24 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13:09 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1habfA6
โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม/ชุษณ์วัฏ ตันวานิช
ช่วงเวลาเพียงเดือนเดียว แต่รัฐบาลเลี้ยวเข้าสู่เส้นโค้งอันตรายถึงสองโค้งยักษ์ โค้งหนึ่ง คือ กระแสต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งที่กลายสภาพเป็นยาเร่งวันหมดอายุขัยของรัฐบาล อีกโค้ง คือ คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งดับฝันโมเดล 200 สว.เลือกตั้งของ 312 สมาชิกรัฐสภา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่ทั้งสองเหตุการณ์ได้ทำหน้าที่ฉายภาพฉากการต่อรอง ต่อสู้ ยื้อยุดฉุดกระชากระหว่างสองขั้วอำนาจในสังคมไทยได้อย่างอล่างฉ่างที่สุดฉากหนึ่งในรอบ 7 ปี หลังเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการจุดยืนฝ่ายเสื้อแดง วิเคราะห์สรุปบทเรียนจากสองเหตุการณ์ต่อพรรคเพื่อไทย พร้อมประเมินอนาคตอันใกล้ที่เขาเชื่อว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีกำลังมาถึงในไม่ช้า
อาจารย์พิชิต ชี้ว่า ขณะนี้ภัยคุกคามรัฐบาลชัดเจนที่สุดว่ามาจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ทิ้งระเบิดหลายลูก ทั้งการเสียบบัตรแทน การควบคุมการอภิปรายสภา เอกสารตัวร่างที่ผิดระเบียบ แต่ที่ร้ายแรงที่สุด คือ ข้อสุดท้าย ที่ระบุถึงการทำหน้าที่ของ 312 สส.-สว. ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการขัดมาตรา 68 ชัดเจนว่าจงใจ “เขี่ยบอล” ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ป.ป.ช.เองก็รับลูกแบบทันควัน
“เขาไม่ยุบพรรคหรอก เพราะในทางปฏิบัติยุบพรรคก็ไม่มีผลอะไร พรรคเป็นแค่ป้ายยี่ห้อ คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่รู้เอาใครมาใส่ไว้ ถ้ายุบก็แค่ย้ายพรรค จดทะเบียนพรรค ตั้งกรรมการบริหารขึ้นมาใหม่ ยิ่งลักษณ์ก็ยังอยู่ คณะรัฐมนตรีก็ยังอยู่ แต่ในส่วนการวินิจฉัยกระทำขัดมาตรา 68 ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเท่ากับ 312 สส.-สว. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือยังคงสภาพ สส.และ สว.อยู่ แต่เข้าประชุมไม่ได้ โหวตไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเท่ากับเกินครึ่งของรัฐสภาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็จะเหลือแต่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ สว.ฝั่งเขาเท่านั้น”
พิชิต ระบุว่า ในเมื่อรัฐสภาไม่ถึงครึ่งย่อมมีคำถามว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่หรือประชุมได้หรือไม่ เพราะตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภาก็อาจจะไม่รอดด้วย จุดนี้เองจะเกิดช่องว่างทางการเมืองขนาดใหญ่เป็นวิกฤตการณ์สำคัญที่จะเปิดช่องให้เกิดการใช้ “กลไกพิเศษ” เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรา 7 หรือวิธีการเลือกนายกฯ ใหม่จากเสียงในสภาที่เหลืออยู่
“พรรค ปชป.เองเขาพยายามที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อจะบล็อกไม่ให้ยุบสภา ก็ดูเหมือนเขายังอยากใช้กลไกสภาในปัจจุบัน เพื่อดำเนินการขั้นตอนอะไรบางอย่าง แต่บอกเลยว่าถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด 312 สส.-สว.ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ แล้วหากขืนประชุมสภาเพื่อเลือกนายกฯ ใหม่ หรือเลือกประธานสภาใหม่ หรือลงมติไม่ไว้วางใจปลดนายกฯ จากเสียง ปชป.แค่ร้อยกว่าเสียงและตั้งนายกฯ ขึ้นมาใหม่ด้วยคนของพรรค ปชป.หรือคนนอก หรือใช้กระบวนการพิเศษอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำไปถึงขั้นนั้นก็จะขาดความชอบธรรมอย่างมาก นานาชาติก็ไม่ยอมรับกระบวนการแบบนี้ และคุณอาจถึงจุดจบที่เร็วขึ้น แล้วเสี่ยงที่จะนองเลือดด้วย
…เวลานี้เพื่อไทยอยู่ในสภาวะตั้งรับองค์กรอิสระที่เตรียมรุกเป็นขั้นๆ และผมมีข้อสังเกตว่าเขาคงจะเล่นเกมเร็ว เพราะที่ราชดำเนินนัดดีเดย์อีกครั้งวันที่ 24 พ.ย. และ ป.ป.ช.ก็กำลังเคลื่อนเร็วมาก เหมือนกับว่ามีความจงใจให้ไปเจอกันในราววันที่ 24-30 พ.ย. แล้ววันที่ 24 เขาก็เตรียมระดมมวลชนออกมาเยอะ เพราะฝ่ายเขาเริ่มได้ใจแล้วว่าองค์กรพวกนี้ออกมาเล่นแล้ว และในระหว่างนั้นก็อาจจะมี ป.ป.ช. หรือองค์กรอื่นออกมาซ้ำตรงนี้ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน
…และยังมีอีกประเด็นที่ผมคิดว่าเป็นลูกระเบิดฝังรอไว้นานแล้ว คือคดีโครงการรับจำนำข้าวและประมูลน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของนายกฯ เขารวบรวมสำนวนไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะเวลาที่จะเอาขึ้นมา หากชี้มูลตัวนายกฯ ก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้น ตัวเคลื่อนหลักในเวลานี้ คือ ‘ป.ป.ช.’ ซึ่งมีทั้งคดี 312 สส.-สว. และคดีนายกฯ ที่รอรุกฆาตจากทั้งสองทาง”
นักวิชาการผู้นี้เสนอว่า นอกจากพรรคเพื่อไทยจะแสดงท่าทีไม่รับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว หากต่อไปเกิด“สถานการณ์พิเศษ” ที่เปิดทางให้เกิด “กลไกพิเศษ” ดังว่า พรรคเพื่อไทยจะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปที่พลังมวลชน ซึ่งนำโดย “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.)
“เมื่อเวทีสภาถูกสกัด เวทีรัฐบาลก็ถูกสกัด ก็จะเหลือเวทีมวลชนเพียงอย่างเดียว นปช.ต้องเคลื่อนมวลชนออกมาเพื่อแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ สนับสนุนให้ระบอบการเมืองดำเนินไปภายใต้กรอบกติกา ยืนยันไม่เอากลไกวิธีการพิเศษ ไม่เอารัฐบาลพิเศษ หรือนายกฯ วิธีพิเศษเข้ามาในช่วงระยะเวลาข้างหน้า โดยที่แกนนำต้องแยกตัวจากรัฐบาลชัดเจน คนที่เป็น สส.หรือเป็นรัฐมนตรีจะต้องไม่เข้ามา ถ้าจะเข้ามาก็ต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว เพื่อไม่ให้มีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลใช้ประชาชนมาสร้างความแตกแยก เพราะรัฐบาลนี้ยังไงก็เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุที่นำพรรคเพื่อไทยมาสู่จุดเสี่ยงล้มเร็วกว่ากำหนดนั้นเป็นเพราะผลจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งที่ไม่เพียงสลายเกราะกำบังของแนวร่วมเดียวกัน แต่ยังดันปลุกกระแสต้านพรึ่บเต็มเมือง จนเสมือนออก “ใบอนุญาต” ให้ขั้วตรงข้ามบุกทะลวงจนรัฐบาลต้องถอยกรูดไม่เป็นท่า
พิชิตสรุปบทเรียนของพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตรงไปตรงมาว่า เจ็บแล้วไม่เคยจำ จากการพยายามประนีประนอมกับชนชั้นนำหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จนถึงครั้งนี้นับว่าพรรคเพื่อไทยสาหัสกว่าทุกครั้ง เพราะทั้งทำลายแนวร่วมเดียวกันและยังปิดน่านฟ้าในการกลับเข้าประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียเอง
“เขาเชื่อในเรื่องซูเปอร์ดีล แล้วฝั่งนั้นก็คงส่งสัญญาณให้เหมือนกับว่ามีดีลจริง อาจมีการติดต่อพูดคุยกันผ่านตัวกลาง แล้วตัวกลางก็คอนเฟิร์มว่ามีไฟเขียว มีซูเปอร์ดีลแล้ว คงอาจผ่านไปหลายทาง ผ่านสายที่ 1 2 3 4 แต่ละสายคงคอนเฟิร์มตรงกันหมด คงเชื่อแล้วลุย แต่สุดท้ายซูเปอร์ดีลมันกลายเป็นซูเปอร์เฟก คือแหกตาครั้งใหญ่ แล้วเพื่อไทยและคุณทักษิณก็ตกหลุมแหกตาครั้งใหญ่เรียบร้อยแล้ว
…บทเรียนสำคัญที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคุณทักษิณและคนตระกูลชินวัตรต้องเรียนรู้คือ ต่อให้คุณอยากจะประนีประนอม สมยอม ยุติ หย่าศึกกับฝ่ายตรงข้ามเท่าไรก็ตาม เขาไม่สนใจหรอก 6-7 ปีที่ผ่านมาก็พยายามมีดีล มีซูเปอร์ดีลกันไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง และคุณก็ถูกหักหลังทุกครั้ง จนถึงเดี๋ยวนี้มันชัดเจนแล้วว่า เขาไม่ประนีประนอมกับคุณ เขาต้องการทำให้คุณหมดสิ้นทุกอย่างในประเทศไทย สิ้นฤทธิ์ทั้งเรื่องทรัพย์สินหรือเรื่อง
อำนาจทางการเมือง ถ้าคุณยังคิดว่าจะหาทางมีซูเปอร์ดีลในครั้งหน้าอีก คุณจะเพ้อฝันเกินไป
ทั้งพรรคเพื่อไทย ตระกูลชินวัตร และคุณทักษิณต้องรู้ ต้องเข้าใจได้แล้วว่ามันเป็นศึกทางการเมือง มันไม่ใช่ดีลทางธุรกิจ ไม่ใช่การแข่งขันแย่งมาร์เก็ตแชร์ หรือแย่งตลาดกันในทางธุรกิจ ที่อยู่ๆ ก็เอาทั้งสองฝั่งมาจับมือแล้วแบ่งตลาดกัน 50:50 เพราะคุณทักษิณชอบคิดแบบนี้ไงถึงได้คิดว่ามีดีลอยู่เรื่อย เดี๋ยวซูเปอร์ดีลบ้าง บิ๊กดีลบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่บิ๊กดีล ซูเปอร์ดีล แต่มันเป็นบิ๊กไฟต์
…และบทเรียนที่สำคัญมากที่จะต้องเรียนรู้ คือ ถ้าคุณไม่มีมวลชนสนับสนุนเมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นเขาจะเงื้อดาบฟันคุณทันที คุณอยู่มาได้ 6-7 ปีมานี้ เพราะคุณมีพลังมวลชน มีเสียงมวลชนสนับสนุนอยู่แค่นั้นเอง เพราะคุณไม่มีองค์กรอิสระ ไม่มีตุลาการ ไม่มีทหาร ไม่มีข้าราชการ ส่วนคุณก็เบาบางมาก คุณมีแต่ประชาชนเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่คุณยอมทำให้มวลชนแตกออกไป เพื่อแลกกับการที่จะได้ประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม เท่ากับคุณฆ่าตัวตาย ผลสุดท้ายคือคุณเสียมวลชนไปจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน ประนีประนอมก็ไม่สำเร็จ แล้วเขาก็อาศัยจังหวะนี้ฟาดฟันทำลายคุณจนถึงที่สุด”
อาจารย์รั้วธรรมศาสตร์ ย้ำด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทำให้การเข้าใกล้ประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ห่างออกไปอีก ในอนาคตหากจะกลับเข้ามาได้มีทางเดียว คือ ต้องชนะแบบเบ็ดเสร็จ แบบไม่มีแรงต้านจากฝ่ายตรงข้าม แต่หากยังคิดจะรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วรอมีซูเปอร์ดีลใหม่เพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมอีกรอบหนึ่ง เลิกคิดได้เลย วิธีนี้จบแล้วไม่มีทาง
ยุบสภาไปก็ไม่ได้เลือกตั้ง!
สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจของรัฐบาลที่เเสนสั่นคลอนตั้งแต่ร่างนิรโทษกรรมแผลงฤทธิ์ สืบเนื่องมาจนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และ ปปช. โดยระหว่างนั้น มักปรากฎข้อเสนอ “ยุบสภา” ดังออกจากปากนักวิชาการจำนวนไม่น้อย เเต่ อ.พิชิต มองกลับกันว่ายุบสภาเป็น “ข้อห้าม” สำหรับรัฐบาล เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง
พิชิต จำแนกผลดีผลเสียของการยุบ-ไม่ยุบว่า “ยุบสภาหนีไม่ใช่ทางออกและยิ่งทำให้สถานการณ์ฝ่ายรัฐบาลแย่ลงไปอีก เพราะการยุบสภาจะทำให้ สส.ทั้งหมดหมดสภาพ สส.กลายเป็นคนธรรมดา จริงๆ เเล้วหากโดน ปปช.ชี้มูล แม้จะเข้าประชุมยกมือไม่ได้ แต่อย่างน้อยยังได้รักษาสถานภาพของ สส.ไว้ สามารถที่จะเชื่อมโยงกับชาวบ้าน ประชาชนในพื้นที่ หรือ ข้าราชการท้องถิ่น ยังมีความเชื่อมโยงกันในการเคลื่อนไหวได้
…หากไม่ยุบสภา รัฐบาลยังมีอำนาจเต็ม ถ้า ปปช.ฟันนายกฯ ก็โดนนายกฯ เพียงคนเดียว นายกฯ ก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีรองนายกฯ ขึ้นมาเป็นรักษาการณ์นายกฯ แต่รัฐบาลทั้งชุด รัฐมนตรีทุกคนยังเป็นรัฐบาลเต็มอำนาจ สามารถสั่งการกระทรวง ทบวง กรม เพราะไม่ใช่รัฐมนตรีหรือรัฐบาลรักษาการณ์ ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา เพราะยิ่งยุบจะยิ่งอ่อนแอลง
อ.พิชิต วิเคราะห์เพิ่มว่า อย่างไรก็ตามหากเกิดสถานการณ์พิเศษจริง ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 หรือ 90 วัน เพราะพรรคเพื่อไทยจะกลับมามีเสียงเยอะ อาจจะไม่ถึงครึ่ง แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่ดี ฉะนั้นถึงยุบสภาวันนี้การันตีได้เลยว่า ยังไงก็ไม่ได้เลือกตั้ง จะย้อนรอยเหมือนปี 49 เช่น ปชป.บอยคอตไม่เลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เป็นต้น
…หากยุบสภามันจะยิ่งเกิดเป็นสุญญากาศทางการเมือง วิกฤตแบบเดียวกับปี 49 ที่ไม่ได้เลือกตั้ง รัฐบาลก็รักษาการณ์ นายกฯ ก็รักษาการณ์ และถ้ายิ่งลักษณ์ถูกฟันไปแล้วในช่วงนั้นด้วย มีโอกาสจะถูกกลไกแบบเดียวปี 49 หรือปี 50คือสุดท้ายจะมีทหารเข้ามา แต่ไม่ได้ออกมาในรูปแบบเปิดเผยเคลื่อนรถถัง แต่จะเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังเพื่อให้มีกระบวนการพิเศษจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้นยุบสภาไม่ได้ช่วย แต่อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์รูปแบบใหม่ด้วย”
เหมาเข่งผุด”นิวเจน”ต้านทักษิณสาหัสกว่าปี 49
ผลพวงจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยไม่ได้พลาดเฉพาะการปลุกบรรยากาศออกใบอนุญาตให้ขั้วพลังฝ่ายตรงข้ามรุกฝ่ายเพื่อไทยอย่างหนัก อ.พิชิต ประเมินความเสียหายหลังพายุเหมาเข่งลูกนี้ผ่านพ้นไป ว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้สร้างรอยร้าวต่อแนวร่วมเดียวกันจนยากจะสมานแผลให้สนิท ที่หนักกว่านั้นคือนิรโทษเหมาเข่งได้ฝังรากแนวคิดต้านโกงให้กับกลุ่มนิวเจเนอเรชันที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมหาศาล
“ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทำให้มีคนเสื้อแดงที่โกรธ ผิดหวังและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อไทยในช่วงนั้นเยอะมากกว่าที่คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยประเมินไว้ เขาคาดว่าเสื้อแดงที่ต่อต้านเหมาเข่งเป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่รักทักษิณ ทักษิณเพื่อไทยต้องการอะไร จะใช้วิธีการอะไรก็ได้ขอให้ทักษิณได้กลับบ้านเขาเอาหมด แต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้พิสูจน์ว่าไม่ใช่ ที่บอกว่ามีเพียงเสื้อแดงปัญญาชนในกทม.ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ไม่จริง เพราะคนที่คัดค้านเยอะมากทั้งในชนบทและกรุงเทพฯ โดยเฉพาะต่างจังหวัดในภาคเหนือ อีสานที่ไม่เอาด้วยเยอะมาก แต่อาจจะไม่ได้เสียงดังเท่ากับเสื้อแดงอย่างที่ราชประสงค์
…ถือว่ายังดีที่พรรคเพื่อไทยกลับตัว เเละเหตุการณ์ยกระดับเป็นโค่นล้มรัฐบาล ทำให้คนเสื้อแดงที่ผิดหวังส่วนใหญ่ที่ยังโกรธเพื่อไทยอยู่กลับมา เพราะเขามองภาพรวมว่าปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มไม่ได้ เขาก็กลับมาโดยที่คิดว่าให้ผ่านปัญหาเฉพาะหน้านี้ไปก่อนแล้วเรื่องที่ผ่านมาค่อยมาสะสาง ค่อยมาต่อว่าต่อขานว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังมีส่วนน้อยที่ไม่กลับ เป็นพวกปัญญาชนในเมืองซึ่งยังโกรธมาก เขาไม่ย้ายข้างไปอยู่ฝั่งโน้น แต่จะยืนเฉย ไม่สนับสนุนเพื่อไทย ส่วนนี้ผมคิดว่าเพื่อไทยยังสามารถดึงกลับมาได้ โดยการแสดงความเสียใจ แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขออภัย ขอโทษ เชื่อว่าคนกลุ่มนี้ยินดีที่จะกลับมา”
ส่วนทางเลือกการ “ตั้งพรรคใหม่” ของคนเสื้อแดงนั้น พิชิตบอกมาเเบบไม่อ้อมค้อมว่า “ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะระบบทางการเมืองแบบนี้ คุณต้องเป็นพรรคใหญ่ แล้วก็ต้องใช้ทุนมาก ที่สำคัญต้องมีหัวหน้าพรรคที่สามารถดึงความสนใจและดึงความนิยมของคนได้ ซึ่ง ณ วันนี้ พรรคทางเลือกที่สามยังไม่มี ตั้งขึ้นมาก็เป็นพรรคเล็กถ้าไม่เลวร้ายเหมือนพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็อาจจะเป็นพรรคเล็กที่ได้ สส.หนึ่งหรือสองคน
…แต่ผมคิดว่าจะเป็นปัญหาและเป็นผลเสียหากตั้งพรรคทางเลือกที่สาม เพราะเสื้อแดงจะแตกแยกกันเอง เสื้อแดงจำนวนน้อยอาจจะไปตามทางเลือกที่สามแล้วจะไม่กลับมา แต่เสื้อแดงส่วนใหญ่จะยังเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่ เพราะมีคุณทักษิณ มีคุณยิ่งลักษณ์เป็นไอดอล ถึงจะไม่สมบูรณ์บ้าง อาจจะไม่พอใจคุณยิ่งลักษณ์ คุณทักษิณในหลายเรื่อง แต่ 2 คนนี้ยังเป็นไอดอล ยังเป็นผู้นำของเขา และต้องยอมรับว่าคนเสื้อแดงยังต้องอาศัยเครือข่ายพรรคและ สส.พรรคในพื้นที่ทั่วประเทศ ใช้ทั้งทรัพยากร และเงินทุนในการเคลื่อนมวลชนไม่ว่าจะเคลื่อนมวลชนในระบบพรรคหรือเคลื่อนมวลชนตามท้องถนนก็ดี มันต้องใช้ทุนเยอะทั้งสองฝั่ง
…เพราะฉะนั้นผมไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรค ผมคิดว่าบทเรียนที่ฝั่งคนเสื้อแดงต้องเรียนรู้ก็คือว่า คนเสื้อแดงเองก็ขาดพรรคเพื่อไทยไม่ได้ และที่สำคัญพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรก็ขาดคนเสือแดงไม่ได้ นี่คือบทเรียนใหญ่ที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเรียนรู้ และจะต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยกัน”
ในสถานการณ์ที่เพลี้ยงพล้ำฝ่ายตรงข้ามนั้น พิชิต ประเมินย้ำว่าหากมีการเลือกตั้งวันนี้ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยในเมือง ทั้งกทม.และหัวเมืองใหญ่จะหายไปเยอะมาก คะแนนของพรรคเพื่อไทยอาจจะยังคงมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงครึ่งเหมือนการเลือกตั้งปี 2554 แน่นอน
“นอกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จะหายไปแล้ว แต่อีกสิ่งที่เสียหายหนักขึ้นคือ ความรู้สึกของคนเกลียดคุณทักษิณ มองคุณทักษิณว่าโคตรโกงที่มันเสื่อมหายลงไปเยอะในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมา แต่การดันนิรโทษกรรมเหมาเข่งมันทำให้อารมณ์ความรู้สึกนี้กลับมาอีกครั้งหนึ่งและรุนแรงยิ่งกว่าปี 49 และไม่ใช่คนหน้าเดิมเมื่อปี 49 ที่ออกมาตะโกนโคตรโกง แต่มีคนกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทักษิณ ตระกูลชินวัตรหรือพรรคเพื่อไทยก็ดีต้องเรียนรู้ว่าครั้งนี้มันขาดทุนอย่างหนัก ภาพพจน์ ความเชื่อถือของคนเรื่องโคตรโกงมันกลับมาและฝังรากลึก ซึ่งแก้ได้ยาก อีกหลายปีมากกว่าจะแก้ตรงนี้ได้
…กลายเป็นว่าฝั่งเพื่อไทย คนเสื้อแดงยังเท่าเดิม ไม่เพิ่ม แถมยังเสียส่วนหนึ่งออกไปอีกที่ยังไม่กลับมา ในขณะที่อีกฝั่งได้แนวร่วมเพิ่มเป็นพวกเกลียดทักษิณรุ่นใหม่ เกลียดโคตรโกงรุ่นใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาด้วยกระแสเป่านกหวีด กลุ่มนี้เป็นคนซึ่งเมื่อปี 49 50 ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง มาวันนี้อายุเลย 18 ไป 19 20 หรือช่วง 20 กว่าแล้ว ฐานคะแนนเสียงกลุ่มนี้เป็นแสนคนใน กทม.และตามหัวเมืองต่างจังหวัดจะไปลงให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือพรรคอื่นทั้งหมด
…กลุ่มคนรุ่นใหม่ คนชั้นกลาง ที่เล่นโซเชียลเน็ตเวริกและมีสิทธิเลือกตั้ง คุณจะไม่ได้คะแนนเสียงพวกนี้ เพราะคุณไม่ได้ทำงานกับคนพวกนี้เลย แต่พรรค ปชป.ทำงานกับคนพวกนี้อย่างสม่ำเสมอ หาคะแนนเสียงกับคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ และเจาะฐานกลุ่มนี้มาตลอดเพราะฉะนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเสียฐานคนชั้นกลางในเมืองเพิ่มมากขึ้นไปอีก”
เหตุใดคนชั้นกลางอ่อนไหวต่อการทุจริต แต่เมินเฉยรัฐประหารหรือการใช้อำนาจของตุลาการ ? พิชิตเเสดงทรรศนะว่า “มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนชนชั้นในเมือง คนกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองที่โตได้เพราะอยู่บนความยากจนและการเอารัดเอาเปรียบคนในต่างจังหวัด คุณได้ทั้งสินค้าเกษตร อาหาร แรงงานราคาถูก ความเหลื่อมล้ำมันแตกต่างกัน คุณมีสถานะสูงกว่า มีอภิสิทธิ์สูงกว่า ได้ทรัพยากร ได้งบประมาณ การศึกษาที่มากกว่า เพราะอยู่ในเมือง ทีนี้พอรัฐบาลชุดนี้ที่ผ่านมาได้ผ่องถ่ายทรัพยากรไปสู่คนในชนบทส่วนอื่น พวกนี้จึงไม่พอใจ มันเป็นเรื่องอคติของคนเมืองและคนชนบท คนที่มีการศึกษาและคนที่ไม่มีการศึกษา
…เหล่านี้เป็นอคติซึ่งคนพวกนี้ก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองมี ถ้าถามคนกลุ่มนี้ว่าเขามองคนชนบทอย่างไร มองคนที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างไร คนพวกนี้ก็จะมองอย่างดูถูก มองเป็นชาวบ้านไม่มีการศึกษา ขายเสียง ไม่รู้เรื่อง เห็นเเก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงิน มองสังคมเมืองว่าเป็นสังคมเจริญ มีอารยะ มีการศึกษา แล้วมองสังคมชนบทล้าหลังไม่มีการศึกษา เป็นคนที่ไม่มีงานทำแล้วมาทำงานในเมืองเป็นคนงานก่อสร้าง เป็นพนักงานเสิร์ฟ เป็นพนักงานปั๊มน้ำมัน เป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นคนขับแท็กซี่ นี่ถ้าไม่ใช่การดูถูกทางชนชั้นแล้วจะเรียกว่าอะไร
…แล้วคนรุ่นใหม่ ชนชั้นกลางในเมืองก็เติบโตขึ้นมาในกระบวนการวิธีคิดแบบนี้ พูดคุยกันทุกวัน อยู่ในชีวิตประจำวัน หายใจเข้าออก กินข้าวทุกวันด้วยวิธีคิดแบบนี้ก็สืบทอดขึ้นมา เป็นช่องว่างทางชนชั้นที่มันเกิดขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจหลายสิบปีมานี้คนชั้นกลางในเมือง และหัวเมืองได้ประโยชน์มากที่สุด และทำให้เขามีผลประโยชน์ผูกติดกับการเมืองในระบบอภิสิทธ์ชน ประกอบกับการโหมโฆษณาในระยะ 10-20 ปีมา เรื่องนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลว ซื้อสิทธิขายเสียงในต่างจังหวัด คนต่างจังหวัดส่งคนเข้ามาเพื่อมาฉกฉวยงบประมาณในเมือง เหล่านี้ล้วนทำให้ความคิดที่ว่าหยั่งรากลึกลงไปอีก”
13.874246
100.669851