร้าน สินค้าแบรนด์เนม โรงหนังมากกว่า 20 โรงและมีทางเชื่อมไปยังตึกเบิร์จ คาลิฟา (Burj Khalifa) ที่ครองแชมป์ตึงที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้

ดูไบ มอลล์ เป็นห้างที่มีคนไปเยือนมากที่สุดในโลกถึง 75 ล้านคน/ปี (จำนวนนี้นับทุกคนรวมคนไปซ้ำ) มากกว่าประชากรไทยทั้งประเทศ ลักษณะของห้างทุกแห่งไม่ได้จะขายของอย่างเดียว แต่ยังทำเป็นสถานที่พักผ่อนคล้ายเป็นสวนสาธารณะติดแอร์ให้เหมาะกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยด้านนอก

แต่ไม่ใช่ว่าจะเร่งสร้างห้างสรรพสินค้าอย่างเดียว ดูไบยังอนุรักษ์ตลาดเก่าหรือซูก (souk) ไว้ ทั้งตลาดเครื่องเทศและตลาดทองคำ สองย่านนี้อยู่ติดกันโดยตลาดเครื่องเทศจะเป็นซอยยิบย่อยเหมือนตลาดนัดจตุจักร ขายเครื่องเทศ ไม้หอม ผงกะหรี่ ทั้งย่านขายของเหมือนกันส่งกลิ่นความเป็นอาหรับอบอวล ห่างไปไม่กี่ก้าวเป็นตรอกขายทอง มีทองหลายเกรดหลายเค เปิดร้านขายแบบไม่กลัวโจร มีให้เลือกตั้งแต่สร้อย แหวน กำไล มงกุฎ ไปจนถึงเสื้อชั้นใน เหลืองอร่ามเต็มตู้โชว์สมกับเป็นเมืองทองคำของโลก

ตึกระฟ้า-บ้านยิปซัม

ดูไบโชคดีที่ค้นพบทองคำและน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติสูงค่า จึงทำให้เมืองเติบโตไวทั้งที่มีประวัติศาสตร์แค่ยุค 1800 จากผืนทะเลทรายว่างเปล่า แต่มนุษย์และเทคโนโลยีสามารถสร้างตึกระฟ้าทำลายสถิติของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้สามารถทำลายสถิติโลกกับตึกที่สูงที่สุดโลกชื่อ เบิร์จ คาลิฟา (Burj Khalifa) ความสูง 828 ม. เปิดอย่างเป็นทางการปี 2010

นักท่องเที่ยวต้องซื้อตั๋วขึ้นตึกเบิร์จ คาลิฟา ล่วงหน้า โดยจะเปิดให้ขึ้น 3 รอบ คือ เช้า-13.30 น. ราคา 125 AED14.00-17.30 น. ราคา 200 AED และ 18.00-ค่ำ ราคา 125AED ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือ 17.30 น. เพราะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินซึ่งทั้งเมืองจะอาบด้วยสีส้มนวลจุดชมวิวตั้งอยู่ชั้นที่ 124 ทั้งชั้นเป็นกระจกใสรอบ 360 องศามีส่วนระเบียงกลางแจ้งยื่นออกไปให้ชมวิวด้วยตาจริง และสามารถอยู่บนนั้นได้แบบไม่จำกัดเวลาเรียกว่า ถ่ายรูปให้เต็มอิ่มทุกมุมทุกองศาให้หนำใจแล้วค่อยลงมา

เบิร์จ คาลิฟา คือ ดูไบยุคใหม่ แต่ถ้ายุคบุกเบิกต้องยกให้ตึก เบิร์จ อัล อาหรับ (Burj Al Arab) ตึกทรงเรือใบที่เป็นสัญลักษณ์ตั้งแต่ปี 1999 ตั้งอยู่บนพื้นที่ถมใหม่ เปิดเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวบวก ซึ่งภายในตกแต่งและใช้สีสันฉูดฉาดสะท้อนรสนิยมของชาวอาหรับ หรูหราอร่ามเรืองด้วยสีทอง (สมัยนี้ต้องใช้คำว่า เว่อร์วัง) ซึ่งขณะนี้ถูกทัวร์จีนบุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ก่อนที่ดูไบจะนิยมสร้างตึกสูง เดิมทีก็เคยอาศัยอยู่ในบ้านติดดิน มีการสร้างจำลองไว้ที่เขตประวัติศาสตร์ อัล ฟาฮิดี (Al Fahidi) เป็นบ้านสไตล์อาหรับเบียน สร้างขึ้นจากยิปซัม แต่ละหลังสร้างใกล้กันเพื่อให้ร่มเงาแก่กัน และบนหลังคามีช่องลมเพื่อระบายอากาศและทำความเย็นให้ตัวบ้าน ในเขตนี้มีทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และเกสต์เฮาส์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวศิลปะและวัฒนธรรมซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของเมืองดูไบ

ประวัติศาสตร์ของดูไบมีให้ศึกษาอย่างลึกซึ้งที่ ดูไบ มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ที่สร้างในป้อมปราการอัล ฟาฮิดี (Al Fahidi Fort) อายุ 228 ปี มีจัดแสดงเรือประมงโบราณสมัยที่ชาวดูไบมีอาชีพจับปลาและหาไข่มุก และห้องนิทรรศการแสดงวิวัฒนาการของดูไบตั้งแต่ยังเป็นเมืองทะเลทรายจนกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจของโลก อันที่จริงนักท่องเที่ยวควรเริ่มโปรแกรมที่ดูไบ มิวเซียม เพื่อจะได้เห็นภาพใหญ่ พอได้ไปแหล่งท่องเที่ยวจะได้เข้าใจมากกว่าแค่ไปดู

หิมะ-ทะเลทราย ห้างหรู-ตลาด ความทันสมัย-ดั้งเดิม สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างที่น่าสนใจ ไม่ใช่ว่าไม่เข้ากัน แต่มันคือสองขั้วตรงกันข้าม เติมเต็มอีกส่วนที่ดูไบไม่มี

จอร์จทาวน์-ปีนัง

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 12:08 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1vMwi4x

 

โดย…อ.ตากวาง bambi5789@gmail.com

คุณ Chic Kanja ไปเที่ยวปีนังมา เจอมุมเก๋มุมฮิป ส่งมาอวดกันแล้วครับ

มีโอกาสไปเที่ยวปีนัง ในเขตเมืองเก่า George Town ที่เป็นมรดกโลก สิ่งหนึ่งที่ต้องทำเลยคือ ไปถ่ายรูปกับ Street Art ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือขดลวดล้อเลียนตลกๆ ตามผนังต่างๆ ในเมือง จริงๆ มีอีกเยอะ เอามาฝากแค่บางส่วนครับ

Chic kanj

คอลัมน์ลู้ปส์โฉมใหม่ อยากได้อะไรที่มันฮิปๆ แบบ Bike Diary ใครมีภาพเก๋ๆ แนวนี้ ส่งกันมาได้ที่เดิมเลยครับ สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจากแอพมือถือเท่ๆ หรือถ่ายภาพสวยๆ แนวๆ อาร์ตๆ ฮิปๆ พอสวยๆ สัก 5-10 รูป ฝากเขียนชื่อตรง Subject นิดนึงว่า Loops ส่งมาอวดกันได้ที่อีเมลอาจารย์เลยนะครับ (bambi5789@gmail.com) อย่าลืมส่งรูปมาอวดกันล่ะ… เฝ้ารออยู่นะฮะ

 

 

 

รัสเซีย ดินแดนในฝัน สถาปัตยกรรมสุดโรแมนติก

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 11:25 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1GH9F20

รัสเซีย ดินแดนในฝัน สถาปัตยกรรมสุดโรแมนติก

โดย…อณุสรา ทองอุไร

หลายๆ คนที่ชื่นชอบการเดินท่องเที่ยวมักจะมีเส้นทางในฝันที่อยากไปมากๆ สักครั้งในชีวิต เช่น กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง รองประธานอาวุโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด บริษัท บัตรกรุงไทย (เคทีซี) ที่เธอก็มีทริปในฝันที่ตั้งใจจะไปมากๆ แต่จดๆ จ้องๆ อยู่ร่วม 10 ปี โอกาสก็ไม่เหมาะสักทีที่จะเดินทางไปรัสเซีย ตั้งใจจะไปอยู่ 2-3 ครั้งก็พลาดทุกที

จนกระทั่งปลายปีที่แล้วเพิ่งสบโอกาสเดินทางไปมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเธอใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้าสำหรับทริปนี้เกือบ 5 เดือน ด้วยการหาข้อมูลต่างๆ นานา เพราะต้องการเดินทางด้วยตัวเอง ไม่อยากใช้บริการซื้อทัวร์ไปเพราะไม่มีความอิสระในการเดินทาง แต่พอใกล้จะไปจริงก็ต้องไปซื้อท้องถิ่นที่นั่นอยู่ดี เพราะมีญาติผู้ใหญ่ไปด้วยหลายท่านที่ต้องการความพร้อมและความสะดวกสบาย ครั้งนี้เลยต้องยอมใช้บริการทัวร์บ้างอะไรบ้าง ทริปนี้เธอใช้เวลาสำหรับ 2 เมืองเป็นเวลา 7 วัน

 

ใช้บริการสายการบินไทยบินตรงไปยังมอสโกเลย วันแรกเธอมุ่งตรงไปดูพระราชวังเครมลิน สวยงามยิ่งใหญ่แม้จะไม่อลังการแบบพระราชวังแวร์ซายส์ แต่ก็สวยแบบนิ่งๆ ขรึมๆ คือยิ่งใหญ่แต่ไม่เน้นรายละเอียด  ที่นี่เป็นเหมือนจุดกำเนิดของประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานมาก แล้วพระราชวังทุกแห่งในรัสเซียจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ในนั้นเสมอ พิพิธภัณฑ์ที่นี่เก็บพวกศาสตราวุธและสมบัติล้ำค่า เช่น รถม้าทองคำ บัลลังก์เพชร มงกุฎเพชร

“แสดงถึงความร่ำรวยยิ่งใหญ่ของพระราชวงศ์ในอดีต มีมงกุฎเพชร เครื่องประดับมากมาย ดาบที่ด้ามฝังมรกตเม็ดใหญ่บึ้ม ที่ใช้ในโอกาสสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง เสียดายเขาไม่ให้ถ่ายรูป มีเพชรเยอะมากขนาดเท่าไข่นก เกิดมาไม่เคยเห็นเพชรเม็ดใหญ่เท่านี้มาก่อน แล้วงานประณีตมาก ช่างสมัยก่อนฝีมือละเอียดมากทั้งๆ ที่เขาไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่ทันสมัยมากพอที่จะมาเป็นเครื่องมือในการผลิตชิ้นงาน แต่ก็ทำงานมาได้ละเอียดสวยงามชวนฝันจริงๆ  เราชอบของโบราณของวินเทจจะมีความสุขในการเยี่ยมชมครั้งนี้มาก เราจะอ่านหนังสือไปก่อน พอไปเห็นจะเข้าใจได้ง่าย ไม่ได้ดูแค่ตาแต่ใช้ใจจดจำซึมซับ ดูเสร็จกลับถึงโรงแรมอ่านข้อมูลซ้ำอีกครั้งมันจะอินมาก (หัวเราะ)” เธอเล่าอย่างมีความสุข

 

เธอเล่าต่อไปว่า ไปรัสเซียต้องขยันเดิน ช่วงที่ไปคือเดือน ต.ค. ซึ่งถือว่ายังไม่หนาวมากนักแต่ก็หนาว เวลาเดินเยอะๆ ก็ดีช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เราไปที่จัตุรัสแดงเป็นเหมือนสนามหลวงบ้านเรา พิธีสำคัญอะไรต่างๆ ทั้งการเมืองหรือของพระราชวงศ์จะมาประกอบพิธีการกันที่นี่ จะประท้วงเราจะเห็นข่าวว่าเขามากันที่นี่เรดสแควร์

ใกล้ๆ กันก็จะเป็นมหาวิหารเซนต์บาเซิล เป็นมหาวิหารที่พระเจ้าซาร์อิวานที่ 4 เป็นผู้ให้สร้าง สวยงามและยิ่งใหญ่จริงๆ เล่ากันว่าเมื่อสร้างเสร็จให้ควักตาสถาปนิกผู้ออกแบบออกเพื่อไม่ให้ไปสร้างให้ใครอีก เพื่อที่จะให้เป็นแห่งเดียวในโลก ก็สวยสมคำเล่าลือ เป็นสถาปัตยกรรมที่อิงความเป็นแขกมัวร์ผสมอยู่ด้วย  ถ้าชอบประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมชั้นเลิศที่นี่เหมาะมาก

 

“มามอสโกลืมเรื่องช็อปปิ้งไปเลยนะคะที่นี่ไม่เน้น แต่ถ้าอยากได้หนังสือดีๆ ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ที่นี่เยี่ยม ร้านหนังสือใหญ่ๆ สวยๆ เยอะค่ะ บ้านเมืองสวยทุกอย่าง แต่คนจะนิ่งๆ ไม่ยิ้มแย้ม ดูจะเย็นชานิดๆ แต่คงเป็นเพราะเขาเจอเหตุการณ์บ้านเมืองกันมาเยอะ คนที่นี่จึงดูแข็งๆ ไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร แต่เหมือนคนเก็บอารมณ์ไม่แสดงความรู้สึกมากกว่า แล้วก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย” เธอตั้งข้อสังเกต

แม้กระทั่งสถานีรถไฟก็สวยงามจนละเมอ ไม่เคยเห็นสถานีรถไฟที่ไหนประดับแชนเดอเลียร์ใหญ่ๆ มีรูปภาพศิลปะแบบสวยฉ่ำประดับตลอดแนวทางเดิน แล้วสะอาดมากๆ สถานีรถไฟลึกลงไปใต้ดินเกือบเท่าตึก 10 ชั้น เดินลงบันไดเลื่อนนี่ตั้งฉากแทบ 90 องศาเลย และเพราะความสวยงามของตึกรามบ้านช่องนี่เอง เธอจึงตัดสินใจนั่งรถไฟซับซันนานถึง 4 ชม. เป็นรถไฟความเร็วสูงต่อไปเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อจะชมทัศนียภาพ สอ ข้างทาง บ้านเมืองเขายังเขียวชอุ่มทั้งที่เป็นเมืองหนาว

 

วันที่สามเธอเดินทางไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อยู่ที่นี่ 3 วัน เธอบอกว่าหลงรักเมืองนี้เลย บอกเลยว่าเมืองนี้โรแมนติกมากๆ เป็นเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่าน เป็นยุโรปทางเหนือสุดคลาสสิก เธอว่าแม้จะเดินทางไปยุโรปมาหลายประเทศแล้วก็ตาม แต่ที่นี่ชนะเลิศเรื่องความโรแมนติกจริงๆ มีพระราชวังให้เที่ยวชมเยอะ มีทั้งพระราชวังฤดูหนาวและฤดูร้อน มีโบสถ์ที่สวยงามใหญ่อลังการเพราะที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของรัสเซียมาก่อน ที่สำคัญเจ้านายของไทยหลายพระองค์เคยมาศึกษาที่นี่ มีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับคนไทยเยอะ

“เวลาไปชมอะไรไกด์ก็จะเล่าว่าที่นี่เจ้าฟ้าจากประเทศไทยเคยมาศึกษาที่นี่ ท่านได้คะแนนเป็นที่หนึ่งในวิชานี้ เจ้าฟ้าองค์นี่เคยประทับที่นี่มาก่อน เราจะมีความรู้สึกใกล้ชิดเชื่อมโยง เพราะไทย-รัสเซียมีความสัมพันธ์ร่วมกันมา 100 กว่าปีแล้วตั้งแต่ ร.ศ.112 รัสเซียช่วยไทยไว้จากการยึดครองจากฝรั่งเศสตอนนั้น อย่างเช่น ที่พระราชวังฤดูร้อนปีเตอร์ฮอฟ ที่ห้องไวต์รูม ห้องสีขาวมีกระจกยาวตลอดแนว รัชกาลที่ 5 พระองค์เคยมาเป็นพักที่นี่หลายวันเราจึงรู้สึกใกล้ชิดผูกพัน”

 

พระราชวังนี้ พระเจ้าปีเตอร์มหาราชพระองค์ตั้งใจสร้างให้เลิศเลอเท่ากับพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส จนเรียกกันว่าพระราชวังแวร์ซายส์แห่งรัสเซีย ติดกับทะเลสวยงาม มีน้ำพุสวยงามสูงหลายชั้น ที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าความสวยงามจะมีเสน่ห์คลาสสิกมาก ร้านรวงต่างๆ ก็จะเก๋ไก๋ มีร้านอาหารชื่อร้านคาเฟ่ Pusskin เป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรปโบราณ เหมือนในหนังเก่าๆ ยุคที่ผู้หญิงใส่สุ่มนุ่งกระโปรงบานใส่คอร์เซตดันทรง นั่งรถม้ามาดินเนอร์ดูหรูหราแบบโบราณมันให้ความรู้สึกย้อนยุคดีมาก ใครที่ชอบความเก่า ชอบวินเทจมาที่ีนี่จะฟินมาก ใครที่ชอบความโรแมนติกที่นี่เหมาะมาก ที่สำคัญที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ให้เยี่ยมชมเยอะเลย ทุกพระราชวัง ทุกโบสถ์มักจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ด้วยเสมอ

อีกที่ไม่ควรพลาด คือ พระราชวังแคทเธอรีน เป็นพระราชวังฤดูหนาว เป็นวังที่สวยงามบ่งบอกความเป็นผู้หญิงมากสวยหวาน แต่ละห้องจะตกแต่งเป็นโทนสี เช่น ห้องอำพันจะเป็นโทนสีเหลือง ห้องสีแดง ห้องสีเขียวมรกต ตกแต่งคล้ายๆ แวร์ซายส์ แต่ไม่ยิ่งใหญ่เท่าแต่หรูหราไม่แพ้ กันและแน่นอนว่ามีพิพิธภัณฑ์อยู่ข้างในและรวบรวมของสำคัญไว้ เช่น นาฬิกายูทองไขลานทำจากทองคำทั้งหมด เป็นฝีมือช่างจากอังกฤษใครมาที่นี่ต้องมาชมถือเป็นไฮไลต์ของที่นีี่่เก็บของเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย เสียดายที่ข้างในจะพิพิธภัณฑ์จะไม่ให้ถ่ายรูป

ที่นี่มีบัลเลต์ มีละครสัตว์ที่มีชื่อเสียงมาก ใครมาถือว่าต้องเข้าชม แต่ทริปนี้เธอเน้นชมวัง ชมโบสถ์ ชมบ้านเมืองดูสถาปัตยกรรมเป็นหลัก เพราะมีเวลาแค่ 7 วัน ครั้งหน้าเธอบอกว่าจะไม่พลาด “มาครั้งนี้ประทับใจมาก คิดว่าภายใน 2 ปีนี้จะมาเที่ยวที่รัสเซียอีก จะมานั่งรถไฟต่อไปไซบีเรียด้วย เป็นทริปในฝันที่สุดแสนจะประทับใจจริงไม่ผิดหวัง เลย 7 วันที่นี่มีความสุขทุกวัน น้อยไปคราวนี้ คราวหน้าต้องอยู่สัก 2 วีก จะไปให้ทั่วหลายๆ เมืองถือว่าเป็นทริปประทับใจที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้เลย” เธอเล่าด้วยรอยยิ้มประทับใจ

 

เพื่อนบ้านสุดแดนใต้ ไทย-มาเลเซีย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 12:34 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1vRhI6B

เพื่อนบ้านสุดแดนใต้ ไทย-มาเลเซีย

โดย…ทีมงานโลก 360 องศา keb_toke@plat360.com

มาเลเซียเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แต่กลับเป็นประเทศคู่ค้าที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด ดังนั้นการรักษาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมาเลเซียจึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อประเทศไทย

สตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส คือ 4 จังหวัดของประเทศไทย ที่มีพรมแดนติดกับมาเลเซีย โดยมีจุดผ่านแดนถาวรรวมกันแล้ว 9 แห่ง ในแต่ละปีไทยและมาเลเซียมีมูลค่าการค้ารวมระหว่าง 2 ประเทศ สูงถึง 8 แสนล้านบาท โดยสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปขายคือยางพารา ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าก็จะเป็นพวกเครื่องจักรไฟฟ้า และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง จึงทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้ามาโดยตลอด อย่างไรก็ตามในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด “มาเลเซีย” คือ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่มีสัดส่วนการค้าร่วม 2 ใน 3 ของมูลค่าการค้าชายแดนทุกด้าน

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งอาจเป็นเพราะมาเลเซียนั้นถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มีพรมแดนติดกับไทย อีกทั้งยังมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการค้าที่เสรีมากกว่าประเทศอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งการค้าชายแดนไทยและมาเลเซียเกือบทั้งหมด เป็นการค้าผ่านด่านศุลกากรสะเดาและปาดังเบซาร์ ใน จ.สงขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านสะเดา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ด่านนอก” ได้กลายมาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีความน่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

สังคมอันเป็นเอกลักษณ์ของมาเลเซีย คือการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขระหว่างกลุ่มชนเชื้อชาติต่างๆ

 

แม้ว่าจะมีปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และอาจจะส่งผลต่อความคิดและความรู้สึกของคนไทยบางกลุ่มอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเสื่อมคลายลง ซึ่งไทยและมาเลเซียมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 มีความสัมพันธ์ที่ดีกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การค้า ศาสนา และวัฒนธรรม มิหนำซ้ำยังเกิดความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับอีกด้วย

เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ประเทศนี้เคยพึ่งพารายได้หลักจากการเกษตร แต่ทุกวันนี้มาเลเซียมีรายได้เพิ่มมาจากภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว เพราะช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียพยายามสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยความพยายามลดการพึ่งพารายได้ จากการส่งออกแร่ธาตุและสินค้าเกษตร พร้อมทั้งหันมาส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ทำให้มาเลเซียมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึง 1 ใน 3 ของเงินตราจากต่างประเทศ

ชาวมลายูถือเป็นคนพื้นเมืองเดิมที่จะได้รับสิทธิพิเศษทางการศึกษาและการทำงาน ภายใต้สิทธิของการเป็น “ภูมิบุตร” คือ การเป็นลูกหลานของเจ้าของแผ่นดินเดิม ซึ่งเดิมทีคนพื้นเมืองเหล่านี้ จะไม่ถนัดทำธุรกิจการค้า ทำให้มีสถานะทางเศรษฐกิจสู้ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนไม่ได้ เกิดเป็นช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามเอื้อเฟื้อและสนับสนุนให้ชาวพื้นเมืองเหล่านี้มีสถานะทางเศรษฐกิจและสถานะทางสังคมทัดเทียมเชื้อสายอื่นๆ

ด่านพรมแดนสะเดาประตูสำคัญที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในทุกๆ มิติระหว่างไทยและมาเลเซีย

 

“นโยบายภูมิบุตร” เคยทำให้เศรษฐกิจของมาเลเซียขยายตัว และกระจายความเจริญไปอย่างทั่วถึง แต่อย่างไรก็ตามผลของนโยบายนี้กลับทำให้คนเชื้อสายมลายูส่วนใหญ่อ่อนแอ เพราะต้องพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐ ในขณะที่คนเชื้อสายจีนถูกเงื่อนไขบังคับให้ต้องขวนขวายมากกว่า ประกอบกับความสามารถในการปรับตัวของนักธุรกิจจีนได้ทำให้ธุรกิจของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกลับมีความเข้มแข็ง
มากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากชาวมลายูและชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนแล้ว ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียก็ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มชนสำคัญ ที่มีวัฒนธรรมและเชื้อชาติที่เด่นชัด แม้จะมีสัดส่วนไม่ถึง 10% แต่ก็ถือเป็นชนชาติหลัก ที่มีจำนวนรองจากชาวมลายูและชาวจีน ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียนั้นเดินทางเข้ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อมาสร้างถนนหนทาง สถานีรถไฟและท่าเรือในสมัยอาณานิคม ดังนั้นถ้าหากพวกเขาจะบอกว่า พวกเขาคือส่วนสำคัญในการสร้างประเทศมาเลเซีย คู่ๆ กันกับชาวมลายูและชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนก็คงจะไม่ผิดนัก

นโยบาย “1 Malaysia” คือ ส่วนสนับสนุนสำคัญที่จะนำพามาเลเซียบรรลุเป้าหมายของ “วิสัยทัศน์ 2020

 

เมื่อมีคนที่มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ต้องมาอาศัยรวมอยู่ในประเทศเดียวกัน ก็ย่อมต้องมีปัญหาความขัดแย้งกันอยู่บ้าง เหมือนที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียเองก็ให้ความสำคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่จะต้องหลอมรวมกลุ่มคนหลากเชื้อชาติ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว เพื่อให้เป็นไปตาม “วิสัยทัศน์ 2020” โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมายเอาไว้ว่า มาเลเซียจะต้องก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ ภายในปี ค.ศ. 2020 โดยจะไม่เน้นการพึ่งพาชาติตะวันตก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว มาเลเซียจำเป็นจะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ได้ปีละไม่น้อยกว่า 7% ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นช่วงปี ค.ศ. 2007-2010 ได้ทำให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง รัฐบาลมาเลเซียในยุคของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัคก็พยายามให้บรรลุเป้าหมายเดิมให้ได้ จึงได้ประกาศนโยบาย “1 Malaysia” (วัน มาเลเซีย) ขึ้นมา เพื่อเร่งปฏิรูปประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายของ Vision 2020

มาเลเซียจะสามารถก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้จริงหรือไม่ คงยังมีอีกหลายปัจจัยเป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่เพียงการสร้างเมืองใหม่ หรือการพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภคเพียงอย่างเดียว แต่อย่างน้อยนี่คือพื้นฐานและนี่คือภาพที่สะท้อนถึงความโดดเด่นของประเทศมาเลเซีย เพราะถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอยู่หลายครั้ง อาจจะมีแนวคิดและนโยบายการบริหารที่ต่างกันไปบ้าง แต่มาเลเซียก็ยังสามารถดำรงของวิสัยทัศน์ 2020 ไว้เช่นเดิม รวมถึงดำเนินนโยบายความร่วมมือและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านที่จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาคในอนาคตอีกด้วย

 

นักเดินทางโดดเดี่ยวที่ไม่เดียวดาย มิ้นท์ – I Roam Alone

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 12:19 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/348807/นักเดินทางโดดเดี่ยวที่ไม่เดียวดาย-มิ้นท์-i-roam-alone

นักเดินทางโดดเดี่ยวที่ไม่เดียวดาย มิ้นท์ - I Roam Alone

โดย…รอนแรม ภาพ… มณฑล กสานติกุล

ตัวคุณเองหรือเพื่อนในเฟซบุ๊กอาจติดตามเพจI Roam Alone เธอคือ มิ้นท์-มณฑล กสานติกุล หญิงสาววัย 27 ปี ที่ฝันอยากไปรอบโลก เธอเคยเป็นไข่ในหินเคยอ่อนต่อโลก เคยบ้าแบรนด์เนม และเคยเที่ยวกับเพื่อนแต่การเดินทางคนเดียวทำให้สาวคนนี้เปลี่ยนไป เธอเข้าใจคำว่า “ความสุข” และ “ชีวิต” มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

อาชีพปัจจุบันของเธอคือ นักเดินทาง ทำมาตั้งแต่อายุ 24 ปี และยังไม่มีทีท่าจะคิดลาออก ออกเดินทางท่องโลกแล้วประมาณ 80 ประเทศ สั่งสมประสบการณ์มากมายและเป็นแรงบันดาลใจให้คนอย่างน้อย 5.5 หมื่นคน ในเฟซบุ๊กคิดกล้าเดินทางคนเดียว

I Roam Alone

ที่มาของ I Roam Alone เกิดขึ้นครั้งแรกตอนอายุ 24 ปี เป็นช่วงที่เธอเครียดจัดหลังจบปริญญาโทและรู้สึกอยากทำบางสิ่งให้สุดกู่สักครั้ง เธอจึงเก็บกระเป๋าและซื้อตั๋วบินเดี่ยวไปเกาะอะซอเรส ประเทศโปรตุเกส ไปดูปลาวาฬ ดำน้ำ ว่ายน้ำกับปลาโลมา ตอนนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ผจญภัย แต่ในชีวิตจริงเธอไม่ได้เจอเพียงความสนุกตื่นเต้น แต่ยังพบกับความกลัวตัวคนเดียว

“ตอนนั้นมิ้นท์ถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน มันเป็นครั้งแรกที่รู้จักกับความเลวร้าย” เธอได้เล่าประสบการณ์ถูกไล่ออกจากที่พักให้ฟัง ซึ่งทำให้เธอกลัวการเดินทางคนเดียวไปพักใหญ่เธอกล่าวว่า เวลาเดินทางคนเดียวเราไม่มีแผนบี มีแต่ตัวเราที่เป็นแผนเอ ไม่มีคนช่วย เวลามีปัญหาอะไร เราก็ต้องจัดการเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้น ซึ่งทักษะการเอาตัวรอดและการแก้ปัญหาจะเก่งขึ้นเมื่อเดินทางไปเรื่อยๆ เพราะเราจะได้เรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาและรู้ว่าอะไรคือถูกหรือผิด

มิ้นท์เดินทางทุกเดือนมาตลอด 4 ปี จนรู้สึกอยากหาสิ่งที่ท้าทายกว่าและยากกว่า ตอนนี้เธอจึงหันมาปีนเขา กิจกรรมท้าทายที่ทำให้ไม่ต้องเดินทางคนเดียว

 

ท้าความกลัว

ชีวิตคือความท้าทาย เธอกล่าวเช่นนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องหาที่ที่มันยากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างล่าสุดเธอเพิ่งกลับมาจากเขา “ซีกู่เหนียง” ประเทศจีน จุดหมายที่เธอยกให้ “โหด”ที่สุดในชีวิต

“เป็นครั้งแรกที่รู้จักกับความกลัว” ทริปปีนเขาซีกู่เหนียงทำให้เธอถึงขั้น “ผิดหวัง” ในตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมความกลัวได้ ซึ่งเรื่องราวครั้งนั้นถูกเผยแพร่ไปในเพจ I Roam Alone เป็นที่เรียบร้อย กล่าวโดยสังเขปคือ เธอได้เดินทางไปพิชิตยอดเขายอดที่ 3 ของซีกู่เหนียงพร้อมกับนักปีนเขามืออาชีพ ประเด็นอยู่ที่ต้องออกเดินตั้งแต่ตี 2 ครึ่ง บนความสูง 4,000 ม. จากระดับน้ำทะเล ท่ามกลางความหนาวเย็นอุณหภูมิติดลบต่ำกว่า -15 องศาเซลเซียส บนทางเดินที่กว้างพอดีแค่เท้า เธอเป็นคนกลัวความสูงและความมืด การเดินจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เธอพยายามต่อสู้กับความกลัว แต่สำหรับประสบการณ์ครั้งแรกทำให้เธอใจเสียและกลัวมาก

 

“มันเป็นเรื่องของความกลัวล้วนๆ” เธอกล่าว เพราะไม่เคยเจอเส้นทางโหดแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทำให้ไม่มีสิ่งเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันแย่หรือยังไม่แย่ เธอต้องเดินต่อไป เดินไปเรื่อยๆ พร้อมสภาพจิตใจที่พังไปแล้ว จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ต้องตะเกียกตะกายปีนสู่ยอดเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น เธอสามารถทำได้เป็นคนแรกผู้พิชิตความสูง 5,000 ม. “แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวังในตัวเอง”” เพราะเธอสามารถทำได้ดีกว่านี้และน่าจะควบคุมความกลัวได้ดีกว่านี้

กิจกรรมปีนเขาต้องมีทีมที่ดี เพราะมันคือชีวิต มันคือความเสี่ยงต่อความตาย และมันคือความช่วยเหลือกันและกันระหว่างทาง และด้วยความเสี่ยงกับชีวิตทำให้เธอเรียนรู้ชีวิต เธอกล่าวว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะก้าวพลาด แล้วเราก็หล่น และเราก็ตาย ดังนั้นเราต้องรู้ตัวว่าเมื่อไรต้องถอย กลับมาเริ่มต้นใหม่ ล้มแล้วลุก อีกทั้งมันยังทำให้เธอต่อสู้กับสัญชาตญาณ ทำให้จิตใจเข้มแข็งมากขึ้น และรู้จักใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น

 

เพื่อนเที่ยว

จริงอยู่ที่การปีนเขาต้องมีทีม แต่การเดินทางท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนร่วมทางเสมอไป เธอกล่าวด้วยว่า การหาเพื่อนเที่ยวที่ชอบเหมือนกันกับเราทุกอย่างมันลำบาก ส่วนใหญ่แล้วเวลาไปกับเพื่อนเราก็จะทำตามอย่างที่เพื่อนอยากทำ ซึ่งการจะรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร “เราต้องเดินทางคนเดียว” เธอยกตัวอย่างตัวเอง สมัยก่อนเธอคิดว่าตัวเองชอบเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะเป็นเด็กจากคณะอักษรศาสตร์ แต่พอได้เดินทางคนเดียวจึงรู้ว่ามันไม่ใช่กิจกรรมที่เธอชอบ มันทำให้เธอรู้ว่าตัวตนจริงๆ เป็นแบบไหน กลัวอะไร เธอได้วิจารณ์สังคมออนไลน์สมัยนี้ด้วยว่าเป็นยุคที่ไม่มีใครจะนั่งนิ่งๆแล้วคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปอีกแล้ว แต่การเดินทางมันทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้คิดย้อนกลับไปว่าเวลาเราเดินทางมาถึงจุดนี้ มันเป็นจุดที่เราชอบแล้วหรือยัง มีอะไรที่เราอยากทำอีกไหม และความสุขของเราคืออะไร

ความสุขของเธอคือ I Roam Alone หมายถึง การเดินทางคนเดียวและเป็นแรงบันดาลใจให้หญิงสาวกล้าออกเดินทาง ข้ามพ้นข้อจำกัดในชีวิตอย่างที่เธอเคยผ่านมาแล้ว

 

“สมัยก่อนมิ้นท์ติดแบรนด์เนม มีข้อจำกัดในชีวิตเยอะมากแต่พอเดินทางเรื่อยๆ เราก็จะปล่อยสิ่งนี้ไป เพราะเรารู้ว่าของที่สำคัญจริงๆ ก็คือ เป้บนหลังเรานี่แหละ มันได้ปล่อยวาง กลายเป็นว่าเรามีความสุขมากขึ้น ถ้าน้องๆ เขาเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะพบความสุขอย่างที่มิ้นท์พบในวันนี้”

เธอยังค้นพบความจริงที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การมีทุกอย่าง แต่คือมีความสุขกับอะไรบางอย่างแค่นี้ก็พอแล้ว” ซึ่งยิ่งเดินทางมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นความสุขง่ายขึ้นเพียงมองรอบตัว

โลกของมณฑล

หากเธอมีโลกของตัวเอง 1 ใบ เธออยากให้โลกนั้นมีทางเดินป่าแทนห้างสรรพสินค้า แล้วให้ร้านขายของแบรนด์เนมกลายเป็นร้านขายอุปกรณ์เอาต์ดอร์ โลกใบนั้นจะได้มีนักปีนเขา และมีความสุขกับการท้าทายตัวเอง

 

นั่งรถเที่ยวลาว : หลวงพระบางบริบูรณ์

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 11:56 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1vRhjB7

นั่งรถเที่ยวลาว : หลวงพระบางบริบูรณ์

โดย…กาญจน์ อายุ

จากตอนที่แล้ว “นั่งรถเที่ยวลาว (1) สวัสดีเชียงคาน สะบายดีไซยะบุรี” รถ บขส. ระหว่างประเทศ สายเลย-หลวงพระบาง ได้แล่นไปถึงครึ่งทางจากด่านบ้านนากระเซ็ง จ.เลย สู่แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ในตอนนี้รถ บขส.มารอรับอีกครั้งเพื่อแล่นต่อไปบนถนนเส้นเดิมสู่เมืองมรดกโลก ซึ่งเราจะเห็นความแตกต่างระหว่างสองเมืองนี้ที่แม้จะอยู่ห่างกันเพียง 130 กม. และมีสถานะเป็นแขวงเหมือนกัน แต่บ้านเมืองกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง

ความแตกต่าง

นักท่องเที่ยวทำให้สองเมืองนี้ต่างกัน เมืองที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวอย่างไซยะบุรียังดูเป็นชนบท ไม่มีใครมาเที่ยวก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะชาวบ้านยังทำนา ปลูกผัก เลี้ยงไก่ พวกเขาอยู่กันได้โดยปราศจากการ
ท่องเที่ยว ต่างจากเมืองหลวงพระบางที่รายได้หลักมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม รีสอร์ท โฮสเทล ร้านอาหาร ไกด์ บริษัททัวร์ต่างต้องการนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ไม่เว้นกระทั่งวัดและพิพิธภัณฑ์ที่ได้เงินบูรณะจากการจำหน่ายตั๋วเช่นกัน หลวงพระบางจึงต้องการนักท่องเที่ยว ต้องการกรุ๊ปทัวร์ ต้องการการโปรโมท แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการรักษาวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นเมืองมรดกโลกให้นานที่สุด

หญิงไทยตั้งใจใส่ผ้าซิ่นมาตักบาตรที่หลวงพระบาง

 

บุญเที่ยง สุลิวัน รองประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรม แขวงหลวงพระบาง และประธานสมาคมท่องเที่ยวหลวงพระบาง ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวประมาณ 5 แสนคน และจะส่งเสริมให้เพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคนในอีก 5 ปีข้างหน้า และคาดว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะมีนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาเที่ยวจำนวนมาก อย่างไรก็ตามอยากขอความร่วมมือกับนักท่องเที่ยวให้ช่วยกันรักษาวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแต่งกายและการนั่งใส่บาตรเพื่อให้หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกให้นานที่สุด

ตักบาตร ตักบาท

คนเชียงคานและคนหลวงพระบางมีความคล้ายคลึงกันทั้งสำเนียงภาษาและวัฒนธรรมใส่บาตรข้าวเหนียว แต่ดูเหมือนว่าการตักบาตรในหลวงพระบางจะเข้มข้นกว่าในแง่การพาณิชย์ ทั้งเรื่องที่ต้องซื้อของใส่บาตรกับไกด์เท่านั้น และเรื่องถูกยัดเยียดให้ซื้อขนมหรือดอกไม้จากแม่ค้าโดยไม่รู้ตัว

พระพุทธรูปไม้ในพิพิธภัณฑ์วัดเชียงทอง

 

ด้วยวิธีการง่ายๆ คือแม่ค้าจะวางขนมไว้ข้างกระติ๊บข้าวเหนียวก่อนนักท่องเที่ยวจะมาถึง ซึ่งหากไกด์ไม่บอกว่านั่นไม่ใช่ของใส่บาตรที่เตรียมไว้ให้ นักท่องเที่ยวก็ต้องเสียรู้หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้วอีกทั้งจำนวนพ่อค้าแม่ขายที่เดินเร่ขายของก็มีจำนวนมากจนน่ารำคาญ เรียกได้ว่าทุกครั้งที่รอพระสงฆ์เดินมาบิณฑบาตจะต้องมีแม่ค้าอย่างน้อย 2 คนเดินเข้ามาถามคำถามเดิมๆ แม้ว่าจะปฏิเสธไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วก็ตาม

เหตุการณ์นี้คล้ายกับเชียงคานที่มีแม่ค้าเดินเร่ขายอาหารเช่นกัน แต่ไม่หนักถึงขั้นมัดมือชกเท่าที่หลวงพระบาง ซึ่งการตักบาตรด้วยอาหารอื่นๆ นอกเหนือจากข้าวเหนียวถือว่าผิดจากวัฒนธรรมดั้งเดิม พระสงฆ์ที่หลวงพระบางบางรูปหยิบขนมถุงออกจากบาตรหลังจากผ่านโยมคนนั้นมาแล้วก็มี แต่หลวงพระบางก็มีการรักษาวัฒนธรรมอยู่อย่างคือ มีผ้าพาดไหล่ให้ทุกคนใส่ขณะตักบาตรแม้ว่าเครื่องแต่งกายของนักท่องเที่ยวจะไม่เข้ากันเลย

ร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่นักท่องเที่ยวนิยม

 

บังเอิญได้นั่งตักบาตรคู่กับชาวหลวงพระบางแท้ๆจึงได้ทราบวิธีที่ถูกต้อง เธออายุคราวแม่ นุ่งซิ่น ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาว พาดผ้าเฉียงมวยผมตรงท้ายทอย นั่งพับเพียบอยู่ข้างกระติ๊บข้าวเหนียว เธอสาธิตวิธีหยิบข้าวเหนียวว่า ก่อนอื่นต้องขยุ้มข้าวเหนียวให้ไม่ติดกันเกินไป และเมื่อพระสงฆ์มาถึงให้หยิบใส่บาตรเลย ไม่ต้องปั้นให้ติดขี้มือ เธอทำได้เร็วและดูไม่เร่งรีบ ข้าวหนียวค่อยๆ หายไปทีละนิดตามขบวนพระสงฆ์ที่มาต่อเนื่องกันแทบไม่ขาดสายราว 1 ชม.

หลวงพระบาง ลิสต์

การตักบาตรข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ต้องทำ เช่นเดียวกับการไปเดินตลาดเช้าและกินอาหารเช้าที่ร้านประชานิยม ตลาดเช้าหลวงพระบางเป็นซอยเล็กๆ ขายของท้องถิ่น เช่น ก้อนสาหร่ายหรือไกที่ตักมาจากแม่น้ำโขง ปลาบึก ข้าวสาร ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ที่ขายกันแบบเป็นๆ วางขายแบกะดิน ซึ่งเป็นตลาดที่ไม่ได้จัดตั้งเพื่อการท่องเที่ยว เพราะชาวหลวงพระบางเองยังมาจับจ่ายตามชีวิตประจำวัน

ถนนลาดยาง เส้นทางเลย-หลวงพระบาง

 

ส่วนร้านอาหารเช้าประชานิยม ลูกค้าส่วนใหญ่คือนักท่องเที่ยว นั่งล้อมโต๊ะกินกาแฟบาแก็ต หมูย่าง ปลาย่าง หรือไส้กรอกแหนม และเมื่อเวลาล่วงเลยอาหารเช้าไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะเริ่มเที่ยวในตัวเมืองโดยเลือกวิธีขี่จักรยานและเดิน สถานที่ที่ทุกคนต้องไปมีอย่างต่ำ 4 ที่ คือ พิพิธภัณฑ์และหอพระบาง วัดเชียงทอง วัดพูสี โดยแต่ละที่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมตามแบบฉบับเมืองมรดกโลก และตลาดมืดหลวงพระบาง เป็นตลาดขายผ้า ของที่ระลึก อาหาร ซึ่งแต่ละร้านขายของคล้ายกันเหมือนไนต์บาซาร์ตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนท้องถิ่นจะไม่ซื้อไม่เดิน

ฮับโยงต่างประเทศ

รถ บขส. สายเลย-หลวงพระบาง จะไปจอดที่สถานีขนส่งซึ่งเป็นฮับการเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ ใน สปป.ลาว และต่างประเทศ เช่น เส้นหลวงพระบาง-คุนหมิง(ประเทศจีน) หลวงพระบาง-ซาปา หลวงพระบาง-เดียนเบียนฟู (ประเทศเวียดนาม) หลวงพระบาง-เชียงใหม่ (ประเทศไทย) หลวงพระบาง-เวียงจันทน์ หลวงพระบาง-วังเวียง และในอนาคตอันใกล้จะเปิดเส้นทางหลวงพระบาง-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก ออกทางด่านภูดู่ อ.บ้านโคกเพื่อเชื่อมโยงกับภาคกลางตอนบนของประเทศไทย

อุโบสถวัดเชียงทอง

 

ทั้งนี้ นายบุญเที่ยงกล่าวถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนลาวว่ายังไม่ค่อยนิยมเที่ยวต่างประเทศ “เพราะคนลาวต้องมั่นใจถึงไป” เขากล่าว อย่างการเดินทางเข้าไทย พวกเขายังไม่รู้ว่าเมื่อถึงชายแดนแล้วต้องเดินทางอย่างไร ต้องเที่ยวที่ไหนบ้าง ในมุมของผู้ประกอบการจึงต้องการรายการนำเที่ยวและเส้นทางการเดินรถ สำคัญที่สุดคือบริษัททัวร์ที่ชาวลาวต้องพึ่งบริการเหมือนลักษณะการเที่ยวของคนไทยในอดีต

ชาวไทยยุคสมัยนี้เดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการขับรถเที่ยวกันเป็นกลุ่มเพื่อนและครอบครัว เส้นทางเลย-หลวงพระบาง เหมาะแก่การขับรถเที่ยวอย่างยิ่งเพราะสภาพถนนดี วิวสวย และระยะทางไม่ไกล อีกทั้งการทำพาสปอร์ตรถไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่รถไม่ติดไฟแนนซ์ก็ผ่านฉลุย แต่หากไม่ขับรถเอง ก็เปลี่ยนเป็นขึ้นรถโดยสารสาธารณะอย่างที่ได้แนะนำ ทั้งสะดวกสบาย ปลอดภัย ราคาถูก ดื่มด่ำวิวสองข้างทาง แต่ก็มีข้อเสียอยู่ 2 อย่างคือ ใช้เวลานานและหยุดกลางทางตามใจอยากไม่ได้

พระสงฆ์รับบิณฑบาตข้าวเหนียวจากนักท่องเที่ยว

 

รถโดยสารระหว่างประเทศเส้นทาง เลย-หลวงพระบาง ให้บริการวันละ 1 เที่ยว ขาไปเป็นรถของ บริษัท ขนส่ง 999 ออกเวลา 08.00 น. ที่สถานีขนส่ง จ. เลย ถึงหลวงพระบาง เวลา 17.00 น. ที่สถานีขนส่งหลวงพระบาง ขากลับเป็นรถของ บริษัท นาหลวง สปป.ลาว ออกจากสถานีขนส่งหลวงพระบาง เวลา 08.00 น. ถึงสถานีขนส่ง จ.เลย เวลา 17.00 น. ค่าโดยสารเที่ยวละ 700 บ. ต้องใช้ พาสปอร์ตในการซื้อ สอบถามสถานีขนส่ง จ.เลย โทร. 042-811-706 เข้าชมตัวอย่างโปรแกรมการเดินทาง และแผนที่เที่ยวเชื่อมโยง เลย-ไซยะบุรี- หลวงพระบาง ได้ที่ www.เที่ยวอีสาน.com

คนขายหมึกย่างในตลาดมืดหลวงพระบาง

 

นักท่องเที่ยวอุดหนุนอาหารเช้าร้านประชานิยม

 

ชาวเกาหลีลองกินก๋วยเตี๋ยวแบบหลวงพระบาง

 

เมนูอาหารเช้าร้านประชานิยม

 

ไก สาหร่ายน้ำจืดจากแม่น้ำโขง

 

ไข่เป็ดและเป็ดเป็นๆพร้อมขาย

 

คลาสสิก อินคา เทรล เดินเท้าสู่ มาชู ปิชู

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 16:49 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1JgJJQh

คลาสสิก อินคา เทรล เดินเท้าสู่ มาชู ปิชู

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ เกศรินทร์ สีหเนตร

เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะภาพถ่าย แก้ว-เกศรินทร์ สีหเนตร เกิดแรงบันดาลใจอยากเดินทางไป มาชู ปิกชู ประเทศเปรู เพียงเพราะเห็นภาพเดสก์ท็อปในคอมพิวเตอร์ของพี่ชายเพื่อน เธอเหมือนเจอรักแรกพบ ที่แค่เห็นภาพก็รู้สึกประทับใจและมีความตั้งใจตั้งแต่นั้นมาว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตจะไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้

การเดินทางไปมาชู ปิกชู ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ตอนนั้นที่เธอยังเป็นมนุษย์เงินเดือนจึงยากที่จะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินราคาเป็นแสนเพื่อไปเที่ยว จนกระทั่งเธอได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐ หลังจากเรียนจบก็มีเงินเก็บก้อนหนึ่งและตั๋วเครื่องบินจากสหรัฐก็ไม่แพงเกินเอื้อม เธอจึงออกเดินทางทำตามความตั้งใจที่คิดไว้มานาน

มาชู ปิกชู คือนครโบราณบนยอดเขาเปรียบเหมือนเมืองเก่าอยุธยาที่เหลือแต่สถาปัตยกรรมไร้ผู้คน โดยการไปเยือนทำได้ 2 วิธี คือ นั่งรถไฟต่อรถบัสและเดินต่ออีกไม่ไกล หรือเดินเท้าขึ้นไปใช้เวลาน้อยสุด 3 คืน 4 วัน บนเส้นทางคลาสสิก อินคา เทรล และทางอื่นให้เลือกเดินอีก เช่น แบบ 5 วัน ขี่ม้า แล้วแต่จะเลือก ส่วนเธอเลือกเส้นทางป๊อปปูลาร์ คือ คลาสสิก อินคา เทรล

 

เธอบอกว่า คนส่วนใหญ่จะนั่งรถไฟขึ้นไป เพราะการเดินเขามันค่อนข้างท้าทาย และต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง “ขึ้นอยู่กับว่าอยากเจอมันในรูปแบบไหน” เธอกล่าว “เทียบไม่ได้ว่าไปแบบไหนจะสวยกว่ากัน” แต่เมื่อเธอมีเป้าหมายที่จะเดินแล้ว เธอก็มุ่งหน้าเต็มตัวโดยเริ่มจากเข้าฟิตเนสเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม และเข้าสู่ขั้นตอนขอใบอนุญาตเทรกกิ้ง เพอร์มิต (Trekking Permit) โดยต้องทำล่วงหน้าก่อนไป 3 เดือน

การเดินขึ้นมาชู ปิกชู ไม่ใช่ว่าอยากไปก็ไปได้เลย นักท่องเที่ยวทุกคนต้องขอใบอนุญาตผ่านบริษัทตัวแทนหรือเอเยนต์ การขึ้นทุกครั้งต้องมีไกด์ท้องถิ่นเป็นผู้นำทาง แต่ละวันจำกัดคนขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะไปเป็นกลุ่มใหญ่แบบ 20-30 คน หรือกลุ่มเล็ก 6 คน หรือแบบส่วนตัว สำหรับเธอเลือกไปแบบกลุ่มเล็ก 6 คน หรือ 3 คู่ ซึ่งแน่นอนว่าเธอพาบัดดี้ไปด้วย

เส้นทางเดินนั้นจะผ่านสภาพภูมิประเทศที่ต่างกัน โดยจะมีจุดที่เรียกว่าอินคา ไซต์ เป็นเป้าหมายของแต่ละวัน ซึ่งวันหนึ่งๆ จะเดินได้ใกล้หรือไกลขนาดไหน หรือจะตั้งแคมป์ที่จุดใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของไกด์คนเดียว เธอได้เล่าประสบการณ์ครั้งนั้นแบบสรุปว่า “แม้ว่าจะเตรียมตัวมาดีแล้ว พอไปถึงที่นู่นก็ยังร้องไห้”

 

“น้ำตาไหลด้วยความเหนื่อย” เธออธิบายความรู้สึกในตอนนั้น โดยเฉพาะจังหวะที่คนเดินตามมาข้างหลังแซงหน้าไป หรือตอนที่มองเขาลูกถัดไปแล้วต้องเดินให้ถึง “ทางไกลมันไม่เป็นอุปสรรคเท่าจิตใจที่มันบั่นทอนตัวเองว่าจะทำไม่ได้ ตอนนั้นมันเลยร้องไห้ คิดไปแล้วว่าเราต้องไม่ไหวแน่” เธอคิดไปถึงว่า นี่หรือคือเส้นทางที่อุตส่าห์เก็บเงินมา ทำไมต้องลำบากขนาดนี้

เธอกลับมามีกำลังใจอีกครั้งจากคำพูดของบัดดี้ เพื่อนร่วมทางคือกำลังใจสำคัญและเป็นคนที่จะเดินไปพร้อมๆ กันตลอดเส้นทาง คำพูดบางคำทำให้เธอฮึดสู้อีกครั้ง เขาให้เธอตั้งสติกับทุกๆ ก้าวที่เดิน ไม่ต้องไปมองจุดหมายปลายทาง แต่ให้มองไปทีละก้าวๆ อย่าไปตั้งเป้าว่าเราจะไปถึงเร็ว เพราะไม่มีใครไปได้เร็ว ไม่ใช่แค่กะพริบตาก็ถึง ทุกคนต้องเดินไป ค่อยๆ ไปแล้วก็จะถึงที่เดียวกัน หลังจากที่เธอร้องไห้ในวันนั้น (วันที่ 2 ของการเดิน) ก็ไม่เห็นน้ำตาอีกเลย

กระทั่งวันที่ 4 ไกด์ปลุกให้ออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงนครโบราณ เส้นทางต้องเดินเรียงเดี่ยว ทุกคนติดไฟฉายไว้บนศีรษะเดินต่อกันเป็นทาง นั่นเป็นภาพที่เธอบอกว่า ทั้งสวยทั้งกลัว เพราะไม่รู้สองข้างทางนั้นเป็นอะไร แต่พอฟ้าเริ่มสางถึงได้รู้ว่า ทางที่กำลังเดินอยู่นั้นเป็นบันไดหินขึ้นเขาอย่างเดียว ซึ่งดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายไกด์ก็พาไปหยุดเดินที่ประตูสุริยเทพ ไกด์ให้นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนั้น 30 นาที ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเห็นหมอกหรือเห็นพระอาทิตย์ และวินาทีสำคัญก็มาถึง…

 

“พอพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นแหละ มันขนลุก มันสวยมาก ภาพที่เห็นคือนครโบราณอยู่ข้างล่าง เรากำลังอยู่บนภูเขาอีกลูกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงนั้น เราถ่ายรูปไม่หยุด กดชัตเตอร์อย่างเดียว บรรยากาศของผู้คนตอนนั้นมันตื่นเต้นมาก ความเหนื่อยที่เราเดินผ่านบันไดมาไม่รู้กี่ขั้น เราลืมไปหมดแล้ว อะดรีนาลินมันสูบฉีดแรงมาก”

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นเต็มอิ่ม ก็ต้องเดินต่อไปยังจุดหมายที่อยู่เบื้องล่าง ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง เมื่อเดินไปถึงแสงแดดที่ส่องลงมามันเปลี่ยนอารมณ์ไปแล้ว กลายเป็นภาพคนละอารมณ์กับตอนที่มองจากด้านบน ดังนั้น ภาพที่เธอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและอารมณ์ของภาพ ตอนนั้นมันต้องเดินอย่างเดียวถึงจะเห็น มันเป็นไปไม่ได้แม้ว่าจะนั่งรถไฟเที่ยวแรกและเดินขึ้นมาเร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถเห็นภาพเดียวกันนั้น

เธอรู้สึกว่า “นี่แหละคือรางวัล” หลังจากเหน็ดเหนื่อยและร้องไห้มา เมื่อมองย้อนกลับไปเธอยังรู้สึกว่า หากเส้นทางมันเดินง่ายๆ ไม่ต้องเสียน้ำตาให้มัน เส้นทางนี้ก็คงไม่ซึ้งและกินใจมาจนถึงตอนนี้

นครโบราณ มาชู ปิกชู มีเวลาเปิด-ปิดเป็นเวลา ไม่มีการค้างแรม ดังนั้นเมื่อเดินไปถึงตัวเมืองแล้วก็ต้องนั่งรถไฟกลับในช่วงเย็นของวันนั้นเลย สำหรับคนที่เลือกวิธีเดินเขา ปลายทางอย่างมาชู ปิกชู อาจไม่สำคัญเท่าเส้นทางตลอด 4 วัน เพราะระหว่างทางกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทาง มิใช่จุดหมายปลายทางอีกต่อไป และรางวัลที่ได้นอกจากจะได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้น ที่สงวนไว้สำหรับคนเดินขึ้นมาแล้ว เธอยังได้รางวัลชิ้นสำคัญ นั่นคือการ ชนะ ใจ ตัวเอง ชนะในสิ่งที่เธอคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่หากใจไหว ทุกอย่างก็ไหว