เสียว! ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวหลังสหรัฐฯ ลดเป้า

http://www.thairath.co.th/content/eco/256590

29 เมษายน 2555, 16:58 น.

Pic_256590

กระทรวงเกษตรฯ สหรัฐฯ ลดคาดการณ์ปริมาณส่งออกข้าวไทยปีนี้เหลือไม่เกิน 7 ล้านตัน คาดทำไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวโลกให้อินเดีย ที่คาดส่งออกได้ 7 ล้านตัน

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า กระทรวงเกษตรฯ ของสหรัฐฯ ได้ปรับประมาณการส่งออกข้าวไทยปี 55 ลงต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยคาดว่าปีนี้จะส่งออกได้ 6.5-7 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้ไทยเสียแชมป์การส่งออกข้าวให้กับอินเดีย เพราะคาดว่าอินเดียจะส่งออกข้าวปีนี้ได้ถึง 7 ล้านตัน โดยรัฐบาลอินเดียจะไม่ชะลอการส่งออก เพราะปีนี้ผลผลิตข้าวออกมาดี และมีสต๊อกกว่า 30 ล้านตัน จึงต้องเร่งโละสต๊อกเก่าออกให้หมด

ทั้งนี้ การปรับประมาณการณ์ใหม่ของสหรัฐฯ สอดคล้องกับที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกข้าวของภาคเอกชนไทยจะได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน ยังไม่รวมกับการส่งออกแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะเป็นผลจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในราคาสูงมาก ทำให้ผู้ส่งออกต้องขายในราคาสูงมาก และในบางตลาดไม่สามารถแข่งขันกับข้าวราคาต่ำกว่าของอินเดีย และเวียดนามได้ส่งผลให้ผู้นำเข้าหันไปนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศแทน และกลายเป็นวิกฤติของการส่งออกข้าวไทย ที่ปริมาณในแต่ละเดือนลดลงมากกว่าครึ่งของการส่งออกปกติ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าปีนี้จะส่งออกได้ 9.5 ล้านตัน มูลค่า 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไทยรัฐออนไลน์
  • 29 เมษายน 2555, 16:58 น.

พาณิชย์ประกาศโควตาส่งออกยุ่นเตือนระวังมาตรฐาน

http://www.thairath.co.th/content/eco/256578

29 เมษายน 2555, 15:20 น.

Pic_256578

กรมการค้าต่างประเทศ ประกาศจัดสรรปริมาณส่งออกกล้วยสด สับปะรดสด และเนื้อสุกรปรุงแต่ง สำหรับผู้ส่งออกไทยที่ได้รับสิทธิตามโควตาที่กำหนด ภายใต้ข้อตกลงเจเทปา จี้ผู้ส่งออกไทยเร่งใช้สิทธิ์ เตือนระวังรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้าด้วย

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายสุรศักดิ์  เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิยกเว้นภาษีภายใต้ความตกลงระหว่าง ราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (JTEPA)   ปี 2555 สำหรับกล้วยสด สับปะรดสด และเนื้อสุกรปรุงแต่งแล้ว โดยผู้ส่งออกกล้วยสดและเนื้อสุกรปรุงแต่ง ที่ได้รับสิทธิการจัดสรรปริมาณการส่งออก สามารถยื่นขอหนังสือรับรองเพื่อใช้ประกอบการส่งออกกับกรมการค้าต่างประเทศ ประกอบด้วย หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า  หนังสือรับรองการได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักบริหารการค้าสินค้าทั่วไป  กรมการค้าต่างประเทศ โทรศัพท์ 0-2547-5118 และ 0-2547-5120

“การใช้สิทธิดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางด้านราคา และส่งเสริมการส่งออกให้แก่สินค้าทั้ง 3 รายการของไทยไปญี่ปุ่นมากขึ้น แต่ผู้ส่งออกต้องระวังเรื่องการรักษาคุณภาพ และมาตรฐานของสินค้าให้คงที่สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะกล้วยสด ซึ่งมีผลผลิตไม่แน่นอน และค่อนข้างไม่ได้มาตรฐานในการส่งออก ทำให้มีการใช้สิทธิเพียง 27.10% ของโควตาที่ได้รับเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก รวมถึงสับปะรดสดที่มีการใช้สิทธิเพียง 6.51% เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องขนาดน้ำหนักไม่เกิน 900 กรัม และที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ขอเงินจากกองทุนเพื่อรองรับการปรับตัว ภายใต้การค้าเสรี (กองทุนเอฟทีเอ) เพื่อจัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพด้านการผลิตการตลาดเพื่อการส่งออกสับปะรดไทยไปญี่ปุ่นภายใต้สิทธิ JTEPA  ซึ่งจะทำให้สับปะรดไทยมีศักยภาพเพิ่มขึ้น และส่งออกไปญี่ปุ่นภายใต้ JTEPA ได้มากขึ้น” นายสุรศักดิ์ กล่าว

สำหรับ ในปี 2554 ไทยใช้สิทธิการส่งออกสินค้าภายใต้ข้อตกลง JTEPA ปริมาณ 3,382.69 ตัน จากปริมาณโควตาทั้งหมด 9,500 ตัน โดยแบ่งเป็นกล้วยสด 2,168.21 ตัน หรือใช้สิทธิ 27.10% จากปริมาณโควตา 8,000 ตัน สับปะรดสด 19.54 ตัน ใช้สิทธิ 6.51% จากปริมาณโควตา 300 ตัน และเนื้อสุกรปรุงแต่ง 1,194.93 ตัน ใช้สิทธิ 99.58% จากปริมาณโควตา 1,200 ตัน

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 29 เมษายน 2555, 15:20 น.

อากาศร้อนราคาหมู-ผักสดพุ่ง ! ผู้บริโภครับกรรม

http://www.thairath.co.th/content/eco/256562

29 เมษายน 2555, 13:13 น.

Pic_256562

อากาศร้อน ทำราคาหมู-ไก่-ผักสดพุ่ง หลังผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง โดยเฉพาะผักพุ่งขึ้นเกือบเท่าตัว ด้านสมาคมผู้เลี้ยงหมูชี้ แม้ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มขึ้นแต่ราคาขายปลีกไม่ควรเกิน กก.ละ 120 บาท จี้กรมการค้าฯ ลงมาดูแลหลังพบบางตลาดขายเกินมากถึง กก.ละ 130 บาท

นายกิดดิวงศ์ สมบุญธรรม เลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเพิ่มขึ้นมาอยู่ กก.ละ 65-66 บาท จากช่วง 1-2 เดือนก่อน ที่ราคาอยู่ที่ กก.ละ 48.50 บาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะกลไกตลาด เพราะปริมาณหมูออกสู่ตลาดน้อยลง จากสภาพอากาศร้อน อย่างไรก็ตาม จากราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้นราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงหน้าเขียงต้องขายไม่เกินกก.ละ 120 บาท แต่ขณะนี้มีบางตลาดขายหมูเนื้อแดงหน้าเขียง กก.ละ 130 บาท เกินต้นทุนความเป็นจริง ซึ่งต้องการให้กรมการค้าภายในดูแลปัญหาปลายทาง เพราะจะทำให้ปริมาณการบริโภคหมูลดลงได้ และจะฉุดให้ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มลดลงอีก จนกระทบต่อเกษตรกรในที่สุด ทั้งที่กลุ่มผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระขาดทุนมานาน

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า จากการสำรวจราคาสินค้าอาหารสดในตลาดกรุงเทพฯเปรียบเทียบราคาในช่วงก่อนและหลังเทศกาลสงกรานต์ พบว่า ราคาอาหารสดได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะหมูเนื้อแดงขึ้นจาก กก. ละ 110-115 บาท เป็น กก.ละ 120-130 บาท ไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องในปรับขึ้นจากตัวละ 52-55 บาท เป็น 62-65 บาท ไข่ไก่เบอร์ 3 ขึ้นจากฟองละ 2.40-2.50 บาท เป็น 2.80-2.90  บาท

ส่วนกลุ่มผักสด พบว่าส่วนใหญ่มีราคาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เช่น ผักคะน้าอยู่ที่ กก.ละ 50-52 บาท เพิ่มจาก กก.ละ 30-32 บาท ผักชี กก.ละ 120-130 บาท ขึ้นจาก 100-110 บาท เป็นต้น เพราะปีนี้อากาศแล้งกว่าปกติ จนทำให้ผลผลิตเสียหายออกสู่ตลาดน้อย รวมทั้งเนื้อหมูและไก่ไข่ กินอาหารได้น้อยลง และเติบโตช้า ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และต้นทุนสูงขึ้น

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 29 เมษายน 2555, 13:13 น.

รวงข้าวทำนาย ปัญหาเศรษฐกิจกดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าปรับลด

http://www.thairath.co.th/content/eco/256516

29 เมษายน 2555, 11:58 น.

Pic_256516

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด ความวิตกต่อเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางกดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวนและอาจปรับลดลงต่อ โดยให้แนวรับที่ 1,200-1,156 จุด และแนวต้านที่ 1,218-1,230 จุด

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ดัชนี SET ปรับขึ้น จากแรงหนุนผลประกอบการ แม้เผชิญการขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,211.78 จุด เพิ่มขึ้น 1.44% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 1.40% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 28,742.63 ล้านบาท โดยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 306.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.10% จากสัปดาห์ก่อน

ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ จากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองและภาคธนาคารในยุโรปก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ จากแรงหนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ออกมาดีการที่เฟดปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ และมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยต่ำนานรวมไปถึงการรายงานข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.- 4 พ.ค. 2555 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสผันผวนและอาจปรับลดลง ท่ามกลางความวิตกต่อเศรษฐกิจหลักที่ยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งฝรั่งเศส (รอบ 2) และกรีซ (6 พ.ค.) ขณะที่ต้องจับตาผลการประชุม กนง. (2 พ.ค.) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (3 พ.ค.) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ส่วนบุคคล ดัชนีภาคการผลิต-บริการ (ISM) การจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงาน ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,200 และ 1,156 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,218 และ 1,230 จุด ตามลำดับ.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไทยรัฐออนไลน์
  • 29 เมษายน 2555, 11:58 น.

สหภาพฯขสมก.จี้คมนาคมซื้อรถใหม่ ฉะเอกชนฉวยโอกาสขึ้นราคาค่าตั๋ว

http://www.thairath.co.th/content/eco/256430

29 เมษายน 2555, 10:30 น.

Pic_256430

สหภาพแรงงาน ขสมก. เตรียมนัดถกประชุม 11 พ.ค.นี้ หาข้อสรุปซื้อรถใหม่ แทนชุดเก่าที่ใช้ลากยาวมาไม่ต่ำกว่า 18 ปี ยื่นเสนอต่อ รมว.คมนาคม แจงจำเป็นต่อประชาชน แขวะรถโดยสารเอกชนฉวยโอกาสน้ำมันแพงขึ้นราคาค่าโดยสาร

นายวีระพงศ์ วงแหวน เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบุว่า วันที่ 11 พ.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการของสหภาพแรงงานเพื่อหาข้อสรุป หลังจากนั้นจะมีการขอเข้าพบ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม เพื่อทวงถามเรื่องการซื้อรถใหม่ว่าจะเอาอย่างไร เพราะทางสหภาพฯเองมีความต้องการให้ภาครัฐเร่งดำเนินการอย่างจริงจังซะที

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางสหภาพฯ ได้พยายามติดตามมาแล้วถึง 3-4 รัฐบาล ปรากฏว่าทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ทั้งที่รถใหม่นี้มันควรจะมีเข้ามาตั้งแต่ปี 2546-47 นั่นแล้ว กระทั่งมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตอนที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ก็รับปากว่าจะซื้อเพิ่มเข้ามาให้ ขสมก. กว่า 3,000 คัน แต่สุดท้ายเรื่องก็ไปไม่ถึงไหน ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างที่รับปากไว้ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรดำเนินการเร่งด่วน เพราะจำเป็นต่อประชาชนอย่างมาก หากว่ายังไม่มาความคืบหน้า หรือความชัดเจน ทางสหภาพฯ ก็จะมีมาตรการเคลื่อนไหวต่อไปแน่นอน”

นายวีระพงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยติดตามความคืบหน้าพบว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ที่สภาพัฒน์ เพื่อทำแผนฟื้นฟู ซึ่งในความเป็นจริง หากรถเก่าหมดอายุการใช้งาน ก็ต้องดำเนินการจัดหารถใหม่เข้ามาทดแทนอยู่แล้ว ฉะนั้นเรื่องของแผนฟื้นฟู กับเรื่องการจัดซื้อรถใหม่จึงเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งนี้ หากทาง ขสมก. ยังไม่มีรถใหม่ ภายใน 2-3 ปี องค์การฯ คงไม่มีรถบริการพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

ส่วนสาเหตุที่ทางสหภาพแรงงานจำเป็นต้องออกมาทวงถามรัฐบาลเรื่องการจัดหาซื้อรถโดยสาร ขสมก.ใหม่นั้น เนื่องจากว่า รถ ขสมก. ทุกวันนี้แต่ละคันมีอายุการใช้งานเกินกว่าเกณฑ์คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ว่า รถของรัฐ ที่วิ่งให้บริการต้องมีอายุไม่เกิน 10 ปี ในขณะที่รถ ขสมก. ปัจจุบันมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี บางคันใช้งานมานานเกือบ 20 ปี ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องของรถเสียเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 400 คัน จนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มที่ บางครั้งเสียระหว่างให้บริการบนทางด่วนบ้าง ตามเส้นทางต่างๆ บ้าง ทำให้ประชาชนเสียเวลา โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ประท้วงทางการเมือง รถ ขสมก. เสียหายไปจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 31 คัน ซึ่งก็ยังไม่มีรถใหม่มาแทนให้แต่อย่างใด

“ผมไม่อยากให้พูดว่าจะนำรถมาให้บริการ ในขณะที่รถไม่สามารถให้บริการได้อีกแล้ว ซ้ำร้ายตอนนี้ก็มีรถเอกชนเข้ามาวิ่งให้บริการเยอะมาก ที่วิ่งทับเส้นทาง ขสมก.ก็มี ที่สำคัญสิ่งที่สหภาพฯ พยายามคัดค้านมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย คือนโยบายเรื่องการแปรรูป สหภาพฯไม่อยากให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เพราะจะเป็นการเพิ่มอำนาจในการต่อรองของภาคเอกชนมีมากขึ้น อย่างล่าสุดก็จะปรับขึ้นค่าโดยสารอีก 1 บาท ซึ่งบางคันก็เปลี่ยนไปใช้เอ็นจีวีนานแล้ว  พอช่วงนี้น้ำมันขึ้นก็มาอ้างว่าจะต้องปรับขึ้นค่าโดยสาร อ้างว่ายังไม่ได้ใช้เอ็นจีวี แต่พอเอ็นจีวีขึ้น ก็บอกตอนนี้เขาใช้เอ็นจีวีเลยจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าโดยสาร นี่คือการบริหารแบบนายทุนที่ไม่ได้มองถึงเรื่องการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง คิดเพียงว่าทำอย่างไรจึงจะได้ผลกำไรเยอะๆเท่านั้นเอง”

อย่างไรก็ตาม ขสมก. ก็จำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป เพื่อให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ส่วนกิจกรรมของสหภาพแรงงาน ในวันที่ 1 พ.ค.นี้จะมีความเคลื่อนไหวลักษณะขบวนรถ ขสมก. สะท้อนปัญหาต่างๆ โดยหัวขบวนจะเริ่มตั้งแต่หน้ารัฐสภา.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
  • 29 เมษายน 2555, 10:30 น.
tags:

คาดสัปดาห์หน้าค่าบาทเคลื่อนไหวที่ 30.70-31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

http://www.thairath.co.th/content/eco/256513

29 เมษายน 2555, 08:19 น.

Pic_256513

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด สัปดาห์หน้าค่าบาทเคลื่อนไหวที่ 30.70-31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ แนะจับตาตัวเลขเศรษฐกิจเดือน มี.ค. และเงินเฟ้อเดือน เม.ย.ของไทย

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังจากที่อ่อนค่าลงทดสอบระดับ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางความต้องการเงินดอลลาร์ฯ จากกลุ่มผู้นำเข้า และประเด็นวิกฤติหนี้ยุโรปที่กระตุ้นแรงขายในตลาดหุ้นและสกุลเงินในเอเชียในช่วงต้นสัปดาห์ ทั้งนี้ เงินบาทเริ่มทยอยแข็งค่ากลับมาในช่วงกลางสัปดาห์ หลังจากที่ประธานเฟดยังคงไม่ตัดโอกาสของการใช้มาตรการผ่อนคลายรอบใหม่หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีทิศทางอ่อนแอลง นอกจากนี้ แรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก และการยืนระดับของค่าเงินยูโร (แม้ปัญหาของสเปนจะมีความน่ากังวลมากขึ้น) ก็เป็นปัจจัยบวกของเงินบาทด้วยเช่นกัน ในวันศุกร์ (27 เม.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 30.77 เทียบกับระดับ 30.91 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 เม.ย.)

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (30 เม.ย.-4 พ.ค.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตารายงานตัวเลขเศรษฐกิจเดือน มี.ค. และอัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย.ของไทย ตลอดจนผลการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. รวมถึงประเด็นแวดล้อมของวิกฤติหนี้ยุโรป และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขตลาดแรงงานดัชนี ISM ภาคการผลิตและบริการเดือน เม.ย. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล และ Core PCE Price Index เดือน มี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไทยรัฐออนไลน์
  • 29 เมษายน 2555, 08:19 น.

KFCจ่ออุทธรณ์คดีเด็กหญิงออสเตรเลียกินไก่ทวิสเตอร์แล้วป่วย

http://www.thairath.co.th/content/eco/256454

29 เมษายน 2555, 00:00 น.

Pic_256454

เคเอฟซีออสเตรเลียเตรียมยื่นอุทธรณ์คำตัดสินคดี ที่เด็กหญิงซามานล้มป่วยหลังกินไก่ทวิสเตอร์จากร้านเคเอฟซีในซิดนีย์

เคเอฟซีออสเตรเลียเตรียมยื่นอุทธรณ์คำตัดสินคดี ที่เด็กหญิงซามานล้มป่วยหลังกินไก่ทวิสเตอร์จากร้านเคเอฟซีในซิดนีย์   โดยเคเอฟซีออสเตรเลียยืนยันว่า บริษัทจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลสูงสุดของมลรัฐนิวเซาเวลส์ซึ่งตัดสินให้เคเอฟซีแสดงความรับผิดชอบต่อสาเหตุของอาการอาหารเป็นพิษซึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซาลโมแนลลาของเด็กหญิงในนครซิดนีย์ในปี 2548 ครอบครัวของเด็กหญิงโมนิก้า ซามานได้เรียกร้องให้เคเอฟซีชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โมนิก้าล้มป่วยหลังจาก รับประทานไก่ทวิสเตอร์ที่ชื้อจากร้านเคเอฟซีในนครซิดนีย์ในเดือนตุลาคมปี 2548

อย่างไรก็ตาม เคเอฟซีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวภายหลังจากการสืบสวนคดีของศาลสูงสุดของ มลรัฐนิวเซาเวลส์ ซึ่งใช้เวลา 4 สัปดาห์ โดยผู้พิพากษารอทแมนได้ตัดสินให้ครอบครัวซามานเป็นผู้ชนะคดี แซลลี่ โกลเวอร์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรของเคเอฟซีออสเตรเลียกล่าวว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก แต่เรารู้สึกผิดหวังและประหลาดใจอย่างมากกับคำตัดสินของผู้พิพากษา”   “เราเชื่อว่าหลักฐานได้แสดงให้เห็นว่า เคเอฟซีไม่ได้เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดนี้ และหลังจากที่ได้พิจารณาคำพิพากษาและขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทนายของเราแล้ว เราได้ตัดสินที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของผู้พิพากษารอทแมน  “เรารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อโมนิก้าและครอบครัวซามาน อย่างไรก็ตาม เรามีหน้าที่ในการปกป้องชื่อเสียงของเคเอฟซีในฐานะผู้ผลิตอาหารที่ปลอดภัย และมีคุณภาพสูง ตลอดระยะเวลา 50 ปีในออสเตรเลีย เคเอฟซีมีชื่อเสียงที่ดีในการมีมาตรฐานอาหารที่มีคุณภาพสูง และเราจะทำงานต่อไปเพื่อรักษาชื่อเสียงนั้นไว้ เนื่องจากในขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการยื่นอุทธรณ์คดี ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่เราจะให้ความเห็น” โกลเวอร์กล่าว

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 29 เมษายน 2555, 00:00 น.

ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนพร้อมเปิดซื้อขายมิ.ย.นี้

http://www.thairath.co.th/content/eco/256432

28 เมษายน 2555, 23:00 น.

Pic_256432

ผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์อาเซียน เปิดเผยหลังการประชุมร่วมกันที่สิงคโปร์ว่า โครงการเชื่อมโยงการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Trading Link) พร้อมเปิดซื้อขายในเดือนมิถุนายนนี้ นำโดยตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นคู่แรก ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยจะพร้อมเชื่อมโยงการซื้อขายในเดือนสิงหาคมนี้

วันที่ 28 เม.ย. นายแมกนัส บอคเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ กล่าวในนามผู้แทนของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนว่า “ความร่วมมือของสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่จะเปิดโครงการ ASEAN Trading Link นี้ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่การขจัดอุปสรรคของการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน การเชื่อมโยงการซื้อขายนี้ จะทำให้นักลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้รับความสะดวกในการเข้าถึงทางเลือกการลงทุนที่กว้างขึ้น และสามารถได้ประโยชน์จากการเติบโตของภูมิภาคนี้ ตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 3 แห่ง ที่เข้าร่วม ASEAN Trading Link ในระยะแรกนี้ มีมูลค่าหลักทรัพย์ราคาตลาดรวมคิดเป็นสองในสาม ของมูลค่ารวม 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนทั้ง 7 แห่ง” นายแมกนัส กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนครั้งที่ 16 ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 26-27 เม.ย.

ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร  กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า “ASEAN Trading Link  เป็นโอกาสใหม่ของผู้ลงทุนและผู้ร่วมตลาดทุนในภูมิภาคนี้ และเป็นการเปิดโอกาสให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น เมื่อการเชื่อมต่อการซื้อขายเริ่มขึ้นแล้ว ผู้ลงทุนไทยจะได้รับความสะดวกส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ไปยังตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค ผ่านโบรกเกอร์ไทยที่มีเชื่อมต่อกับตลาดนั้นๆ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจแก่บริษัทหลักทรัพย์ ขณะเดียวกัน จะทำให้หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนต่างประเทศทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น”

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังลงนามข้อตกลงให้ FTSE ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีชั้นนำของโลก จัดทำข้อมูลและวิเคราะห์ตลาดอาเซียนในเชิงลึก เพื่อเผยแพร่บนเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลกอื่นๆ เพื่อผลักดันให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นแหล่งลงทุนที่ได้รับการยอมรับระดับสูงในสายตานักลงทุนทั่วโลก

ขณะที่ นายแมกนัส กล่าวอีกว่า “พัฒนาการต่างๆ ที่ประกาศในวันนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของความร่วมมือในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ที่จะผลักดันแผนการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของตลาดทุนอาเซียน โดยการเพิ่มโอกาสการลงทุน ASEAN เข้าสู่นักลงทุนมากขึ้น”

การประชุมผู้บริหารระดับสูงครั้งที่ 16 นี้ ประกอบด้วยตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคอาเซียน 7 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่งของเวียดนาม ได้แก่ ฮานอย และโฮจิมินห์.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 28 เมษายน 2555, 23:00 น.

ขนส่งฯเดินหน้าสร้างนักขับขี่มือใหม่

http://www.thairath.co.th/content/eco/256390

28 เมษายน 2555, 17:03 น.

Pic_256390

ขนส่งทางบก เดินหน้าสร้างนักขับขี่มือใหม่ให้มีคุณภาพด้วยโครงการ “เสริมความรู้ก่อนขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์” ในวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นประจำทุกเดือน เผย!!!ประชาชนพอใจถึง 95.89%

วันที่ 28 เม.ย. นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ถึง 80% โดยสถิติเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา (ระหว่าง 11–17 เม.ย.55) พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 3,129 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต จำนวน 320 ราย และบาดเจ็บ จำนวน 3,320 ราย โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเมาสุรา รองลงมา คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด และตัดหน้ากระชั้นชิด ประกอบกับผลจากการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสูญเสียอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุจราจรทางบกในประเทศไทย ของศูนย์ศึกษานโยบายเพื่อการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าผู้พิการที่ตกเป็นเหยื่อจากอุบัติเหตุจราจรส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 13–25 ปี ซึ่งสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าว เกิดจากผู้ขับขี่ไม่รู้กฎจราจร ขับรถด้วยความคึกคะนอง และขาดจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน

โดยกรมการขนส่งทางบกได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ดำเนินการเสริมความรู้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ร่วมมือกับภาคเอกชนจัดโครงการอบรมเสริมความรู้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในวันเสาร์–อาทิตย์ เป็นประจำทุกเดือนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านการขับขี่ที่ปลอดภัย เพื่อเป็นนักขับรถที่มีคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมเพื่อขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ จำนวน 36,519 ราย และมีผู้ผ่านการอบรมเพื่อขอรับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 12,362 ราย ทั้งนี้ จากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ผลจากการสำรวจความพึงพอใจ พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจถึง 95.89%

นายอัฌษไธค์ กล่าวต่อไปว่า โครงการอบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหนึ่งที่กรมการขนส่งทางบกร่วมมือกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บริดจสโตน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับในส่วนกลางกำหนดจัดอบรมในวันที่ 19–20 พ.ค. 2555 ณ กรมการขนส่งทางบก และส่วนภูมิภาคกำหนด จัดอบรมในวันที่ 9–10 มิ.ย. 2555 ที่ จ.ตรัง ส่วนการอบรมเสริมความรู้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาต ขับรถจักรยานยนต์ กำหนดจัดอบรมในวันที่ 23–24 มิ.ย. 2555 ณ กรมการขนส่งทางบก โดยผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรม สามารถสมัครด้วยตนเองพร้อมแนบหลักฐาน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงพร้อมสำเนา และใบรับรองแพทย์ ที่ส่วนใบอนุญาตขับรถ อาคาร 4 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2271 8426-7 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด หรือสอบถาม Call Center 1584

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 28 เมษายน 2555, 17:03 น.

‘ไทยสมายล์’สยายปีก หวังส่วนแบ่งตลาดการบิน 25%

http://www.thairath.co.th/content/eco/256387

28 เมษายน 2555, 17:00 น.

Pic_256387

การบินไทยสมายล์ เริ่มบินเส้นทางแรก กรุงเทพฯ-มาเก๊า วันที่ 7 ก.ค.นี้ ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด 25% คาดมีรายได้ปีแรก 1.8 พันล้านบาท และมีกำไรภายในปีหน้า

วันที่ 28 เม.ย. นายวรเนติ หล้าพระบาง กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบินไทยสมายล์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังงานเปิดตัวบริการใหม่ “THAI SMILE ในงาน รักคุณเท่าฟ้า” ว่า การบินไทยสมายล์จะเปิดให้บริการครั้งแรกในวันที่ 7 ก.ค.นี้ ในเส้นทางกรุงเทพฯ-มาเก๊า วันละ 2 เที่ยว นอกจากนั้น ยังให้บริการเส้นทางบินในประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ-กระบี่ กรุงเทพฯ-สุราษฎร์ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และเชียงใหม่-ภูเก็ต ซึ่งจะทำการบินแทนเที่ยวบินของสายการบินไทยในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ประเมินว่าในปีนี้จะมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 3 แสนคน และมีเที่ยวบินให้บริการประมาณ 90 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยมีเครื่องบินให้บริการ 4 ลำ อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ประมาณ 72.2% รายได้อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท และยังไม่มีกำไร

ส่วนในปี 2556 จะมีเที่ยวบินให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 150 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยมีเครื่องบินให้บริการรวม 6 ลำ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 4,900 ล้านบาท และจะเริ่มมีกำไร

“มั่นใจว่าเมื่อการบินไทยสมายล์เริ่มให้บริการ จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดในภาพรวมบริษัทการบินไทยเพิ่มขึ้น และในส่วนของการบินไทยสมายล์ที่ให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ-มาเก๊านั้น คาดว่าภายใน 1 ปีจะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 22-25% โดยปัจจุบันมีสายการบินให้บริการเส้นทางนี้อยู่ 2 สายการบิน โดยเส้นทางนี้ถือว่ามีการแข่งขันสูง” นายวรเนติ กล่าว

ส่วนสาเหตุที่การบินไทยสมายล์จะมีกำไรเร็วนั้น เพราะเป็นหน่วยธุรกิจของการบินไทย ต้นทุนในการดำเนินงานจึงไม่สูงมาก ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าเครื่องบิน ส่วนจุดแข็งของบริการ คือ เป็นสายการบินที่เน้นการให้บริการที่สดใส เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ และราคาคุ้มค่ากับบริการ คือ มีบริการอาหารว่างและเครื่องดื่มฟรี และฟรีน้ำหนักกระเป๋าสัมภาระได้ 20 กก.

นายวรเนติ ยังกล่าวอีกว่า การเปิดให้บริการการบินไทยสมายล์ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสายการบินของประเทศไทย เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นที่ต้องเสริมความเข้มแข็ง เพราะเมื่อเปิดเออีซีแล้วสายการบินต่างชาติจะเข้ามาทำการบินในประเทศได้อย่างเสรี และฉวยโอกาสในการทำธุรกิจของประเทศไทย ซึ่งเส้นทางบินของประเทศไทยถือเป็นเส้นทางที่มีเสน่ห์.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 28 เมษายน 2555, 17:00 น.