เปิดใจ”ผู้ว่าฯสงขลา”นาทีเจรจาม็อบบุกศาลากลาง

28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 18:50 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1eCFNa9

เปิดใจ"ผู้ว่าฯสงขลา"นาทีเจรจาม็อบบุกศาลากลาง

โดย…ทีมข่าวภูมิภาค

เป็นเรื่องฮือฮาในสื่อสังคมออนไลน์ ที่เผยแพร่ภาพ นายกฤษฎา บุญราช ผวจ.สงขลา ยืนปราศรัยอยู่บนรถติดเครื่องขยายเสียง พร้อมบรรยายว่า ผู้ว่าฯ สงขลา นำม็อบบุกเข้าศาลากลางด้วยตนเอง ซึ่งหลังจากเผยแพร่ไปในวงกว้าง ก็มีทั้งเสียงปรบมือและตำหนิ

ผู้ว่าฯ กฤษฎา เปิดใจนาทีเผชิญหน้ากับม็อบ เล่าถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่าไม่ได้เป็นไปตามที่สื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ทั้งหมด

“ผมคงพาคนบุกศาลากลางไม่ได้ เพราะเป็นความผิดวินัยร้ายแรง แต่สิ่งที่ผมทำไปก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดความรุนแรง พวกที่ชอบก็ชื่นชม พวกที่ไม่ชอบก็ตำหนิผม แต่ผมไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ช่วงกลางคืน(26 พ.ย.) มีชาวบ้านมาชุมนุมกันที่หน้าศาลากลางประมาณ 200 คน ผมก็ลงไปบอกให้อย่าเพิ่งเข้ามา เพราะเป็นยามวิกาล ให้มากลางวันเถอะ เขาก็ยอมกลับกันไป

พอรุ่งเช้า 27 พ.ย. 11.00 น. ก็มากันเยอะประมาณ 4,000 คน มีนักเรียน นักศึกษา อาจารย์เป็นหลัก จะขอเข้ามาในศาลากลาง ตอนนั้นมีตำรวจ อส. ดูแลความปลอดภัยศาลากลางประมาณ 300 นาย ข้างในก็มีการวางลวดหนามทั้งหมดแล้ว ผู้ชุมนุมจะเข้ามาให้ได้ ผมก็ขอเชิญแกนนำมาคุยกันบนศาลากลาง

ฝ่ายแกนนำก็บอกว่าศาลากลางสร้างจากภาษีของประชาชน ยังไงก็จะเข้ามาให้ได้ ผมก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอย่าเข้ามาในตัวศาลากลางเลย เอาแค่สนามหน้าศาลากลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย เขาก็ยอมแต่ขอให้ผมไปเจรจากับชาวบ้านเอง ผมก็ตกลง

ผมไปหาชาวบ้านพร้อมกับรองผู้ว่าฯ  ปลัดจังหวัด และฝ่ายตำรวจ ทีแรกตำรวจจะให้ชุดปราบจลาจลตามไปด้วยอีก 6 นาย แต่ผมเกรงว่ามันจะดูแข็งไปก็เลยบอกว่าไม่ต้องตามไป

พอไปพบชาวบ้านผมก็ขึ้นไปบนรถ เขาก็เอานกหวีดมาคล้องคอให้ผม ขอให้เป่านกหวีด ผมก็เป่าไปปรี๊ดนึง แล้วก็เริ่มพูดกับชาวบ้าน บอกเขาว่า ศาลากลางจังหวัดทั้งหลังเก่าและใหม่ เป็นสถานที่ซึ่งพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาแล้วหลายครั้ง ขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันดูแลรักษาอย่าให้เกิดความเสียหาย

จากนั้นผมก็โบกมือให้ชาวบ้านที่ขวางอยู่ประตูทางเข้าให้หลีก บอกว่าถ้าจะเข้าไปก็ให้มาอยู่หลังรถ อยู่ข้างหลังผม จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด

ผมต้องเจรจาเพื่อสกัดมิให้เกิดความรุนแรง ผมเป็นข้าราชการไม่มีแบ่งฝ่าย และสิ่งที่ผมทำไปทำให้ศาลากลางสงขลา เป็นหนึ่งในศาลากลางไม่กี่แห่งในภาคใต้ที่ยังเปิดทำการได้ พอพูดคุยกับชาวบ้านเสร็จแล้วก็รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็เข้าใจดี

ก็แค่ยอมให้ประชาชนเข้ามาชุมนุมในศาลากลาง แต่ไม่มีการสั่งให้ตำรวจออกไป หรือสั่งตั้งเต้นท์ทำอาหารเลี้ยงชาวบ้านอย่างที่สื่อโซเชียลมีเดียเผยแพร่กัน

ผมเป็นผู้ว่าฯสงขลามา 2 ปี ผ่านการชุมนุมของชาวบ้านมาแล้ว 3 ครั้ง ทุกครั้งก็ผ่านไปด้วยดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้แต่ม็อบยางพาราก้ไม่มีการปิดถนนในพื้นที่จ.สงขลา เพราะผมยึดหลักความไว้วางใจ เปิดใจคุยกัน มีปัญหาอะไรก็มาคุยกัน ผมจะได้ประสานส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาช่วยแก้ปัญหา แกนนำที่มาชุมนุมครั้งนี้หลายคนเคยนั่งคุยเจรจาแล้วถลึงตาใส่กันมาก่อน แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันได้ ผมบอกกับคนสงขลาว่า ผมเป็นคนแปดริ้ว อีก 4 ปีผมก็เกษียณ แต่คนสงขลาอยู่ที่นี่ตลอด ก็ควรที่จะมาพูดจาหาทางออกแก้ปัญหากันดีๆ

ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีเบื้องหลังอะไรทั้งนั้น”

“ยุบสภา-ลาออก”ไม่ใช่ทางออกประเทศ

27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 19:24 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1hi21Sf

"ยุบสภา-ลาออก"ไม่ใช่ทางออกประเทศ

โดย…ดำรงเกียรติ มาลา

จัดเป็นขาประจำในการวิพากษ์การเมืองด้วยสไตล์ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม มาหลากยุคหลายสมัย สำหรับ “เสี่ยปั้น” บัณฑูร ล่ำซำ ซีอีโอใหญ่ จากค่ายกสิกรไทย ทำให้ทุกครั้งเมื่อมีประเด็นร้อนแรงทางการเมืองทีไรบรรดาผู้สื่อข่าวจึงมักจะวิ่งเข้าใส่เพื่อจ่อไมค์ขอคอมเม้นท์

ในวาระที่สังคมไทยเวียนกลับมายืนอยู่บนทางสามแพร่งที่ชื่อว่า “ความความขัดแย้ง” อีกคำรบ จึงได้เวลาที่ชายชื่อ “บัณฑูร” จะกลับมาสะท้อนทัศนะถึงทางออกของสังคมไทยที่มีความยุ่งเหยิงในขณะนี้อีกครั้ง ภายใต้บริบทของการเป็นคนไทยคนหนึ่ง

Q : ในฐานะที่คร่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจ มองภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้และในระยะต่อไปอย่างไร?

A : เศรษฐกิจไทยขณะนี้อาศัยภาคท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก เพื่อชดเชยการส่งออกการบริโภคและการลงทุนที่แผ่วไป ซึ่งโชคดีที่ประเทศไทยมีแต่คนอยากมาเที่ยว เฉพาะนักท่องเที่ยวจีนอย่างเดียวก็ปีละ 5 ล้านคนแล้ว แต่ภาพความวุ่นวายในบ้านเมืองขณะนี้ที่เราส่งออกไปทั่วโลกอาจทำให้มีผลกระทบ ซึ่งถ้าทุกอย่างกลับมาปกติได้เร็วปีนี้จีดีพีก็ยังน่าจะโตได้ 3%

สำหรับปีหน้ามองว่าโตไดัที่ระดับ 4-5% ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะหากเร่งการเติบโตบนพื้นฐานที่ไม่แน่นจะทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่ตามมา ซึ่งในส่วนของธนาคารเองการปล่อยสินเชื่อก็คงอยู่ที่ 8-9% สอดคล้องกับประเทศและเป็นระดับการปล่อยสินเชื่อแบบระมัดระวัง

Q : มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบขณะนี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียงใด?

A : สถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่วุ่นวายในขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นแล้ว และหากสถานการณ์ลากยาวย่อมส่งผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตอาจจะหายไป นอกจากนี้จะเกิดปฎิกิริยา 2 รูปแบบ คือ 1.การทิ้งสินทรัพย์ของต่างชาติ ในส่วนของหุ้น กองทุน เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ แต่เชื่อว่าประเทศไทยไม่มีนักลงทุนกล้าทิ้งอย่างถาวร แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครกลัวมากกว่ากัน และเมื่อเหตุการณ์สงบก็กลับมาลงทุนอีกครั้ง

อีกส่วนหนึ่งจะเป็นผลกระทบระยะยาวเพราะนักลงทุนต่างชาติจะมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นประเทศไทยจะสามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ ในเมื่อเรายังไม่มีกฎกติกาอะไรให้เขาเห็น ซึ่งหากยังไม่มีกฎกติกาที่ชัดเจนก็จะไม่มีวันตกลงหรือนั่งทำงานได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ปิดไม่ลง

ในส่วนภาคสถาบันการเงินเองก็ทำงานตามปกติ แต่ในสภาวะที่บ้านเมืองไม่สงบ ก็ไม่มีผู้ประกอบการหรือประชาชนอยากจะเข้ามาขอกู้เงิน และในภาคเศรษฐกิจก็ไม่มีใครทำอะไรได้มากมาย เพราะประเทศต้องบริหารด้วยกติกา ซึ่งหากไม่มีกติกาทุกครั้งที่มีข้อโต้แย้งก็ไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้

Q : ทางออกของประเทศไทยตอนนี้คืออะไร?

A : บ้านเมืองเราตอนนี้อยู่ในกำมือผู้ใหญ่ ที่มีอำนาจในเชิงการเมืองและสามารถควบคุมความเป็นไปของประเทศได้ ผู้ใหญ่ก็ควรตัองมีเหตุมีผลที่จะให้ประเทศสามารถทำงานร่วมกันได้ จึงจะเรียกว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เพื่อให้บ้านเมืองสามารถจัดการได้ แต่ถ้ายังออกมาทุกวันก็ทำงานไม่ได้ ซึ่งเชื่อว่าทุกฝ่ายอยากเห็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทำในสิ่งที่ควรทำถึงจะเรียกว่ารักประเทศไทย ที่พูดนี้หมายถึงทั้งสองฝั่ง ทั้งคนที่ค้านและรัฐบาลต้องทำให้คนนับถือได้ ถ้ายังเย้วๆกันไปมาแบบนี้จะไปเจริญหรือพัฒนาได้อย่างไร เมื่อเออีซีมาถึงเราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่น

Q : การยุบสภาถือเป็นทางออกที่เหมาะสม?

A : ทางออกเวลานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ายุบสภา ไม่ยุบสภา หรือลาออกไม่ลาออก แต่ต้องมีกรอบกติกาที่ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้และต้องมีลักษณะของจิตที่ไม่ลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมือง ทำตัวให้ผู้น้อยสามารถพึ่งพิงได้ แต่ปัจจุบันจะพึ่งพิงกติกาก็ไม่มีกติกา จะพึ่งพิงผู้ใหญ่ก็พึ่งพิงไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวยุบไม่ยุบ ออกไม่ออก แต่อยู่ที่สภาวะจิตของผู้ใหญ่ที่จะต้องช่วยแสดงออกให้เห็นหน่อยว่า “ฉันรักประเทศไทย”

มิตรมองมิตร”บทเรียน”ตระกูลชินวัตร

24 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13:09 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1habfA6

มิตรมองมิตร"บทเรียน"ตระกูลชินวัตร

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม/ชุษณ์วัฏ ตันวานิช

ช่วงเวลาเพียงเดือนเดียว แต่รัฐบาลเลี้ยวเข้าสู่เส้นโค้งอันตรายถึงสองโค้งยักษ์ โค้งหนึ่ง คือ กระแสต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งที่กลายสภาพเป็นยาเร่งวันหมดอายุขัยของรัฐบาล อีกโค้ง คือ คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งดับฝันโมเดล 200 สว.เลือกตั้งของ 312 สมาชิกรัฐสภา

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่ทั้งสองเหตุการณ์ได้ทำหน้าที่ฉายภาพฉากการต่อรอง ต่อสู้ ยื้อยุดฉุดกระชากระหว่างสองขั้วอำนาจในสังคมไทยได้อย่างอล่างฉ่างที่สุดฉากหนึ่งในรอบ 7 ปี หลังเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการจุดยืนฝ่ายเสื้อแดง วิเคราะห์สรุปบทเรียนจากสองเหตุการณ์ต่อพรรคเพื่อไทย พร้อมประเมินอนาคตอันใกล้ที่เขาเชื่อว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีกำลังมาถึงในไม่ช้า

อาจารย์พิชิต ชี้ว่า ขณะนี้ภัยคุกคามรัฐบาลชัดเจนที่สุดว่ามาจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ทิ้งระเบิดหลายลูก ทั้งการเสียบบัตรแทน การควบคุมการอภิปรายสภา เอกสารตัวร่างที่ผิดระเบียบ แต่ที่ร้ายแรงที่สุด คือ ข้อสุดท้าย ที่ระบุถึงการทำหน้าที่ของ 312 สส.-สว. ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการขัดมาตรา 68 ชัดเจนว่าจงใจ “เขี่ยบอล” ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ป.ป.ช.เองก็รับลูกแบบทันควัน

“เขาไม่ยุบพรรคหรอก เพราะในทางปฏิบัติยุบพรรคก็ไม่มีผลอะไร พรรคเป็นแค่ป้ายยี่ห้อ คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่รู้เอาใครมาใส่ไว้ ถ้ายุบก็แค่ย้ายพรรค จดทะเบียนพรรค ตั้งกรรมการบริหารขึ้นมาใหม่ ยิ่งลักษณ์ก็ยังอยู่ คณะรัฐมนตรีก็ยังอยู่ แต่ในส่วนการวินิจฉัยกระทำขัดมาตรา 68 ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเท่ากับ 312 สส.-สว. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือยังคงสภาพ สส.และ สว.อยู่ แต่เข้าประชุมไม่ได้ โหวตไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเท่ากับเกินครึ่งของรัฐสภาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็จะเหลือแต่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ สว.ฝั่งเขาเท่านั้น”

พิชิต ระบุว่า ในเมื่อรัฐสภาไม่ถึงครึ่งย่อมมีคำถามว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่หรือประชุมได้หรือไม่ เพราะตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภาก็อาจจะไม่รอดด้วย จุดนี้เองจะเกิดช่องว่างทางการเมืองขนาดใหญ่เป็นวิกฤตการณ์สำคัญที่จะเปิดช่องให้เกิดการใช้ “กลไกพิเศษ” เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรา 7 หรือวิธีการเลือกนายกฯ ใหม่จากเสียงในสภาที่เหลืออยู่

“พรรค ปชป.เองเขาพยายามที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อจะบล็อกไม่ให้ยุบสภา ก็ดูเหมือนเขายังอยากใช้กลไกสภาในปัจจุบัน เพื่อดำเนินการขั้นตอนอะไรบางอย่าง แต่บอกเลยว่าถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด 312 สส.-สว.ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ แล้วหากขืนประชุมสภาเพื่อเลือกนายกฯ ใหม่ หรือเลือกประธานสภาใหม่ หรือลงมติไม่ไว้วางใจปลดนายกฯ จากเสียง ปชป.แค่ร้อยกว่าเสียงและตั้งนายกฯ ขึ้นมาใหม่ด้วยคนของพรรค ปชป.หรือคนนอก หรือใช้กระบวนการพิเศษอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำไปถึงขั้นนั้นก็จะขาดความชอบธรรมอย่างมาก นานาชาติก็ไม่ยอมรับกระบวนการแบบนี้ และคุณอาจถึงจุดจบที่เร็วขึ้น แล้วเสี่ยงที่จะนองเลือดด้วย

…เวลานี้เพื่อไทยอยู่ในสภาวะตั้งรับองค์กรอิสระที่เตรียมรุกเป็นขั้นๆ และผมมีข้อสังเกตว่าเขาคงจะเล่นเกมเร็ว เพราะที่ราชดำเนินนัดดีเดย์อีกครั้งวันที่ 24 พ.ย. และ ป.ป.ช.ก็กำลังเคลื่อนเร็วมาก เหมือนกับว่ามีความจงใจให้ไปเจอกันในราววันที่ 24-30 พ.ย. แล้ววันที่ 24 เขาก็เตรียมระดมมวลชนออกมาเยอะ เพราะฝ่ายเขาเริ่มได้ใจแล้วว่าองค์กรพวกนี้ออกมาเล่นแล้ว และในระหว่างนั้นก็อาจจะมี ป.ป.ช. หรือองค์กรอื่นออกมาซ้ำตรงนี้ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน

…และยังมีอีกประเด็นที่ผมคิดว่าเป็นลูกระเบิดฝังรอไว้นานแล้ว คือคดีโครงการรับจำนำข้าวและประมูลน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของนายกฯ เขารวบรวมสำนวนไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะเวลาที่จะเอาขึ้นมา หากชี้มูลตัวนายกฯ ก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้น ตัวเคลื่อนหลักในเวลานี้ คือ ‘ป.ป.ช.’ ซึ่งมีทั้งคดี 312 สส.-สว. และคดีนายกฯ ที่รอรุกฆาตจากทั้งสองทาง”

นักวิชาการผู้นี้เสนอว่า นอกจากพรรคเพื่อไทยจะแสดงท่าทีไม่รับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว หากต่อไปเกิด“สถานการณ์พิเศษ” ที่เปิดทางให้เกิด “กลไกพิเศษ” ดังว่า พรรคเพื่อไทยจะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปที่พลังมวลชน ซึ่งนำโดย “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.)

“เมื่อเวทีสภาถูกสกัด เวทีรัฐบาลก็ถูกสกัด ก็จะเหลือเวทีมวลชนเพียงอย่างเดียว นปช.ต้องเคลื่อนมวลชนออกมาเพื่อแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ สนับสนุนให้ระบอบการเมืองดำเนินไปภายใต้กรอบกติกา ยืนยันไม่เอากลไกวิธีการพิเศษ ไม่เอารัฐบาลพิเศษ หรือนายกฯ วิธีพิเศษเข้ามาในช่วงระยะเวลาข้างหน้า โดยที่แกนนำต้องแยกตัวจากรัฐบาลชัดเจน คนที่เป็น สส.หรือเป็นรัฐมนตรีจะต้องไม่เข้ามา ถ้าจะเข้ามาก็ต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว เพื่อไม่ให้มีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลใช้ประชาชนมาสร้างความแตกแยก เพราะรัฐบาลนี้ยังไงก็เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุที่นำพรรคเพื่อไทยมาสู่จุดเสี่ยงล้มเร็วกว่ากำหนดนั้นเป็นเพราะผลจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งที่ไม่เพียงสลายเกราะกำบังของแนวร่วมเดียวกัน แต่ยังดันปลุกกระแสต้านพรึ่บเต็มเมือง จนเสมือนออก “ใบอนุญาต” ให้ขั้วตรงข้ามบุกทะลวงจนรัฐบาลต้องถอยกรูดไม่เป็นท่า

พิชิตสรุปบทเรียนของพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตรงไปตรงมาว่า เจ็บแล้วไม่เคยจำ จากการพยายามประนีประนอมกับชนชั้นนำหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จนถึงครั้งนี้นับว่าพรรคเพื่อไทยสาหัสกว่าทุกครั้ง เพราะทั้งทำลายแนวร่วมเดียวกันและยังปิดน่านฟ้าในการกลับเข้าประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียเอง

“เขาเชื่อในเรื่องซูเปอร์ดีล แล้วฝั่งนั้นก็คงส่งสัญญาณให้เหมือนกับว่ามีดีลจริง อาจมีการติดต่อพูดคุยกันผ่านตัวกลาง แล้วตัวกลางก็คอนเฟิร์มว่ามีไฟเขียว มีซูเปอร์ดีลแล้ว คงอาจผ่านไปหลายทาง ผ่านสายที่ 1 2 3 4 แต่ละสายคงคอนเฟิร์มตรงกันหมด คงเชื่อแล้วลุย แต่สุดท้ายซูเปอร์ดีลมันกลายเป็นซูเปอร์เฟก คือแหกตาครั้งใหญ่ แล้วเพื่อไทยและคุณทักษิณก็ตกหลุมแหกตาครั้งใหญ่เรียบร้อยแล้ว

…บทเรียนสำคัญที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคุณทักษิณและคนตระกูลชินวัตรต้องเรียนรู้คือ ต่อให้คุณอยากจะประนีประนอม สมยอม ยุติ หย่าศึกกับฝ่ายตรงข้ามเท่าไรก็ตาม เขาไม่สนใจหรอก 6-7 ปีที่ผ่านมาก็พยายามมีดีล มีซูเปอร์ดีลกันไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง และคุณก็ถูกหักหลังทุกครั้ง จนถึงเดี๋ยวนี้มันชัดเจนแล้วว่า เขาไม่ประนีประนอมกับคุณ เขาต้องการทำให้คุณหมดสิ้นทุกอย่างในประเทศไทย สิ้นฤทธิ์ทั้งเรื่องทรัพย์สินหรือเรื่อง

อำนาจทางการเมือง ถ้าคุณยังคิดว่าจะหาทางมีซูเปอร์ดีลในครั้งหน้าอีก คุณจะเพ้อฝันเกินไป

ทั้งพรรคเพื่อไทย ตระกูลชินวัตร และคุณทักษิณต้องรู้ ต้องเข้าใจได้แล้วว่ามันเป็นศึกทางการเมือง มันไม่ใช่ดีลทางธุรกิจ ไม่ใช่การแข่งขันแย่งมาร์เก็ตแชร์ หรือแย่งตลาดกันในทางธุรกิจ ที่อยู่ๆ ก็เอาทั้งสองฝั่งมาจับมือแล้วแบ่งตลาดกัน 50:50 เพราะคุณทักษิณชอบคิดแบบนี้ไงถึงได้คิดว่ามีดีลอยู่เรื่อย เดี๋ยวซูเปอร์ดีลบ้าง บิ๊กดีลบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่บิ๊กดีล ซูเปอร์ดีล แต่มันเป็นบิ๊กไฟต์

…และบทเรียนที่สำคัญมากที่จะต้องเรียนรู้ คือ ถ้าคุณไม่มีมวลชนสนับสนุนเมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นเขาจะเงื้อดาบฟันคุณทันที คุณอยู่มาได้ 6-7 ปีมานี้ เพราะคุณมีพลังมวลชน มีเสียงมวลชนสนับสนุนอยู่แค่นั้นเอง เพราะคุณไม่มีองค์กรอิสระ ไม่มีตุลาการ ไม่มีทหาร ไม่มีข้าราชการ ส่วนคุณก็เบาบางมาก คุณมีแต่ประชาชนเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่คุณยอมทำให้มวลชนแตกออกไป เพื่อแลกกับการที่จะได้ประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม เท่ากับคุณฆ่าตัวตาย ผลสุดท้ายคือคุณเสียมวลชนไปจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน ประนีประนอมก็ไม่สำเร็จ แล้วเขาก็อาศัยจังหวะนี้ฟาดฟันทำลายคุณจนถึงที่สุด”

อาจารย์รั้วธรรมศาสตร์ ย้ำด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทำให้การเข้าใกล้ประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ห่างออกไปอีก ในอนาคตหากจะกลับเข้ามาได้มีทางเดียว คือ ต้องชนะแบบเบ็ดเสร็จ แบบไม่มีแรงต้านจากฝ่ายตรงข้าม แต่หากยังคิดจะรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วรอมีซูเปอร์ดีลใหม่เพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมอีกรอบหนึ่ง เลิกคิดได้เลย วิธีนี้จบแล้วไม่มีทาง

ยุบสภาไปก็ไม่ได้เลือกตั้ง! 

สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจของรัฐบาลที่เเสนสั่นคลอนตั้งแต่ร่างนิรโทษกรรมแผลงฤทธิ์ สืบเนื่องมาจนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และ ปปช. โดยระหว่างนั้น มักปรากฎข้อเสนอ “ยุบสภา” ดังออกจากปากนักวิชาการจำนวนไม่น้อย เเต่ อ.พิชิต มองกลับกันว่ายุบสภาเป็น “ข้อห้าม” สำหรับรัฐบาล เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง

พิชิต จำแนกผลดีผลเสียของการยุบ-ไม่ยุบว่า “ยุบสภาหนีไม่ใช่ทางออกและยิ่งทำให้สถานการณ์ฝ่ายรัฐบาลแย่ลงไปอีก เพราะการยุบสภาจะทำให้ สส.ทั้งหมดหมดสภาพ สส.กลายเป็นคนธรรมดา จริงๆ เเล้วหากโดน ปปช.ชี้มูล แม้จะเข้าประชุมยกมือไม่ได้ แต่อย่างน้อยยังได้รักษาสถานภาพของ สส.ไว้ สามารถที่จะเชื่อมโยงกับชาวบ้าน ประชาชนในพื้นที่ หรือ ข้าราชการท้องถิ่น ยังมีความเชื่อมโยงกันในการเคลื่อนไหวได้

…หากไม่ยุบสภา รัฐบาลยังมีอำนาจเต็ม ถ้า ปปช.ฟันนายกฯ ก็โดนนายกฯ เพียงคนเดียว นายกฯ ก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีรองนายกฯ ขึ้นมาเป็นรักษาการณ์นายกฯ แต่รัฐบาลทั้งชุด รัฐมนตรีทุกคนยังเป็นรัฐบาลเต็มอำนาจ สามารถสั่งการกระทรวง ทบวง กรม เพราะไม่ใช่รัฐมนตรีหรือรัฐบาลรักษาการณ์ ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา เพราะยิ่งยุบจะยิ่งอ่อนแอลง

อ.พิชิต วิเคราะห์เพิ่มว่า อย่างไรก็ตามหากเกิดสถานการณ์พิเศษจริง ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 หรือ 90 วัน เพราะพรรคเพื่อไทยจะกลับมามีเสียงเยอะ อาจจะไม่ถึงครึ่ง แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่ดี ฉะนั้นถึงยุบสภาวันนี้การันตีได้เลยว่า ยังไงก็ไม่ได้เลือกตั้ง จะย้อนรอยเหมือนปี 49 เช่น ปชป.บอยคอตไม่เลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เป็นต้น

…หากยุบสภามันจะยิ่งเกิดเป็นสุญญากาศทางการเมือง วิกฤตแบบเดียวกับปี 49 ที่ไม่ได้เลือกตั้ง รัฐบาลก็รักษาการณ์ นายกฯ ก็รักษาการณ์ และถ้ายิ่งลักษณ์ถูกฟันไปแล้วในช่วงนั้นด้วย มีโอกาสจะถูกกลไกแบบเดียวปี 49 หรือปี 50คือสุดท้ายจะมีทหารเข้ามา แต่ไม่ได้ออกมาในรูปแบบเปิดเผยเคลื่อนรถถัง แต่จะเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังเพื่อให้มีกระบวนการพิเศษจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้นยุบสภาไม่ได้ช่วย แต่อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์รูปแบบใหม่ด้วย”

เหมาเข่งผุด”นิวเจน”ต้านทักษิณสาหัสกว่าปี 49

ผลพวงจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยไม่ได้พลาดเฉพาะการปลุกบรรยากาศออกใบอนุญาตให้ขั้วพลังฝ่ายตรงข้ามรุกฝ่ายเพื่อไทยอย่างหนัก อ.พิชิต ประเมินความเสียหายหลังพายุเหมาเข่งลูกนี้ผ่านพ้นไป ว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้สร้างรอยร้าวต่อแนวร่วมเดียวกันจนยากจะสมานแผลให้สนิท ที่หนักกว่านั้นคือนิรโทษเหมาเข่งได้ฝังรากแนวคิดต้านโกงให้กับกลุ่มนิวเจเนอเรชันที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมหาศาล

“ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทำให้มีคนเสื้อแดงที่โกรธ ผิดหวังและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อไทยในช่วงนั้นเยอะมากกว่าที่คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยประเมินไว้ เขาคาดว่าเสื้อแดงที่ต่อต้านเหมาเข่งเป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่รักทักษิณ ทักษิณเพื่อไทยต้องการอะไร จะใช้วิธีการอะไรก็ได้ขอให้ทักษิณได้กลับบ้านเขาเอาหมด แต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้พิสูจน์ว่าไม่ใช่ ที่บอกว่ามีเพียงเสื้อแดงปัญญาชนในกทม.ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ไม่จริง เพราะคนที่คัดค้านเยอะมากทั้งในชนบทและกรุงเทพฯ โดยเฉพาะต่างจังหวัดในภาคเหนือ อีสานที่ไม่เอาด้วยเยอะมาก แต่อาจจะไม่ได้เสียงดังเท่ากับเสื้อแดงอย่างที่ราชประสงค์

…ถือว่ายังดีที่พรรคเพื่อไทยกลับตัว เเละเหตุการณ์ยกระดับเป็นโค่นล้มรัฐบาล ทำให้คนเสื้อแดงที่ผิดหวังส่วนใหญ่ที่ยังโกรธเพื่อไทยอยู่กลับมา เพราะเขามองภาพรวมว่าปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มไม่ได้ เขาก็กลับมาโดยที่คิดว่าให้ผ่านปัญหาเฉพาะหน้านี้ไปก่อนแล้วเรื่องที่ผ่านมาค่อยมาสะสาง ค่อยมาต่อว่าต่อขานว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังมีส่วนน้อยที่ไม่กลับ เป็นพวกปัญญาชนในเมืองซึ่งยังโกรธมาก เขาไม่ย้ายข้างไปอยู่ฝั่งโน้น แต่จะยืนเฉย ไม่สนับสนุนเพื่อไทย ส่วนนี้ผมคิดว่าเพื่อไทยยังสามารถดึงกลับมาได้ โดยการแสดงความเสียใจ แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขออภัย ขอโทษ เชื่อว่าคนกลุ่มนี้ยินดีที่จะกลับมา”

ส่วนทางเลือกการ “ตั้งพรรคใหม่” ของคนเสื้อแดงนั้น พิชิตบอกมาเเบบไม่อ้อมค้อมว่า “ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะระบบทางการเมืองแบบนี้ คุณต้องเป็นพรรคใหญ่ แล้วก็ต้องใช้ทุนมาก ที่สำคัญต้องมีหัวหน้าพรรคที่สามารถดึงความสนใจและดึงความนิยมของคนได้ ซึ่ง ณ วันนี้ พรรคทางเลือกที่สามยังไม่มี ตั้งขึ้นมาก็เป็นพรรคเล็กถ้าไม่เลวร้ายเหมือนพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็อาจจะเป็นพรรคเล็กที่ได้ สส.หนึ่งหรือสองคน

…แต่ผมคิดว่าจะเป็นปัญหาและเป็นผลเสียหากตั้งพรรคทางเลือกที่สาม เพราะเสื้อแดงจะแตกแยกกันเอง เสื้อแดงจำนวนน้อยอาจจะไปตามทางเลือกที่สามแล้วจะไม่กลับมา แต่เสื้อแดงส่วนใหญ่จะยังเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่ เพราะมีคุณทักษิณ มีคุณยิ่งลักษณ์เป็นไอดอล ถึงจะไม่สมบูรณ์บ้าง อาจจะไม่พอใจคุณยิ่งลักษณ์ คุณทักษิณในหลายเรื่อง แต่ 2 คนนี้ยังเป็นไอดอล ยังเป็นผู้นำของเขา และต้องยอมรับว่าคนเสื้อแดงยังต้องอาศัยเครือข่ายพรรคและ สส.พรรคในพื้นที่ทั่วประเทศ ใช้ทั้งทรัพยากร และเงินทุนในการเคลื่อนมวลชนไม่ว่าจะเคลื่อนมวลชนในระบบพรรคหรือเคลื่อนมวลชนตามท้องถนนก็ดี มันต้องใช้ทุนเยอะทั้งสองฝั่ง

…เพราะฉะนั้นผมไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรค ผมคิดว่าบทเรียนที่ฝั่งคนเสื้อแดงต้องเรียนรู้ก็คือว่า คนเสื้อแดงเองก็ขาดพรรคเพื่อไทยไม่ได้ และที่สำคัญพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรก็ขาดคนเสือแดงไม่ได้ นี่คือบทเรียนใหญ่ที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเรียนรู้ และจะต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยกัน”

ในสถานการณ์ที่เพลี้ยงพล้ำฝ่ายตรงข้ามนั้น พิชิต ประเมินย้ำว่าหากมีการเลือกตั้งวันนี้ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยในเมือง ทั้งกทม.และหัวเมืองใหญ่จะหายไปเยอะมาก คะแนนของพรรคเพื่อไทยอาจจะยังคงมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงครึ่งเหมือนการเลือกตั้งปี 2554 แน่นอน

“นอกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จะหายไปแล้ว แต่อีกสิ่งที่เสียหายหนักขึ้นคือ ความรู้สึกของคนเกลียดคุณทักษิณ มองคุณทักษิณว่าโคตรโกงที่มันเสื่อมหายลงไปเยอะในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมา แต่การดันนิรโทษกรรมเหมาเข่งมันทำให้อารมณ์ความรู้สึกนี้กลับมาอีกครั้งหนึ่งและรุนแรงยิ่งกว่าปี 49 และไม่ใช่คนหน้าเดิมเมื่อปี 49 ที่ออกมาตะโกนโคตรโกง แต่มีคนกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทักษิณ ตระกูลชินวัตรหรือพรรคเพื่อไทยก็ดีต้องเรียนรู้ว่าครั้งนี้มันขาดทุนอย่างหนัก ภาพพจน์ ความเชื่อถือของคนเรื่องโคตรโกงมันกลับมาและฝังรากลึก ซึ่งแก้ได้ยาก อีกหลายปีมากกว่าจะแก้ตรงนี้ได้

…กลายเป็นว่าฝั่งเพื่อไทย คนเสื้อแดงยังเท่าเดิม ไม่เพิ่ม แถมยังเสียส่วนหนึ่งออกไปอีกที่ยังไม่กลับมา ในขณะที่อีกฝั่งได้แนวร่วมเพิ่มเป็นพวกเกลียดทักษิณรุ่นใหม่ เกลียดโคตรโกงรุ่นใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาด้วยกระแสเป่านกหวีด กลุ่มนี้เป็นคนซึ่งเมื่อปี 49 50 ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง มาวันนี้อายุเลย 18 ไป 19 20 หรือช่วง 20 กว่าแล้ว ฐานคะแนนเสียงกลุ่มนี้เป็นแสนคนใน กทม.และตามหัวเมืองต่างจังหวัดจะไปลงให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือพรรคอื่นทั้งหมด

…กลุ่มคนรุ่นใหม่ คนชั้นกลาง ที่เล่นโซเชียลเน็ตเวริกและมีสิทธิเลือกตั้ง คุณจะไม่ได้คะแนนเสียงพวกนี้ เพราะคุณไม่ได้ทำงานกับคนพวกนี้เลย แต่พรรค ปชป.ทำงานกับคนพวกนี้อย่างสม่ำเสมอ หาคะแนนเสียงกับคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ และเจาะฐานกลุ่มนี้มาตลอดเพราะฉะนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คุณเสียฐานคนชั้นกลางในเมืองเพิ่มมากขึ้นไปอีก”

เหตุใดคนชั้นกลางอ่อนไหวต่อการทุจริต แต่เมินเฉยรัฐประหารหรือการใช้อำนาจของตุลาการ ? พิชิตเเสดงทรรศนะว่า “มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนชนชั้นในเมือง คนกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองที่โตได้เพราะอยู่บนความยากจนและการเอารัดเอาเปรียบคนในต่างจังหวัด คุณได้ทั้งสินค้าเกษตร อาหาร แรงงานราคาถูก ความเหลื่อมล้ำมันแตกต่างกัน คุณมีสถานะสูงกว่า มีอภิสิทธิ์สูงกว่า ได้ทรัพยากร ได้งบประมาณ การศึกษาที่มากกว่า เพราะอยู่ในเมือง ทีนี้พอรัฐบาลชุดนี้ที่ผ่านมาได้ผ่องถ่ายทรัพยากรไปสู่คนในชนบทส่วนอื่น พวกนี้จึงไม่พอใจ มันเป็นเรื่องอคติของคนเมืองและคนชนบท คนที่มีการศึกษาและคนที่ไม่มีการศึกษา

…เหล่านี้เป็นอคติซึ่งคนพวกนี้ก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองมี ถ้าถามคนกลุ่มนี้ว่าเขามองคนชนบทอย่างไร มองคนที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างไร คนพวกนี้ก็จะมองอย่างดูถูก มองเป็นชาวบ้านไม่มีการศึกษา ขายเสียง ไม่รู้เรื่อง เห็นเเก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงิน มองสังคมเมืองว่าเป็นสังคมเจริญ มีอารยะ มีการศึกษา แล้วมองสังคมชนบทล้าหลังไม่มีการศึกษา เป็นคนที่ไม่มีงานทำแล้วมาทำงานในเมืองเป็นคนงานก่อสร้าง เป็นพนักงานเสิร์ฟ เป็นพนักงานปั๊มน้ำมัน เป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นคนขับแท็กซี่ นี่ถ้าไม่ใช่การดูถูกทางชนชั้นแล้วจะเรียกว่าอะไร

…แล้วคนรุ่นใหม่ ชนชั้นกลางในเมืองก็เติบโตขึ้นมาในกระบวนการวิธีคิดแบบนี้ พูดคุยกันทุกวัน อยู่ในชีวิตประจำวัน หายใจเข้าออก กินข้าวทุกวันด้วยวิธีคิดแบบนี้ก็สืบทอดขึ้นมา เป็นช่องว่างทางชนชั้นที่มันเกิดขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจหลายสิบปีมานี้คนชั้นกลางในเมือง และหัวเมืองได้ประโยชน์มากที่สุด และทำให้เขามีผลประโยชน์ผูกติดกับการเมืองในระบบอภิสิทธ์ชน ประกอบกับการโหมโฆษณาในระยะ 10-20 ปีมา เรื่องนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลว ซื้อสิทธิขายเสียงในต่างจังหวัด คนต่างจังหวัดส่งคนเข้ามาเพื่อมาฉกฉวยงบประมาณในเมือง เหล่านี้ล้วนทำให้ความคิดที่ว่าหยั่งรากลึกลงไปอีก” 

สึนามิหลังคำวินิจฉัย

26 พฤศจิกายน 2556 เวลา 12:08 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1heWRXp

สึนามิหลังคำวินิจฉัย

โดย…สมผล ตระกูลรุ่ง

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก คงจะมีหลายแง่มุม ทั้งชื่นชม เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย แต่ที่ร้ายแรงที่สุดเห็นจะเป็นการประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญของพวกทาสเงินตราขี้ข้านักโทษ ถึงขนาดตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันเลย

แต่ถ้าลองมองลอดไปใต้โต๊ะ จะเห็นขาสั่นพั่บๆ โดยเฉพาะพวกหัวโจก มองเห็นอนาคตที่จะต้องเป็นนักโทษเหมือนนายเงินของตัวเอง ที่ต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไปชั่วชีวิต เงินก็มีไม่เท่าเจ้านายนักโทษ

ในแวดวงนักกฎหมายที่ผมรู้จัก รวมทั้งแดงพวกเรื่อๆ ก็ยังชื่นชมในฐานะนักนิติศาสตร์ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ดีมาก ถือเป็นระดับค้อนทองเลย บางท่านบอกว่า ฟังท่านตุลาการอ่านคำวินิจฉัยแล้วนึกถึงตอนยังเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนนั่งฟังเลกเชอร์จากอาจารย์สอนกฎหมายมหาชน

นักกฎหมายอีกท่านหนึ่งบอกว่า เป็นสิ่งที่ดีที่ตุลาการท่านนำหลักเกณฑ์ของประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมมาอยู่ในคำวินิจฉัย

เมื่อตั้งใจฟังคำวินิจฉัยที่อธิบายถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง สรุปหลักของนิติธรรมอย่างชัดเจน ประกอบกับเห็นภาพเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นจริงในขณะนี้ ปัญญาก็เกิด ซาบซึ้งในหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่แท้จริง เห็นภาพว่า ที่รัฐสภาและรัฐบาลใช้พวกมากลากไปอย่างที่ทำกันอยู่ มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะไม่ฟังเสียงข้างน้อย ไม่ใช่หลักนิติธรรมเพราะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์คนคนเดียว ทางพระท่านเรียกปัญญาที่เกิดจากการฟังอย่างนี้ว่า สุตมยปัญญา

การออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรนูญ เป็นเหมือนจำอวดที่แสดงให้กับพวกของตัวเองดูเพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลของนักโทษยังมีฤทธิ์มีเดชอยู่ ไม่มีใครทำอะไรได้

แต่การออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอีกครั้ง เพราะนอกจากจะไม่มีผลใดๆ แล้ว การออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล เท่ากับไม่ยอมรับกติกาบ้านเมือง เหมือนกับนักโทษหนีคุกที่ยังประกาศไม่ยอมรับการตัดสินของศาล โดยหวังจะใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่กลับมาได้อย่างเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ แต่แม้ว่านักโทษหนีคุกจะมีอำนาจล้นทะลักเมืองไทย รัฐบาลและรัฐสภาอยู่ภายใต้อุ้งมือ ก็ยังทำไม่ได้

พวกเจ้าเป็นใครที่หาญกล้ามาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล และผลที่อาจคาดคิดไม่ถึงคือ การประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลอย่างนี้ น่าจะเป็นการเรียกแขกเหมือน พ.ร.บ.นิรโทษสุดซอยฉบับตีสี่ ผู้คนน่าจะมารวมตัวกันมาก เพราะคนทั่วไปทำผิดก็ต้องรับโทษตามคำพิพากษาของศาล แล้วทำไมพวกขี้ข้านักโทษทำผิดแล้วจึงไม่ต้องรับโทษ

หากดูข้อเท็จจริงที่สรุปไว้ในคำวินิจฉัย จะมีความชัดเจน เห็นถึงความอหังการของเหล่าบรรดาสมุนนักโทษ พวกมันนึกอยากจะทำอะไรมันก็ทำ ไม่คำนึงว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่สนใจว่าใครจะรู้ จะเห็น การทำผิดกฎหมายในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ เอาแค่เพียง 2 ประเด็นที่หลักฐานชัดเจน คือ กรณีการเปลี่ยนเนื้อหาของร่างโดยพลการ โดยไม่ทำตามกฎระเบียบจนถูกกล่าวหาว่าเป็นการปลอมเอกสาร

อีกเรื่องหนึ่งคือการเอาบัตรของคนอื่นมาออกเสียงลงคะแนนแทน ที่เรียกว่า เสียบบัตรแทนกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายกว่าการแก้เอกสาร และไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในรัฐสภา สถานที่ตรากฎหมาย อันเป็นอำนาจอธิปไตยหนึ่งในสามของระบอบประชาธิปไตย

แต่คนพวกนี้กลับไม่มีสำนึก กล้าทำผิดกฎหมายในสถานที่ที่ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถเห็นได้ ทำผิดในสถานที่ที่ตัวเองเรียกอย่างเลิศหรูว่า สภาอันทรงเกียรติ

การออกเสียงลงคะแนนด้วยการเสียบบัตรแทนกัน เชื่อว่าทุกคนยอมรับว่าเป็นการกระทำผิด ในทางกฎหมายเราเรียกว่า เป็นการทุจริต แต่ถ้าภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ขี้โกง

คนที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในระดับสูงเช่นนี้ กล้าขี้โกงลงคะแนนเสียง แล้วจะสอนเด็กให้ซื่อสัตย์ในการสอบได้อย่างไร

สมาชิกสภามีสิทธิลงคะแนนเสียงได้หนึ่งคนต่อหนึ่งเสียง คนที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม ย่อมไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน การที่สมาชิกคนหนึ่ง นำบัตรของสมาชิกคนอื่นมาเสียบลงคะแนนแทน จึงเป็นการทุจริตหรือขี้โกงคะแนนเสียงนั่นเอง เป็นความผิดทั้งคนทำและเจ้าของบัตรที่ฝากให้เขาทำ คนพวกนี้ต้องถูกลงโทษสถานหนัก

ประเด็นนี้ มีนักวิชาการท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า เมื่อมีการลงคะแนนแทนกัน ก็ให้หักคะแนนที่เสียไปออกจากคะแนนทั้งหมด ซึ่งมติยังคงใช้ได้

ผมก็ไม่คาดคิดว่าจะมีนักวิชาการให้ความเห็นอย่างนี้

การให้หักคะแนนที่เสีย สามารถนำมาใช้ได้เฉพาะกรณีที่ฝ่ายแพ้เป็นคนทุจริตขี้โกง เพราะไม่ควรกระทบถึงฝ่ายชนะที่เขาทำโดยสุจริต แต่ถ้าฝ่ายชนะเป็นคนโกงเสียเอง ต้องถือว่าการลงคะแนนนั้นเสียไปทั้งหมด เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นส่งเสริมให้คนโกงที่จับได้มีหลักฐาน 4-5 เสียง แต่ที่จับไม่ได้ไม่มีหลักฐานจะมีอีกเท่าไร ความจริงแล้วน่าจะต้องจับแพ้ฟาวล์ปรับให้เป็นแพ้เสียเลย

นอกจากคนที่เสียบบัตรแทนกันแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า สส.ฝ่ายค้านที่ตั้งใจถ่ายคลิปเพื่อนำมาเป็นหลักฐานยังยืนยันว่าได้แจ้งประธานที่ทำหน้าที่แล้ว แต่ประธานไม่สนใจและไม่ทำอะไรเลย กรณีอย่างนี้ ประธานย่อมจะมีความผิดด้วย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การเสียบบัตรแทนกันเป็นความผิด ท่านหมดหน้าที่แล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปลงโทษคนที่ทำความผิด มีอำนาจเพียงวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ชอบ ร่างดังกล่าวจึงเสียเปล่า ไม่มีผลบังคับใช้ แต่แรงกระเพื่อมจากคำวินิจฉัยในครั้งนี้รุนแรงดั่งสึนามิ

องค์กรที่เกี่ยวข้องจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องเป็นผู้ดำเนินการเอาคนผิดมาลงโทษต่อไปตามอำนาจหน้าที่

การสอบสวนของ ป.ป.ช.ในกรณีนี้ เกือบจะไม่ต้องหาข้อเท็จจริงใดอีกเลย เพราะคำวินิจฉัยของศาลผูกพันทุกองค์กร ได้สรุปไว้ชัดเจนแล้ว ป.ป.ช.เพียงแต่เรียกให้คนที่เสียบบัตรแทนและ|ผู้ทำหน้าที่ประธานทั้งสองคนมาให้ถ้อยคำ และถ้าเป็นไปได้ ต้องลากคอเจ้าของบัตรที่มอบให้|ผู้อื่นนำมาออกเสียงลงคะแนนแทนให้รับผิดด้วย

เราไม่ควรปล่อยให้ผู้กระทำความผิดที่ร้ายแรงเช่นนี้ ลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ จะต้องลงโทษสถานหนัก อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

ประชาชนกำลังจับตารอดูว่า ป.ป.ช.จะทำงานเพื่อใคร

แรงส่งม็อบศึกซักฟอกขยี้”ปู”สุดซอย

26 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:57 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1evOLG3

แรงส่งม็อบศึกซักฟอกขยี้"ปู"สุดซอย

โดย…ทีมข่าวการเมือง

ยื้อจนหยดสุดท้าย ก่อนที่ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะตัดสินใจบรรจุญัตติ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ของฝ่ายค้าน ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 29 พ.ย.นี้

แน่นอนว่าการ “ดึงเกม” กำหนดวันซักฟอกไว้สัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุม สาเหตุแรกเป็นเพราะต้องการตัดกระแสไม่ให้เป็นพลังหนุนการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว ผลพวงจากการอภิปรายจะปลุกให้มวลชนออกมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ทำให้เพื่อไทยจึงจำเป็นต้องหาทาง “ถอดสลัก” ไม่ให้กระแสรุมเร้ามาประดังในช่วงโค้งอันตราย

อีกเหตุผลหนึ่ง เป็นเพราะต้องการใช้กรอบเวลาปิดสมัยประชุมสภา เป็นเงื่อนไขบีบให้ฝ่ายค้านอภิปรายจำกัดอยู่ในกรอบไม่กี่วันที่เหลือไม่อาจลากยาวใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรถล่มความล้มเหลวในการบริหารงาน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แบบยืดยาวได้

ทั้งนี้ สภาได้กำหนดวันอภิปรายอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้อภิปราย 2 วัน ได้แก่ วันที่ 26-27 พ.ย. รวมเวลาประมาณ 30 ชั่วโมงก่อนจะไปลงมติกันในวันที่ 28 พ.ย. ทว่าฝ่ายค้านยังยืนยันในจุดยืน 3 วัน ทำให้อาจเป็นชนวนให้ถกเถียงกันตั้งแต่ยังไม่เข้าวาระการอภิปราย

ที่สำคัญสำหรับศึกซักฟอกเที่ยวนี้ซึ่งถือเป็นรอบที่ 3 ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แม้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นศึกซักฟอกครั้งสุดท้ายหรือไม่ แต่จะเป็นศึกที่หนักหนาสาหัสที่สุดอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งนายกฯ

เพราะครั้งแรกในปี 2554 ซึ่งยังอยู่ในช่วง “ฮันนีมูน” ของรัฐบาล สังคมยังพร้อมจะให้โอกาสนายกฯ มือใหม่ ถัดมาปี 2555 แม้จะบอบช้ำไม่น้อย โดยเฉพาะปมทุจริตในโครงการป้องกันบรรเทามหาอุทกภัย มาจนถึงแผลใหญ่จากโครงการรับจำนำข้าว แต่นายกฯ ยึดหลักลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

ทว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ อยู่ในจังหวะปะเหมาะ “ขาลง” ของรัฐบาล ซึ่งสะบักสะบอมจากปมปัญหารุมเร้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้างผิดเหมาเข่งไปจนสุดซอย จนเกิดกระแสมวลมหาประชาชนออกมาต่อต้านจนต้องยอมกลับลำแบบสุดตัว

ล่าสุด คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ สว. ขัดมาตรา 68 และระบุความผิดของขั้นตอนกระบวนการแก้ไขหลายจุดที่ทั้งฝ่ายค้านและ สว.กำลังเดินหน้าไล่บี้เอาผิดเรียงตัว

ปมปัญหาต่างๆ ฉุดให้ “คะแนนนิยม”ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ดำดิ่งลงแบบฮวบฮาบ ยืนยันด้วยผลสำรวจจาก “กรุงเทพโพลล์”เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า คะแนนนิยมนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตกมาอยู่ที่ 26.7% จากเดิมที่ 40.4% สอดรับกับคะแนนนิยมในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ตกมาอยู่ที่ 28.2% จากเดิม 41%

ศึกซักฟอกเที่ยวนี้จึงเป็นดาบสำคัญของประชาธิปัตย์ที่จะต้องเร่งปิดเกมในยกนี้ สอดรับการเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภาที่ออกมาชุมนุมใหญ่ถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ เดินแผนดาวกระจาย 12 เส้นทางทั่วกรุงเทพฯ

ยุทธศาสตร์การอภิปรายเที่ยวนี้ ประชาธิปัตย์เจาะจงพุ่งเป้าใหญ่ไปที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แบบไม่มีตัวประกอบมาเบี่ยงเบนความสนใจ อาจจะมีเพียงเป้ารองก็แค่การพ่วง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ซึ่งแว่วว่าฝ่ายค้านมีหลักฐานเด็ดมัดแน่น

แน่นอนว่าเที่ยวนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่อาจลอยตัวหนีความรับผิดชอบได้อีกต่อไป ฝ่ายค้านจึงจัดเตรียม “ขุนพล”ไล่ถล่มความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ไปจนถึงประเด็นทุจริต ทำผิดกฎหมายแบบจับให้มั่นคั้นให้ตาย

เพราะอย่าลืมว่าจุดอ่อนที่สำคัญของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ คือบทบาทการชี้แจงในสภา แม้จะส่งองครักษ์พิทักษ์ หรือรองนายกฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงแทน แต่ก็ไม่อาจช่วยกู้|ภาพลักษณ์ได้ เมื่อเวลาความเสียหายที่เกิดขึ้น|มีหลักฐานมัดตัวเองชัดเจน

เริ่มตั้งแต่ภาพรวมเศรษฐกิจที่จะมาชำแหละปมการบริหารงานที่ผิดพลาด ไล่เรียงตั้งแต่ปัญหา “ปากท้อง” ที่จะยืนยันด้วยตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะหนี้สาธารณะหรือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นจากนโยบายที่ผิดพลาด โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่จะหยิบผลความ|ล้มเหลวมาตอกย้ำกันอีกรอบ ซึ่งวันนี้ข้อมูลหลายส่วนเริ่มสะท้อนให้เห็นความเสียหายชัดเจน

ถัดมาที่แผลเก่าอย่าง “โครงการรับจำนำข้าว” ซึ่งเวลานี้เงื่อนงำปัญหาทุจริตหลายประเด็นที่เคยผ่านการอภิปรายรอบที่แล้วจะถูกส่งต่อไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่รอบนี้ประชาธิปัตย์ยังกัดไม่ปล่อย

เมื่อมีข้อมูลความเสียหายที่ชัดเจนขึ้นจากเดิมไม่ว่าจะเป็นตัวเลขสรุปความล้มเหลวของโครงการในแต่ละด้าน โดยเฉพาะงบประมาณแผ่นดินที่ถูกละลายไปปีละหลายแสนล้าน รวมทั้งกระทบต่อไปถึงการดำเนินการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

แถมยังมีเงื่อนงำการระบายข้าวที่ไม่โปร่งใส การปกปิดข้อมูลการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่เป็นปัญหา รวมทั้งข้าวเก่าที่เน่าเริ่มส่งกลิ่นในหลายพื้นที่ ที่สำคัญ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่เกาะติดเรื่องนี้ยืนยันมีข้อมูลเด็ดไม่แพ้ครั้งก่อนๆ

ถัดมาที่ประเด็นความล้มเหลวในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แม้จะมีกิจกรรมรณรงค์ใหญ่โตหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

ประชาธิปัตย์จะได้ใช้เวทีนี้แสดงให้เห็นถึงเงื่อนงำการทุจริตในหลายส่วน โดยเฉพาะในโครงการใหญ่ของๆ รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎระเบียบทั่วไป แต่ใช้วิธีการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ รวมไปถึงเทคนิคทุจริตรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนแยบยล

แม้ประเด็นนี้ในสำนวนยื่นถอดถอนจะมีชื่อของ ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ ซึ่งคาดกันว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำ แต่การอภิปรายยังต้องการพุ่งเป้าไปที่นายกฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายรัฐบาลที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในภาพรวม

มาจนถึงประเด็นใหญ่อย่างการแทรกแซงสถาบันนิติบัญญัติ ตุลาการ องค์กรอิสระ ผ่านความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มา สว.ที่มีใบเสร็จเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการแก้ไขในประเด็นหนังสือสัญญาที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 ที่เชื่อมโยงไปถึงประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนของคนใกล้ชิดนายกฯ

ถัดมาที่เป้ารองอย่าง “จารุพงศ์” นอกจากจะประเด็นที่เล็งกันว่าน่าจะมีการอภิปรายเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม เลือกปฏิบัติแล้ว เวลานี้เชื่อว่า “หมัดเด็ด” ที่ฝ่ายค้านมีในมือ เชื่อมโยงไปถึงประเด็นทุจริตและผิดกฎหมายชัดเจน

งานนี้จึงต้องรอดูว่า “ศึกซักฟอก” ที่ว่ากันว่าจะเป็น “ดาบสำคัญ” ในการเคลื่อนไหวรอบนี้ จะเข้าเป้าสามารถสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมมากน้อยแค่ไหน เพราะสุดท้ายเสียงข้างมากในสภาคงต้องช่วยกันยื้อพยุงให้นายกฯ และ มท.1 อยู่ในเก้าอี้ต่อไป

เบื้องหลังลมหวนโบกพัดขนนก”หลวงปู่”ตกเวที

30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10:53 น. …. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1eI2nOI

เบื้องหลังลมหวนโบกพัดขนนก"หลวงปู่"ตกเวที

เปิดเบื้องหลังกับการหายไปจากเวทีโค่นระบอบทักษิณของ “พุทธะอิสระ” จากที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศนำทัพแทนสุเทพ

หลัง “พุทธะอิสระ” วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ประกาศนำทัพแทน สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อค่ำวัน 28 พ.ย.โดยควงไมค์ยาวราวกับเทศน์มหาชาติสักกัณฑ์ โดยเรียกญาติโยมเต็มปากเต็มคำว่า พ่อแม่พี่น้อง แถมตวัดปากกรรไกรใส่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนิดเลือดสาด บรรดาผู้ชุมนุมโค่นล้มระบอบทักษิณถึงกับอ้าปากหวอ เพราะแต่ละถ้อยคำที่ขุดออกมานั้นแม่ค้าตลาดไหนก็ต้องชนิดซ้าย แถมระหว่างสุเทพ ปราศรัยหลวงปู่อายุน้อยก็ยังมีแจมเป็นช่วงๆอีกต่างหาก

พอสุเทพลงจากเวที ทั้งโทรศัพท์ ทั้งคนรอบข้างก็ “เม้นท์” กันอึ้งคนึง

เช่นเดียวกันตามไลน์ ตามเฟซบุ๊ก ก็กระหึ่มว่า ระวังจะพังเพราะพระ

คนไม่ยอมรับรัฐบาลที่ไม่สนหลักนิติธรรม แถมซ้ำปฏิเสธคำสั่งศาลไม่ได้ฉันใด คนพุทธทั้งหลายก็รับไม่ได้เหมือนกันที่เจ้ากูจะขุดเอาคำหยาบมาจากเจ็ดป่าช้าเพื่อด่าใครอย่างนั้นสักคน

ต่อให้เป็นคนที่เราไม่ชอบก็เถอะ เพราะพระในสายตาชาวพุทธแบบไทยอย่างน้อยก็ต้องสำรวม ถึงจะลุกขึ้นถลกจีวรพาญาติโยมออกทำศึกปกป้องบ้านเมืองราวกับพระครูธรรมชาติ ครั้งนำจิตวิญญาณชาวบางระจัน ถ้าพระครูธรรมโชติปลุกคนแบบนี้ชาวบางระจันก็คงรวมกันไม่ติด

มิตรสหายจึงระงมเพราะรับไม่ไหว

นี่เป็นเหตุให้ พุทธะอิสระหายไปจากจอเมื่อวานนี้

การประกาศตั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) โดยมีแนวร่วมยืนเป็นแถวราวกับผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้สุเทพโดยไม่มี พุทธะอิสระ อยู่บนเวทีด้วยเมื่อคืนวานนี้จึงทำให้แลดูเป็นเอกภาพ สวยงาม และปรอดโปร่งโล่งใจของคนจำนวนไม่น้อยที่ลุ้นว่า เจ้ากูจะมาอีกหรือเปล่าหว่า?

เช้าวันที่ 29 พ.ย. พุทธะอิสระยังมาที่เวทีศูนย์ราชการอยู่แต่ได้รับการขอร้องด้วยมธุรสวาจาจากแกนนำผู้ชุมนุมว่า แม้พระคุณเจ้าจะยินดีอยู่แถวหน้า ไม่หวั่นแม้ถูกจับแต่เราไม่อยากให้ท่านโดนข้อหากบฎ เลยขอนิมนต์พระคุณท่านไว้เถิด

พุทธะอิสระ รับนิมนต์ เรื่องจึงจบ จอจึงเรียบร้อย

จำเดิมวันแรก พุทธะอิสระ นำปัจจัยมาสนับสนุนผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง แล้วลูกศิษย์ขอให้พระอาจารย์ได้ขึ้นเทศน์ พอขึ้นแล้วท่านติดลม กว่าจะเอาลงได้ก็แทบปาดเหงื่อเพราะพุทธะอิสระปราศรัยมันยกร่อง พอจะประกาศยุทธศาสตร์กลายเป็นผู้กำหนดยุทธวิธี ผู้ควบคุมการถ่ายทอดจากเวทีราชดำเนินเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งตัด ฉับ ในวินาทีแทบจะสุดท้าย ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ดีว่าทันเวลาหาไม่ถ้อยคำหลังจากนั้นจะกลายเป็นยุทธศาสตร์หลักปักลงก่อนที่ สุเทพจะเอื้อนเอ่ย

ดีที่พุทธะอิสระโบกพัดขนนก ทำทีเป็นกุนซือใหญ่ราวขงเบ้งได้เพียงวันเดียวก็ตกจอ หาไม่แล้วคงเป็นฝ่ายนปช. หรือไม่ก็รัฐบาลที่ต้องเดือดร้อนไปนิมนต์ หลวงพี่น้ำฝน คู่ปรับใหญ่ของพุทธะอิสระมาจากนครปฐมเพื่อมาเป็นกองหน้าไว้รับมือกับเจ้ากูรูปนี้แน่ๆเลย

โหรดังฟันธงฤกษ์ดีมหาสิทธิโชค10.45น.1ธค.

30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 07:26 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1eHCKNT

โหรดังฟันธงฤกษ์ดีมหาสิทธิโชค10.45น.1ธค.

2 โหรดังฟันธงฤกษ์ดีมหาสิทธิโชค 10.45 น. วันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค. นี้ “สุเทพ” เผด็จศึกรัฐบาล

หลังจากค่ำวันที่ 29 พ.ย. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ปราศรัยต่อผู้สนับสนุนโค่นล้มระบอบทักษิณ ประกาศชื่อของแนวร่วมปฏิบัติการในนาม คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  (กปปส.) โดยจะเริ่มปฏิบัติการนำประชาชนเข้ายึดส่วนราชการต่างๆทั้ง ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์ราชการ กระทรวงต่างๆ และศาลากลางทั่วประเทศ โดยขอให้ประชาชนได้ออกมาร่วมปฏิบัติการตั้งแต่บัดนี้ ไปเพื่อประกาศชัยชนะในวันที่ 1 ธ.ค. และนัดหมายประชาชนให้ไปยังจุดต่างๆ ตั้งแต่เวลา 10.45 น.

โพสต์ทูเดย์ ได้สอบถามไปยัง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ซึ่งกล่าวถึงฤกษ์ 10.45 น. วันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค.ว่า ฤกษ์บน ดาวจันทร์เสวยเพชรฆาตฤกษ์ ฤกษ์ล่างเป็นทาษี ส่วนดิถีเป็นมหาสิทธิโชค โดยดาวจันทร์จะเสวยฤกษ์เพชรฆาตฤกษ์ไปจนกระทั่งถึงเวลา 06.19 น.ของวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค.จึงจะเปลี่ยนเป็นราชาฤกษ์ ฤกษ์ล่างเป็นทาษี และดิถียังเป็นมหาสิทธิโชค ส่วนวันอาทิตย์ ปีนี้วันอาทิตย์ตามกาลโยค เป็นอธิบดี หมายถึง ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าที่ตำแหน่ง วันที่เป็นใหญ่ มีอำนาจในการควบคุมดูแล

อาจารย์ภิญโญอธิบายว่า เพชรฆาตฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่แรง ตามความหมายของฤกษ์ หมายถึง ฤกษ์ของผู้ฆ่า มีพระราหูเป็นผู้รักษาฤกษ์ เหมาะสำหรับการฟันฝ่าอันตรายและอุปสรรคต่างๆ เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับผู้อาสางานใหญ่ ทำกิจการสำคัญของบ้านเมือง ปราบปรามอันธพาลหรือข้าศึกศัตรู เป็นฤกษ์ที่จะใช้สำหรับการทำกิจกรรมที่ต้องการความเด็ดขาดในทุกกรณี เช่น การยาตราทัพ การเจิมอาวุธยุทโธปกรณ์

“การดูฤกษ์หรือการใช้ฤกษ์ต้องดูประกอบกัน ทั้งฤกษ์ล่าง ฤกษ์บนและดิถี โดยฤกษ์บนใช้ดูลักษณะของงานหรือกิจการที่จะทำ ฤกษ์ล่างกับดิถี ใช้ดูว่า จะทำสำเร็จหรือไม่”

ภิญโญ พงศ์เจริญ

สำหรับฤกษ์ล่างเป็นทาษี  หมายถึงบุคคลอันเป็นฝ่ายหญิง คนงานหรือประชาชนฝ่ายหญิง ฤกษ์ล่างเป็นทาษี จึงหมายถึงผู้หญิงหรือประชาชนฝ่ายหญิง ที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ทำการสำเร็จ ส่วนดิถีเป็นมหาสิทธิโชค หมายถึง ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ความสำเร็จอย่างเต็มที่ ความสำเร็จที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้อาจต้องใช้เวลา เนื่องจากตามเกณฑ์ของกาลโยค ดิถีนี้เหมาะสำหรับงานที่เป็นโครงการระยะยาว

ด้าน ธนกร สินเกษม นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ พูดถึงฤกษ์วันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค.. 2546 เวลา 10.45 น. ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเส็ง ว่าเป็นวันที่ดีมากเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ในฤกษ์ล่างนั้นถือเป็นวันมหาสิทธิโชค เป็นวันแห่งความสำเร็จสมปรารถนา และในทางกาลโยคก็เป็นวันอธิบดีสามารถดำเนินการใหญ่ทุกอย่างประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

“ขณะที่ในฤกษ์ บนวันเดียวกัน ตั้งแต่เวลา 07.07-24.00 น. ถือเป็นวันเวลาที่พระจันทร์เสวยเพชฌฆาตฤกษ์ ดังนั้นเวลา 10.45 น. ก็นับอยู่ในเพชฌฆาตฤกษ์ด้วย ซึ่งเพชฌฆาตฤกษ์นี้เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความเด็ดขาด ในการปราบปรามศัตรู และมีผลดีกับการทำพิธีกรรมทางด้านไสยศาสตร์ด้วย”

ธนกร สินเกษม

“พุทธะอิสระ”กับรหัสนัยทางการเมือง

28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 22:32 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1eDewEG

"พุทธะอิสระ"กับรหัสนัยทางการเมือง

“พุทธะอิสระ”โบกพัดขนนก-“กรณ์” ตกเวที สนธิคืนชีพจับมือสุเทพล้างทักษิณ

สุเทพ เทือกสุบรรณ ขยี้ กรณ์ จาติกวณิชย์ ในเวทีชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ศูนย์ราชการเละเป็นวุ้น ฐานชักใบให้เรือเสีย ไปเที่ยวพูดว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางเคลื่อนไหว แต่สุเทพอวยกันกับพระพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อยนั้น น่าสนใจมาก แสดงให้เห็นการวางระยะระหว่างทีม 9 คน ของ “สุเทพ” กับ “พรรคประชาธิปัตย์”

ในทางประวัติศาสตร์การเมืองนั้น การที่ พระพุทธะอิสระ ไปปรากฏกายอยู่บนเวทีต่อต้านระบอบทักษิณหลายวันมาแล้วนั้น และคืนวันที่ 28 พ.ย.ถือพัดขนนก ราวกับขงเบ้งบัญชาการออกศึก มีรหัสนัยทางการเมืองอยู่มากแต่ไม่ค่อยมีคนเอ่ยถึง

พระพุทธอิสระ คือ อาจารย์รูปหนึ่งของ สนธิ ลิ้มทองกุล

ตอนยึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อหลายปีก่อน พระพุทธอิสระก็เปิดตัวชัดๆแต่อยู่ได้พักใหญ่ก็ต้องออกจากทำเนียบฯโดยบอกว่า โดนของ ของที่นั่นแรง โดนบีบจนแขนเขียว

ทำไม พระพุทธะอิสระ จึงเปิดตัวต่อหน้ามวลมหาประชาชนว่า เป็นมาสเตอร์มายด์ในการยึดศูนย์ราชการ ทำไมประกาศจองจะเป็นผู้นำต่อสุเทพ ถ้าสุเทพถูกจับ ทำไมประกาศจะเดินนำทัพโค่นระบอบทักษิณในอีกวันสองวันข้างหน้านี้

สนธิ ขออนุญาตศาลขึ้นเวทีปราศรัยแต่ศาลไม่อนุญาตแต่คงไม่เป็นไรเพราะมีอาจารย์มาแทนแล้ว

ทำไมข้อเสนอหลายอย่างของสุเทพจึงละม้ายคล้ายคลึงกับกลุ่มสนธิเคยเปรยๆไว้ก่อนหน้านี้

ถ้าอ่านจากสัญลักษณ์เหล่านี้แล้ว คงมีคำตอบได้ไม่ยาก

คำปราศรัยชุดนี้ทำให้เห็นถึงตำแหน่งทางการเมืองใหม่ ระหว่าง กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณนำโดยสุเทพ กลุ่มต้านทักษิณอื่นซึ่งจำแลงร่างมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ติดหมายศาลอยู่ และพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเพิ่งแถลงไปตอนบ่ายในวันเดียวกัน

ถ้ามีอะไรผิดพลาดพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เสียหายมากนัก เพราะ “กรณ์” พลีชีพให้ไปแล้ว

ข้าง “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยก็คงชัดเจนขึ้นว่า จะต้องรับมือกับใคร อย่างไร

ที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งคือ ข่าวกรองที่ได้รับมาก่อนหน้านั้น โยนลงถังขยะได้เลย

จับพิรุธงบโฆษณา”สร้างอนาคตไทย2020″

28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 21:04 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1eD0nY7

จับพิรุธงบโฆษณา"สร้างอนาคตไทย2020"

โดย….ทีมข่าวการเมือง

หมายเหตุ : การอภิปรายไม่ไว้วางใจในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรช่วงกลางดึกเมื่อวันที่ 27 พ.ย. นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงการอนุมัติงบประมาณจำนวน 240 ล้านบาทในการจัดนิทรรศการและเสวนาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศภายใต้ ชื่องาน “สร้างอนาคตไทย 2020” ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะอภิปรายในเวลาต่อมา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

จุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

งานโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ โครงการสร้างอนาคตไทย 2020 มีการจัดจ้างในช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมาปรากฎว่ามีการใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 242/2556 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย นายกฯแต่งตั้งให้สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานดูแลโครงการนี้ และลงนามเองเมื่อวันที่3 ก.ย.2556 นายกฯจะมาบอกไม่รู้เรื่องไม่ได้ โครงการดังกล่าวกำหนดให้มีการจัดนิทรรศการใน 12 จังหวัด ทั้งนี้มีความผิดปกติ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.เรื่องเงิน 2.ผิดกฎหมายป.ป.ช.เพราะไม่ยอมประกาศราคากลางในเว็บไซต์ให้สาธารณะได้รับรู้ และ 3.มีพฤติกรรมผิดปกติ

เรื่องที่ 1 พบว่ามีการใช้เงินมากผิดปกติ เพราะเดิมทีแต่ละปีตั้งแต่มีงบประมาณสำหรับประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2548-2556 จะใช้เงินเพียง 66 ล้านบาท แต่มาถึงครั้งนี้เพียงเดือนเดียวกลับใช้เงินถึง 200 ล้านบาทและแถมยังไปเอางบประมาณจากงบกลางของปี 2556 มาเพิ่มอีก 40 ล้านบาท รวมเป็น 240 ล้านบาท เฉลี่ย 12 จังหวัดจะได้รับงบประมาณจังหวัดละประมาณ 20 ล้านบาท

เงินดังกล่าวเอาไปจัดงานโฆษณาชวนเชื่อในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท เพราะเกรงว่าในอนาคตหากมีการทำประชาพิจารณ์ประชาชนจะไม่เห็นด้วยเหมือนกับโครงการบริหารจัดการน้ำ ประกอบกับการลงทุนครั้งนี้จะก่อหนี้ถึง 50 ปีทำให้ต้องมอมเมาประชาชนให้เชื่อว่าโครงการต่างๆเป็นสิ่งที่ดีและวิเศษ ซึ่งโครงการนี้ตั้งเป้าจะให้ประชาชนมาเข้าชมนิทรรศการให้ได้ถึง 564,374 คน หรือวันละ 26,875 คน

จากการลงพื้นที่ที่จัดนิทรรศการแล้วพบว่าไม่มีทางเป็นได้ที่จะสามารถรองรับคนเข้าชมได้ถึงวันละ 2 หมื่นคนตามที่กล่าวอ้าง อย่างจ.พระนครศรีอยุธยามีเก้าอี้รับรองไม่ถึง 1,000 ตัวโดยโครงการดังกล่าวนายกรัฐมนตรีจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษบริษัทที่เป็นสื่อเชียร์รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งถือว่าเป็นตอบแทนทางการเมืองด้วยวิธีพิเศษ

เรื่องที่ 2 คือ การผิดกฎหมายของป.ป.ช. โดยไม่พบว่านายกฯได้มีการเผยแพร่ราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ในราคาเท่าไหรในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือ กรมบัญชีกลาง ซึ่งถือว่ามีความผิดตามาตรา103/7 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 ทั้งที่โครงการจัดซื้อจัดจ้างอื่นๆกลับมีการนำเอามาเผยแพร่ นอกจากนี้นายกฯจะมีความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และผิดต่อสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากนายกฯได้ประกาศเอาไว้จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการป้องกันการทุจริต

เรื่องที่ 3 คือ พฤติกรรมผิดปกติ เนื่องจากยังไม่ทันที่ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการกู้เงินเพื่อการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท จะมีผลบังคับใช้และไม่รู้ว่าจะได้ประกาศใช้หรือไม่ แต่ปรากฎว่านายกฯได้มีการอนุมัติงบประมาณประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าถึง 240 ล้านบาท อยากถามว่าถ้ากฎหมายนี้ไม่ผ่านนายกฯจะรับผิดชอบอย่างไรกับเงินที่เสียไปแล้ว ซึ่งเงิน 240 ล้านบาทมากพอที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น การสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนที่ยังขาดแคลนในหลายพื้นที่

ผมเห็นด้วยกับการพัฒนาประเทศ แต่การจะพัฒนาดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และกระบวนการตรากฎหมายต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะพบว่าการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2556 ในมาตรา6ได้มีการเสียบบัตรแทนลงคะแนนแทนกันของสส.ในระหว่างการนับองค์ประชุม โดยได้เอาบัตรประจำตัวของสส.หลายคนเก็บไว้ในลิ้นชักที่นั่งในห้องประชุมสภา ซึ่งเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย็ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบแล้วหลังจากกฎหมายผ่านวุฒิสภา

ทั้งหมดผมได้บอกกับนายกฯไปแล้วแต่ขึ้นอยู่กับนายกฯว่าจะเอาจริงเอาจังหรือไม่ในการปราบปรามการทุจริตหรือไม่ แต่ตัวผมตัดสินใจแล้วว่าไม่สามารถไว้วางใจนายกฯได้อีกต่อไป

***********************************

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

การพัฒนาระบบรางเพื่อการขนส่งเป็นนโยบายหนึ่งของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งรัฐบาลจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของประเทศให้ทัดเทียม ดังนั้น รัฐบาลต้องมีการเตรียมการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้เกิดความพร้อมในทุกด้าน

ยืนยันว่าโครงการสร้างอนาคตไทยไม่ใช่การสร้างโฆษณาชวนเชื่อ แต่เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน และรัฐบาลไม่ได้ละเลยในการที่จะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของป.ป.ช.และไม่คิดจะเอื้อให้เกิดการทุจริต

สำหรับการจัดโครงการสร้างอนาคตไทยนั้นได้มีการทำตามระเบียบและเผยแพร่ราคากลางตามที่ป.ป.ช.ให้คำแนะนำ และการปฎิบัติงานในสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็มีขั้นตอนในการพิจารณาตามกฎหมายซึ่งเป็นการจัดซื้อจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยใช้ระเบียบพัสดุ ผู้เสนองานดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อดิฉันเพราะกระบวนการนี้มอบหมายให้อยู่ในการกำกับของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ แล้ว และโครงการนี้ ณ ปัจจุบันยังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่การเบิกจ่ายจะต้องเป็นไปตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด

เสียงสะท้อนจากขรก.ร่วมเป่านกหวีดไล่รัฐ

28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 19:48 น. …. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1hkBYKq

เสียงสะท้อนจากขรก.ร่วมเป่านกหวีดไล่รัฐ

โดย…ปริญญา ชูเลขา

นับเป็นปรากฎการณ์ใหม่ทางการเมืองที่บรรดาข้าราชการตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่กล้าแสดงออกทางการเมืองในการต่อต้านรัฐบาล และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายต่อต้านระบอบทักษิณ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำขบวนไปยึดสถานที่ข้าราชการต่างๆ ได้เห็นการแสดงออกในหลากหลายรูปแบบที่น่าทึ่ง เช่น เปิดประตูให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปยึด ออกมาโบกธงริมหน้าต่าง หรือคล้องริบบิ้นสีธงชาติลงมาร่วมเป่านกหวีด หน้าสถานที่ทำงานของตัวเอง

จึงเกิดคำถามตามมาว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดปรากฎการณ์นี้ ขนาด นางจรวยพร ธรณินทร์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ดูแลระเบียบวินัยข้าราชการ ยังกล่าวออกมาว่านับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลักษณะอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่ตอบยากถึงสถานการณ์ลักษณะนี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่โดยประมวลจริยธรรมของข้าราชการควรวางตัวเป็นกลางทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งข้าราชการย่อมต้องวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ข้าราชการคนหนึ่งทำงานในสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สป.) กล่าวว่าเหตุผลที่ข้าราชการออกมา เพราะข้าราชการ คือคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล(นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) เพราะใกล้ชิดและรับรู้ผลกระทบได้เร็วกว่าประชาชนทั่วไป แต่ว่าข้าราชการมีกรอบจำกัด คือ วินัยข้าราชการที่ให้เป็นกลางทางการเมือง  แต่พอมาถึงจังหวะนี้นับว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ข้าราชการจะได้ระบายสิ่งที่รู้สึกอัดอั่นตันใจออกมาได้

ที่สำคัญในแวดวงข้าราชการไม่ได้กว้างมากหรอก และคนพวกนี้ก็จะบอกข้อมูลต่อๆกันไป เช่น คนที่ไปม็อบว่าคนโน้นไปคนนี้ไปแล้วมาเล่าสู่กันฟัง บางคนที่ฟังมาส่วนหนึ่งอยากเข้าไปร่วมม็อบที่ราชดำเนิน แต่ติดขัดหลายๆอย่าง เช่น ปัญหาวินัยข้าราชการ การเดินทาง หรือเรื่องส่วนตัว แต่พอมีการดาวกระจาย เคลื่อนขบวนมายังส่วนราชการ ก็สามารถแสดงออกได้ นับเป็นจังหวะและโอกาสที่เกิดขึ้นมาได้พอดี คือการแสดงตัวตนทางการเมืองของเขา(ข้าราชการ)ได้

ข้าราชการรายหนึ่งทำงานอยู่ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กล่าวว่าเหตุผลที่กล้าออกมาแสดงออกถึงความไม่พอใจรัฐบาลด้วยการแสดงจุดยืนทางการเมืองแบบนี้ เพราะข้าราชการก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพ และในการแสดงออกก็อยู่ในกรอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. โดยไม่ได้กระทบการทำงานในเวลาราชการ กระทบการให้บริการประชาชน หรือ สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินทางราชการแต่อย่างใดแล้วทำไมจะไม่มีสิทธิแสดงออกทางการเมืองไม่ได้

“ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แล้วอยากถามว่าจะผิดตรงไหนถ้าจะไปร่วมม็อบ แสดงออกด้วยการเดินขบวนผิดกฎหมายมาตราไหน และรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ห้ามแล้วทำไมจะทำไม่ได้” ข้าราชการรายนี้กล่าว

ข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง กล่าวว่าวันนี้ข้าราชการที่กล้าออกมาแสดงออกส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับล่างและคนหนุ่มสาวทั้งนั้น ข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ ซี 9 ขึ้นไปไม่มีใครกล้าหรอก เพราะรู้กันดีกว่าข้าราชการกลุ่มนี้เป็นข้าราชการที่รัฐบาลชุดนี้แต่งตั้งขึ้นมา แล้วใครจะกล้าออกมาเป่านกหวีด ดูอย่างในวันแรกที่ม็อบยึดกระทรวงการคลัง มีข้าราชการชั้นผู้น้อยออกมาเปิดประตู โบกธงให้ม็อบเข้าไป อีกวันถัดมานายกรัฐมนตรี เรียกประชุมปลัดกระทรวงนั้นแปลว่าอะไร หมายความว่าคุณต้องไปห้ามลูกน้องคุณน่ะไม่ให้ไปร่วมม็อบ ไม่งั้นคุณ(ปลัดกระทรวง)อยู่ไม่ได้

ข้าราชการคนรุ่นใหม่คนหนึ่ง กล่าวว่าตัวเองก็รู้สึกแปลกเหมือนกันว่าเหตุใดเพื่อนๆข้าราชการในสำนักงานรู้สึกตื่นตัวเดินลงไปร่วมม็อบจับจ่ายซื้อของที่ระลึก เช่น ริบบิ้นสีธงชาติ นกหวีด บางคนไปร่วมกินข้าวกล่องกับม็อบด้วย แถมยังไม่อายหรือกลัวที่จะสวมผ้าสายรัดข้อมูล คล้องนกหวีดโดยเฉพาะพนักงานคนหนุ่มสาว จับกลุ่มถ่ายรูปกันสนุกสนาน

“เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ก็มีความตื่นตัวทางการเมือง ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนรุ่นเก่า ที่เชื่อเรื่องเผด็จการทหาร แต่ปัจจุบันเด็กยุคใหม่เหล่านี้มีสมาร์ตโฟน จึงรู้ข้อมูลได้ด้วยตัวเองชัดและลึกขึ้นโดยไม่ต้องไปที่เวทีราชดำเนินก็ได้ และสมาร์ทโฟนก็ทำให้พวกเขารวมตัวกันได้ผ่านเฟซบุ๊ก”