“โช-อึ้น-อ่ะ-ชิม-อิม-นี-ดะ” เกาหลี…มีดีกว่าที่คิด (2)

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/454353

โดย 4 ต.ค. 2557 05:01

ป้อมฮวาซอง

ถ้าจะถามว่า ไปดูอะไรที่เกาหลี…นอกจากตามรอยละครซีรีส์ที่ชื่นชอบแล้ว คำตอบอื่นๆ ก็น่าจะมีอยู่บ้าง เช่น ไปดูธรรมชาติความสวยงามตามฤดูกาลต่างๆ ทั้งใบไม้เปลี่ยนสี หิมะตก โดยเฉพาะหิมะนี่ชัดเจนมากว่าบ้านเราไม่มีให้ดูแน่นอน หรืออีกอย่างก็คือไป “กิน” เพราะอาหารเกาหลีบางอย่าง รสชาติอร่อยถูกปากคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะเมนูปิ้งย่างต่างๆ

วันที่สองในแดนกิมจิ วันนี้เรามีโปรแกรมไปเยือนหมู่บ้านฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเกาหลีในเมืองชุนชอน จังหวัดคังวอน ที่ชื่อว่า “ลา เปอตีต์ ฟรานซ์” หรือ La Petite France Village ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง

มุมสวยใน Le Petite France Village

อาคารรูปทรงตะวันตกหลากสี แนวโรแมนติกผสมกับกลิ่นอายฝรั่งเศส สร้างลดหลั่นกันตามไหล่เขา บ้านแต่ละหลังตกแต่งด้วยสีสัน บางหลังดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึก เหมือน พาเลโอ, มิโมซ่า, ซานโตรินี่ ฯลฯ บ้านเรานั่นละ ไกด์บอกว่า ที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจในการก่อสร้างมาจากนวนิยายฝรั่งเศสที่ชื่อว่า “Le Petit Prince” หรือ “The little Prince” ที่บ้านเรานำมาแปลเป็นภาษาไทยว่า “เจ้าชายน้อย”

เสน่ห์อย่างหนึ่งของ “ลา เปอตีต์ ฟรานซ์” คือ สถานที่ตั้งที่ถูกล้อมไว้ด้วย ภูเขาโฮมีซัน (Homyeongsan) และ ทะเลสาบซอนเพียงโฮ (Cheongpyeongho) ช่วยเพิ่มบรรยากาศโรแมนติก ระหว่างที่เดินในหมู่บ้านมีเพลงคลาสสิกเปิดให้ฟัง ถ้าเป็นหน้าหนาวมีหวังได้นึกว่าตัวเองเป็นนางเอกซีรีส์เกาหลีสักเรื่องแน่ๆ

ด้านในของหมู่บ้าน มีมุมที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูป คือ ส่วนที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์เรื่อง Beethoven Virus มีการจัดโซฟา เปียโน และพรมแบบฝรั่งเศส อุปกรณ์น่ารักๆ เช่น หมวกสไตล์ฝรั่งเศส กระเป๋าสะพาย ร่มน่ารักๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เป็นพร็อพสำหรับถ่ายรูปด้วย สำหรับคนชอบถ่ายรูป ชอบโพสต์รูป น่าจะมีความสุขกับการมาเที่ยวที่นี่

“ทักคาลบี” อาหารเลื่องชื่อของเมืองชุนชอน

ออกจากหมู่บ้านเจ้าชายน้อยแห่งฝรั่งเศส เรามีนัดกับเมนูอาหารเกาหลีขึ้นชื่อที่ชื่อว่า “ทักคาลบี” หรือ ไก่ผัดบาร์บีคิวซอสเกาหลี เป็นเมนูอาหารเลื่องชื่อของเมืองชุนชอน เป็นเมนูที่นำไก่ซึ่งหมักด้วยซอสบาร์บีคิวสไตล์เกาหลี แป้งต๊อก หรือ ข้าวเหนียวปั้นเกาหลี มันหวาน ผักต่างๆ มาผัดกับซอสพริกเกาหลีในกระทะแบน เวลากินให้เอาไก่และเครื่องเคียงทั้งหลายที่ผัดในกระทะห่อกับผักกาดแก้ว พอใกล้ๆจะอิ่มให้เอาข้าวสวยและสาหร่ายแห้งผัดรวมกับทักคาลบี กลายเป็นอาหารชนิดใหม่ คือ “ทัก-คาลบีบกคึม” หรือข้าวผัดพริกไก่ เพิ่มรสชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนไทยมักอิ่มไก่ก่อนที่จะเอาข้าวไปผัด เพราะไก่ที่นี่ชิ้นใหญ่มาก แถมน้ำซอสยังอร่อยอย่าบอกใครอีกต่างหาก

ช่วงบ่าย แม้แดดจะร้อน แต่เพื่อไม่ให้พลาดไฮไลต์สำคัญ เรามีโปรแกรมไปสัมผัสกับเครื่องเล่นชิ้นใหม่ของเกาหลีที่ เมืองจองซอน (Jeongseon) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคังวอน

Rail Bike รถจักรยานบนรางรถไฟ

เครื่องเล่นที่ว่านี้ เรียกว่า Rail Bike หรือจักรยาน 4 ล้อแบบพิเศษ เป็นจักรยานที่ใช้คนปั่นตั้งแต่ 2-4 คน แล่นไปตามรางรถไฟ เพื่อชมธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเมืองจองซอนที่ปกคลุมไปด้วยป่าเขา ด้านซ้ายจะเป็นแม่น้ำ ส่วนด้านขวาจะเป็นขุนเขาสลับซับซ้อน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทุ่งนาเขียวขจีและแปลงผักของเกษตรกรชาวเกาหลีที่ขนาบอยู่ริมสองฝั่งน้ำ ลอดอุโมงค์ซึ่งเจาะทะลุภูเขา ไปตามเส้นทางลาดเอียงลงไปตามไหล่เขา

ทางรถไฟทอดยาวราว 4 กิโลเมตร

หลายคนในคณะของเราให้ความเห็นว่า เมืองไทยน่าจะนำไอเดียนี้ไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเรา เช่น ทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรี ซึ่งมีจุดขายคือประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกที่น่าสนใจอยู่แล้ว หรือนำไปใช้บนรางรถไฟเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในบางจังหวัด จะเกิดประโยชน์มาก

คืนนี้เรามีกำหนดการจะไปพักที่เมืองซูวอน ในเขตจังหวัดคย็องกี ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงโซล ประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดและเป็นจังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในเกาหลีใต้ด้วย

ซูวอน….เมืองมรดกโลก

นอกจากเมืองซูวอนจะเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 หรือ ค.ศ.1997 แล้ว ซูวอนยังมีสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของเกาหลีที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ป้อมฮวาซอง ซึ่งเป็นป้อมปราการและกำแพงโบราณที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด

ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าจองโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน ในปี ค.ศ.1794 มีความยาว 5.5 กิโลเมตร สร้างตามแนวไหล่เขาและที่ราบ มีลักษณะเหมือนเป็นกำแพงยาวที่โอบล้อมเมืองซูวอนไว้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม

อ่านตามประวัติเขาบอกว่า ป้อมนี้จริงๆแล้ว พระเจ้าจองโจ พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 22 แห่งราชอาณาจักรโชซอนสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับและเป็นที่ฝังพระศพของ ซาโด เซจา พระบิดาของพระองค์ที่ถูกพระเจ้ายองโจ พระอัยกาของพระองค์เองลงโทษ โดยการขังไว้ในถังข้าว ให้อดข้าว อดน้ำ จนองค์ชายซาโด ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในถังข้าว ฟังดูก็โหดดี เหมือนที่เคยดูในซีรีส์ประวัติศาสตร์ของเกาหลีไม่มีผิด

พระราชวังฮวาซองแฮงกุง

ป้อมฮวาซอง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก่อนที่เมืองซูวอนจะได้เป็นมรดกโลกเสียอีก คณะกรรมการมรดกโลก ให้เหตุผลในการขึ้นทะเบียนป้อมแห่งนี้เป็นมรดกโลก ว่า เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลที่ทำให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม และยังเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

นอกจากตัวป้อมปราการแล้ว บริเวณด้านหน้าที่เป็นลานกว้างยังเป็นสนามยิงธนู ซึ่งว่ากันว่าสมัยก่อนกษัตริย์จองโจทรงใช้ลานแห่งนี้ฝึกซ้อมยิงธนูกับบรรดาอุปราช และมีพระราชวังฮวาซองแฮงกุงอยู่ด้านหลัง เป็นที่พักผ่อนของพระองค์ท่านด้วย

มุมสวยของแม่น้ำฮัน

น่าเสียดายที่เวลาจำกัด ไกด์บอกว่ายังมีอาคารด้านหลังอีกแห่งหนึ่ง ที่มีความสำคัญ พอถามว่าสำคัญอย่างไร เขาบอกว่า เป็นฉากสำคัญในละครอิงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์โชซอน

สำคัญขนาดไหน ถ้าบอกชื่อคงร้อง “อ๋อ” เพราะละครเรื่องนั้น ชื่อ “แดจังกึม”

สัปดาห์หน้าไปตะลุยกรุงโซลต่อ กระซิบใกล้ๆ งานนี้ไปเที่ยวไม่เกี่ยวกับฟุตบอล

สารคดี : เชน: วิถีแห่งอหิงสา

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/454169

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 ต.ค. 2557 14:52

“จัยจีเนนดระ” น้ำเสียงแผ่วเบาที่เปล่งออกมา พร้อมอากัปกิริยาการยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจเป็นคำทักทายที่ไม่คุ้นหูใครหลายคน เมื่อเทียบกับคำทักทายยอดฮิตอย่าง “นมัสเต” ของภารตชน แต่นี่เองคือจุดเริ่มต้นในการเดินทางเพื่อตามหาที่มาของความหมาย “ขอให้เชนจงมีชัย” ของผม

หลายพันปีก่อน ณ ดินแดนชมพูทวีปอันรุ่มรวยไปด้วยการแสวงหาคุณค่าความหมายทางจิตวิญญาณ สายธารความเชื่อเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกมายาวนาน หล่อหลอมจนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการชี้นำทางสังคมในดินแดนแห่งนี้ ทว่าในช่วงเวลาที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูรุ่งเรืองอยู่นั้น ในดินแดนชมพูทวีปยังให้กำเนิดลัทธิความเชื่อทางจิตวิญญาณใหม่อีกสองศาสนา ได้แก่ ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ ซึ่งเกิดจากการ “ปฏิวัติ” ความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยที่ทั้งเชนและพุทธต่างเป็นศาสนาแบบอเทวนิยม (ต่างจาก “พหุเทวนิยม” ของพราหมณ์-ฮินดู) ในความหมายที่ว่า มนุษย์และธรรมชาติเป็นตัวกำหนดความจริงของชีวิต มิได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าหรือเทพเจ้า

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ศาสนาเชนถือกำเนิดก่อนคริสต์ศักราชราว 600 ปี จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก และยังร่วมสมัยกับพุทธศาสนา ศาสดาหรือผู้ให้กำเนิดศาสนาเชนคือ พระมหาวีระ ผู้มีพระประวัติคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้าอย่างมาก จนบางครั้งหลายคนถึงกับหลงเข้าใจผิดคิดว่า ทั้งสองพระองค์เป็นบุคคลคนเดียวกัน

นักบวชเชนนิกายทิคัมพรกำลังสักการะพระรูปพระโคมเฏศวร

พระมหาวีระประสูติในวงศ์กษัตริย์ลิจฉวี ผู้ครองนครเวสาลี แคว้นวัชชี ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อราว 635 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะมีพระชนมายุ 30 พรรษา พระมหาวีระทรงละชีวิตทางโลกและเสด็จออกผนวช มุ่งแสวงหาโมกขธรรมอย่างจริงจัง พระองค์ทรงบำเพ็ญสมาธิและอัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตน) โดยปราศจากเครื่องทรง ทั้งทรงถือสัจจวาจาไม่ยอมเอ่ยปากพูดคุยกับใครเป็นระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี จนบรรลุธรรมขั้นสูงสุด หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จากนั้นจึงทรงละวางสัจจวาจาเพื่อออกประกาศศาสนา ซึ่งได้ชื่อในเวลาต่อมาว่า “เชน” แปลว่า “ชนะ”

ศาสนาเชนมีปรัชญาความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนา ทุกชีวิตมิอาจดับสูญ มนุษย์ สัตว์ พืช จุลินทรีย์ และไม่เว้นแม้กระทั่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีชีวิตที่ต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาชีวิตอื่นได้ ทุกชีวิตมีกรรมอันเป็นผลของการกระทำที่จะส่งผลในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดหรือสังสารวัฏ ศาสดาในศาสนาเชนมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ตีรถังกร” ชาวเชนเชื่อว่า ที่ผ่านมาตีรถังกรประสูติมาในโลกแล้ว 24 พระองค์ โดยพระมหาวีระคือตีรถังกรองค์ที่ 24 ด้วยเหตุนี้ ชาวเชนจึงเชื่อว่าศาสนาของพวกเขาเก่าแก่ที่สุดในโลก

ปัจจุบัน มีชาวอินเดียนับถือศาสนาเชนอยู่เพียงราว 5 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 1,200 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.4 ของประชากรทั้งประเทศ สาธุชนชาวเชนมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศอินเดีย แต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐแถบตะวันตกและตอนใต้ เช่น ราชสถาน คุชราต มัธยประเทศ และกรณาฏกะ นอกจากนี้ ยังมีชาวเชนโพ้นทะเลอีกจำนวนหนึ่งที่ไปตั้งรกรากในต่างประเทศ เช่น ยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา สาธุชนชาวเชนมักประกอบอาชีพด้านค้าขาย ครูบาอาจารย์ นักธุรกิจ นักลงทุน เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม เพราะการปลูกพืชผลทางการเกษตรมีความเสี่ยงที่จะไปเบียดเบียนที่อยู่อาศัยและทำลายสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักอหิงสธรรม หลักธรรมสำคัญที่สุดข้อหนึ่งของศาสนาเชน

ชาวเชนนิกายเศวตัมพรใช้ผ้าปิดปากระหว่างทำพิธีบูชาทางศาสนา

ที่เมืองศรวณพลโคละ แหล่งจาริกแสวงบุญสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของผู้นับถือศาสนาเชน ผมใช้เวลาเดินทางกว่า 40 ชั่วโมงบนรถโดยสารประจำทาง เพื่อมาเยือนเมืองเงียบสงบแห่งนี้ เมืองศรวณพลโคละตั้งอยู่ในรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย ห่างจากกรุงนิวเดลี 2,300 กิโลเมตร ที่นี่ผมพบกับวันทนา เชน อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งหนึ่งจากกรุงนิวเดลี เธอใช้เวลาพักร้อนยาวนานกว่าสองสัปดาห์เพื่อจาริกแสวงบุญไปยังสถานที่สำคัญต่างๆในศาสนาเชน “นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ฉันกลับมาที่นี่” เธอบอก และเล่าว่า เมืองศรวณพลโคละเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวเชน เพราะเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่แกะสลักจากหินแกรนิตก้อนเดียว จารึกภาษากันนัฑที่ฐานบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีต รูปเคารพนี้มีความสูง 17.38 เมตร สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 มีชื่อเรียกว่า “พระโคมเฏศวร” หรือ “พระพหุพลี” (ผู้มีแขนที่มีพลัง) พระโคมเฏศวรใช้สถานที่แห่งนี้ฝึกบำเพ็ญตบะจนบรรลุเป็นพระอฤหันต์ หรือผู้สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงจนชีวาตมันหลุดพ้น พระอฤหันต์ในศาสนาเชนนั้นเทียบเท่ากับพระอรหันต์ในพุทธศาสนานั่นเอง

วันทนา เชน เป็นชาวเชนนิกายทิคัมพร (อีกนิกายหนึ่งคือเศวตัมพร) วันนี้เธอตั้งใจจะมาทำสมาธิและสวดมนต์ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นในวันรุ่งขึ้น หลังเธอขอตัวไปทำสมาธิ เราได้พบกันอีกครั้งที่ร้านอาหารใต้โรงแรม วันทนาเล่าถึงความเป็นไปในสังคมเชนยุคปัจจุบัน เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเคร่งศาสนา แต่ก็ยอมรับหลักธรรมปฏิบัติที่ถูกผ่อนปรนมาจาก “มหาพรต” หรือหลักธรรมสำหรับนักบวช มาสู่ “อนุพรต” ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์อย่างเธอ วันทนาบอกว่า ความเคร่งครัดของเธอควรมีผลกระทบต่อคนรอบข้างให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอยกกรณีเวลาเดินทางไปต่างประเทศและต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนต่างวัฒนธรรม “ชาวเชนส่วนใหญ่ใช้เวลาหมดไปกับการศึกษาหาความรู้ สวดมนต์ และทำทาน หลักอหิงสาคือหลักการที่ดีมากในสังคมโลกปัจจุบันค่ะ ถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงและนำไปประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง หลายสิ่งหลายอย่างคงเข้ารูปเข้ารอยมากกว่านี้” เธอออกความเห็น “คุณรู้ไหม มีพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งของอินเดียเอาสัญลักษณ์ฝ่ามือของศาสนาเชนไปเป็นสัญลักษณ์ของพรรค แล้วหลังจากนั้น พรรคการเมืองพรรคนั้นก็ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ที่น่าขันคือ พวกเราชาวเชนกลับไม่มีพรรคการเมืองของตนเอง แตกต่างจากศาสนาอื่นในอินเดีย”

มุนี ศรุตนันที วัย 83 ปี นักบวชเชนนิกายทิคัมพร ออกบวชตั้งแต่อายุ 66ปี หลังเกษียณอายุจากตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอินเดีย

แม้ศาสนิกชาวเชนจะมีจำนวนเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาอาจเป็นกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งในอินเดีย บางคนถึงกับตั้งฉายาให้ว่า “ฟันเฟืองแพลทินัม” ชาวเชนไม่เพียงจ่ายภาษีรวมกันคิดเป็นมูลค่าสูงถึงร้อยละ 24 ของยอดรวมทั้งประเทศในปีที่ผ่านมา แต่ยังบริจาคเพื่อการกุศลต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 อีกทั้งเป็นเจ้าของอาคารสถานที่ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ราวร้อยละ 28 ในอินเดีย หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ในอินเดียมีเจ้าของเป็นชาวเชน พวกเขาคือกลุ่มคนจำนวนน้อยไม่ถึงร้อยละหนึ่งของประชากร แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่จัดว่าร่ำรวยที่สุดในอินเดีย ชาวเชนเกือบทั้งหมดเป็นผู้มีการศึกษา พวกเขาเป็นเจ้าของสถานศึกษามากมายในอินเดีย นักบวชเชนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีการศึกษาสูง จึงเป็นที่ยอมรับในหมู่ ผู้นับถือศาสนาเชนและคนต่างศาสนาที่เปิดใจยอมรับทุกหลักการความเชื่อ “แต่ละชีวิตเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นี่แหละคือความหมายของชีวิตครับ ผมเชื่อในหลักอหิงสธรรมที่ท่านศาสดามหาวีระกล่าวไว้ก่อนนิพพาน พวกเราชาวเชนไม่ว่าจะนิกายทิคัมพรหรือเศวตัมพรต่างถือหลักธรรมนี้เป็นยอดคำสอนสูงสุด” จิรัน วี เด็กหนุ่มชาวเชนอีกคนที่ผมพบออกความเห็น

คำพูดของจิรันทำให้ผมหวนนึกถึงอมตวาจาของมหาตมาคานธี เอกบุรุษผู้นำเอกราชกลับสู่อินเดีย คานธีพูดถึงหลักอหิงสาไว้ว่า “ความหมายของคำว่า ‘อหิงสา’ ตามตัวอักษรนั้น อาจมีความหมายถึงการไม่ใช้ความรุนแรง แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันมีความหมายที่สูงส่งอย่างยิ่ง และเป็นความหมายที่สูงส่งอย่างไร้ขีดจำกัดเสียด้วย”

นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก

เรื่อง ทรงวุฒิ อินทร์เอม และอธิวัฒน์ ศิลปเมธานนท์ ภาพถ่าย ทรงวุฒิ อินทร์เอม​

ตะลอนทัวร์อินชอน ! โกออน 5 แลนด์มาร์กน่าเที่ยวตระการตา (ตอนที่ 1)

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/453793

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 1 ต.ค. 2557 09:04

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงและสถานที่เที่ยวน่าสนใจในเกาหลีใต้มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโซลหรือปูซาน สองอันดับเมืองใหญ่ประเทศของเกาหลีใต้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักสถานที่เที่ยวในอินชอน เมืองใหญ่อันดับ 3  ที่ขึ้นแท่นเรื่องความสวยงามและสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายเช่นกัน ครั้งนี้ไทยรัฐออนไลน์ขอเปลี่ยนบรรยากาศ ติดกระแสเอเชียนเกมส์พาคุณโกออนตะลอนทัวร์ 5 สถานที่เที่ยวในอินชอนกันดูบ้าง จะน่าสนใจขนาดไหนไปดูกัน …

1. สวนซายุ
สวนแบบตะวันตกแห่งแรกของเมืองอินชอน ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ ที่สามารถมองไปยังท่าเรือขนาดใหญ่และทิวทัศน์สวยงามของชายหาด Wolmido ได้ สวนซายุเป็นแลนด์มาร์กและแหล่งพักผ่อนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองยอดนิยมติดอับดับ ด้วยความเงียบสงบและธรรมชาติที่รายล้อมทำให้ดึงดูดผู้คนสัญจรผ่านไปมาได้ดีทีเดียว แถมที่นี่ยังมีศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีใต้และเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ไปในตัวเวลามาพักผ่อนด้วย

นอกจากนี้บริเวณกลางสวนยังมีอนุสาวรีย์รำลึกถึงนายพลแม็กอาเธอร์ นายทหารอเมริกัน ผู้นำกองทัพสหประชาชาติขึ้นบกที่อินชอนเพื่อช่วยเกาหลีใต้ในระหว่างสงครามเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ แสดงถึงสัมพันธไมตรีที่ดีกว่าร้อยปีของเกาหลีใต้และอเมริกามายาวนาน

สวนชายุ – Chayu Park

2. สะพานอินชอน
แลนด์มาร์กที่น่าสนใจอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะยามค่ำคืน แสงไฟส่องประกายสะท้อนสะพานอินชอนอันงดงามสะดุดตา ดูภายนอกเผินๆ อาจเหมือนสะพานแขวนทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันมีความพิเศษซ่อนอยู่…ด้วยรูปทรงที่คดเคี้ยวเหนือผืนน้ำด้วยความสูงเท่ากับตึก 63 ชั้น และมีความยาวกว่า 2.38 กิโลเมตร แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้าทางด้านวิศวกรรมของเมืองอินชอนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสะพานแขวนนี้ขึงด้วยเคเบิลที่ยาวเป็นอันดับ 5 ของโลก นับว่าเป็นสะพานที่มีขนาดใหญ่และมีระยะทางที่ยาวที่สุดในเกาหลีใต้ก็ว่าได้ ยังไงก็ตาม ผลงานนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบของสถาปัตยกรรมสุดเริ่ดโดยนิตยสารบริทิช วีคลี่ ของอังกฤษด้วยนะ … ธรรมดาซะที่ไหนล่ะ

สะพานอินชอนยามค่ำคืน..

3. ชอนดุงซา หรือวัดชองดุง
สถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจบนเกาะคังฮวา วัดชอนดุงถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย 3 อาณาจักรโบราณ หรือประมาณ 1,600 ปีที่แล้ว มีผลงานเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะระฆังเหล็กที่หาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่มาสามารถชมและหาซื้อสินค้าพื้นเมือง อย่างเช่น โสม เสื่อทำจากวัสดุธรรมชาติ และสินค้าหัตถกรรมประเภทงานจักรสานกลับไปเป็นของฝากได้ที่นี่ …. รับรองไม่ผิดหวัง

วัดชองดุง – Jeondeungsa
วัดชองดุง – Jeondeungsa …ตอนหิมะตกสวยมาก

4. หมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลี 
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมจำนวนมาก ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จำลองให้เห็นสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของชาวเกาหลีในสมัยโบราณ คุณจะได้สัมผัสกลิ่นอายโบราณและเหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่งจริงๆ หมู่บ้านแห่งนี้มีช่างทำภาชนะดินเผา ช่างตีเหล็ก ช่างฝีมือประเภทต่างๆ อย่างเช่น เช่นการปั้นหม้อ การทอผ้า และมีกิจกรรมอื่นๆ แบบดั้งเดิม ซึ่งได้มีการฝึกปรือฝีมืออันเป็นอาชีพดั้งเดิมของแต่ละท้องถิ่น

ภายในหมู่บ้านพื้นเมืองมีบ้านแบบต่างๆ กว่า 260 หลังให้คุณเดินชมแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก และยังมีอัฒจันทร์ไว้สำหรับชมการแสดงดนตรีและระบำพื้นเมืองกลางแจ้ง เพื่อให้คุณเข้าใกล้วัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมากขึ้นด้วย !

หมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลี – Korean Folk Village
หมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลี – Korean Folk Village

5. ทะเลอินชอน
หาดทรายเลียบน้ำทะเล และเกาะต่างๆ ของอินชอนตลอดแนวฝากฝั่ง ยังคงความงดงามและเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ไม่จางหาย ถ้าคุณเหนื่อยจากการทำงานขอแนะให้คุณลาพักร้อนมาเที่ยวที่นี่สัก 3-4 วัน ไม่เพียงคุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิด แต่คุณยังได้มาชาร์ตพลังกาย พลังใจเต็มที่จนฉ่ำปอด พักผ่อนสมองจากความวุ่นวายและความเหนื่อยล้าทั้งหมด แถมที่นี่คุณยังสามารถเดินเรือไปยังเกาะต่างๆ ร่วมทำกิจกรรมสนุกมันส์ๆ ท้าทายความกล้า อย่างปีนเขา ดำน้ำ เก็บเป็นประสบการณ์ประทับใจกลับไปด้วย

สำหรับเกาะที่มีชื่อเสียงของอินชอน ได้แก่ เกาะ Daecheongdo, เกาะ Yeonpyeongdo, เกาะ Ganghwado, เกาะ Yeongjongdo, เกาะ Muuido และเกาะ Deokjeokdo

ทะเลอินชอน – Incheon Island

แต่ละสถานที่น่าไปจนต้องบอกต่อเลยใช่ไหมล่ะ ว่าแล้วลองชวนเพื่อนๆ เก็บตังค์ออกเดินทางกันเลยดีกว่า !!

Central THE BLACK บัตรเครดิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/453465

โดย ทีมข่าวหน้าสตรี 30 ก.ย. 2557 05:15

ยุวดี จิราธิวัฒน์ (ขวาสุด) ต้อนรับแขกวีไอพี มนันย์พร–ประภาพร เจียรวนนท์.

เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของบัตรเครดิตระดับ World Elite Master Card บัตรแรกในประเทศไทยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเซ็นทรัล เครดิตคาร์ด ในเครือกรุงศรี จัดงานดินเนอร์สุดหรู “Central THE BLACK Night” เปิดตัวบัตรเครดิต “Central THE BLACK” ซึ่งคัดสรรสมาชิกเพียง 300 คนเท่านั้นให้เป็นผู้ถือบัตร ที่โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส เมื่อเร็วๆนี้

2 ผู้บริหารห้างฯเซ็นทรัล นิตย์สินี จิราธิวัฒน์ และสิริเกศ จิรกิติ ต้อนรับ สาระ ล่ำซำ.

ก่อนเข้าสัมผัสบรรยากาศดินเนอร์สุดหรู ผู้มาร่วมงานได้ตื่นตาตื่นใจกับนิทรรศการของรักของหวงชิ้นสำคัญในธีมสีดำของคนดังที่นำมาโชว์ในงาน อาทิ กล้องคู่ใจ Leica S Edition 100 และนาฬิกา The EL1 Chronograph ของจำนงค์ ภิรมย์ภักดี, กระเป๋าจูดิธสีดำประดับเพชรคริสตัลของสุรีย์ รัตนหิรัญญา, กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง สีดำหรูของอุษณีย์ วรวงศ์วสุ เป็นต้น ในส่วนของดินเนอร์ เชฟเอียน–พงษ์ธวัช เฉลิม-กิตติชัย เชฟใหญ่แถวหน้าของเมืองไทยได้มารังสรรค์เมนู The Black เพื่องานนี้โดยเฉพาะ มีอาทิ แก้มเนื้อวัวสไตล์ฝรั่งเศส, บอสตันล็อบสเตอร์ราดซอสมาดากัสการ์วานิลลา เป็นต้น

อุษณีย์ วรวงศ์วสุ เจ้าของกระเป๋าหรู.

ในงาน ยุวดี จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า เซ็นทรัล เครดิตคาร์ด มีอายุนานกว่า 30 ปี เริ่มตั้งแต่การมีเซ็นทรัล คาร์ดของเราเอง จนในที่สุดมาร่วมกับมาสเตอร์คาร์ด และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมี Central THE BLACK เพื่อสร้างความพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งผู้ครอบครองบัตรจะได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า ทั้งสิทธิประโยชน์จากห้างสรรพสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ร้านอาหารหรูมีระดับ รวมทั้งการเดินทาง โดยเฉพาะการมอบความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 60 ล้านบาท

สุรีย์ รัตนหิรัญญา นำกระเป๋า จูดิธสีดำมาจัดแสดง.

สำหรับบัตร Central THE BLACK ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษโดยใช้ฟอยล์สีเทาด้าน เครื่องหมาย Master card เป็นสีเมทัลลิก มาพร้อมกับกระเป๋าบรรจุบัตรที่ออกแบบโดย BOYY ดีไซเนอร์คนไทยที่ไปโด่งดังในนิวยอร์ก.

จำนงค์ ภิรมย์ภักดี นำกล้องถ่ายรูปตัวโปรดและ นาฬิกาที่สะสมมาโชว์ในงานด้วย.

ภาพเล่าเรื่อง : ไม่งามให้ทุ่มโพเดี้ยมใส่! ‘หลีเป๊ะ’ สวยเป๊ะจริงๆ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/453109

โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 28 ก.ย. 2557 08:05

หาดทรายสีขาว ท้องฟ้าสีคราม ท้องน้ำสะท้อนแสงวิบวับราวกับกระจกใส…เจ้าของภาพมานั่งออกท่าทางราว ‘วาทยกร’วงออร์เคสตร้าสะบัดไม้บาตอง (Baton) คล้ายภาพศิลปินตวัดแปรงวาดภาพบรรยากาศ เล่นเอาคนที่ไม่เคยไป หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

บางจังหวะแวบเผลอหลับตาเคลิบเคลิ้มคล้ายๆ กำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ สายลม เปลวแดด ความเย็นฉ่ำของสายน้ำเย็นใส และปะการังสัตว์น้ำสีสวยสดได้อย่างชัดเจน

ภาพเล่าเรื่องสัปดาห์นี้ ชมชน ทุมมานนท์ หนุ่มนักเดินทาง กราฟิกมาดเท่มือฉมังของไทยรัฐในยุคใหม่ ชายหนุ่มที่บ้างาน บ้าพลังสร้างสรรค์และชอบถ่ายภาพ ออกเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติด้วยสายตาที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เก็บภาพสวยๆ บรรยากาศที่ท้องฟ้าสีฟ้า ท้องน้ำใส หาดทรายขาวสวย โดยมีกล้องถ่ายภาพทำหน้าที่ดวงตา เก็บบันทึกภาพความประทับใจ พร้อมกับการการันตีหนักแน่นว่า ‘หลีเป๊ะ’ สวยใสแบบไร้ฟิลเตอร์

สวยเป๊ะจริงๆ ชนิดที่ดูแล้วไม่อยากไป ให้ ‘ทุ่มโพเดี้ยม’ ใส่เจ้าของภาพได้เลยทีเดียว.

เรือลำน้อย

 

ความขาวของหาดหลีเป๊ะ
ทะเลกับท้องฟ้าสีสดใส
ความสงบที่หลีเป๊ะ
ตอนเช้าธรรมชาติเปลี่ยนอารมณ์

 

ชีวิตชาวบ้าน

 

เรียงเอาไว้มีแต่รัก
เหล่าปลาทักทายผู้มาเยือน
ใต้น้ำใส
ดำน้ำชมปะการัง

 

ธรรมชาติใต้น้ำ

 

กินอาหารจากผู้มาเยือน

 

มาเล่นกันเถอะๆ

 

ไอ้เสือบุก

 

พิสูจน์ความสวย

 

ปลาชุมนุม
หยอกล้อธรรมชาติ

 

ใสอย่างกับกระจก

 

 

ทดสอบความใส

 

แหล่งอาหาร
เพราะเรานั้นคู่กัน

 

ไอเลิฟยู ธรรมชาติ

 

เย็นค่ำบรรยากาศเปลี่ยนสี

**รู้ไว้ใช่ว่า**

เกาะหลีเป๊ะ หรือ เกาะลีเป๊ะ เป็นเกาะกลางทะเลอยู่ในเขตจังหวัดสตูล อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอาดัง ห่างจากแผ่นดินของจังหวัดสตูล 62 กิโลเมตร นอกเขตอำนาจการควบคุมของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาในจังหวัดสตูล เป็นชายหาดบนเกาะที่อุดมไปด้วยท้องทะเลที่สดใสสะอาด สวยงาม เป็นเกาะที่เงียบสงบ และมีน้ำที่ตื้นเขิน จุดเด่นของทางเกาะหลีเป๊ะ คือ ความเป็นธรรมชาติของปะการังรายล้อมรอบเกาะ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายละเอียดนิ่มนวลขาวเหมือนแป้ง เกาะหลีเป๊ะ มีชายหาดที่สำคัญๆ อยู่ 4 หาด ได้แก่

หาดพัทยา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด

หาดซันไรท์ อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะหลีเป๊ะ ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชาวเล

หาดคาร์มา อยู่ทางตอนเหนือ ซึ่งหันหน้าเข้ากับเกาะอาดัง

หาดซันเซ็ท อยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งหันหน้าเข้ารับแสงของพระอาทิตย์ ตามชื่อของหาด

เกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่มีความกว้างระหว่างหัวเกาะไปถึงท้ายเกาะประมาณ 3 กิโลเมตร จัดเป็นเกาะขนาดเล็ก ถือเป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายทางตอนใต้ของทะเลอันดามันของไทย เนื่องจากพื้นที่ถัดไปคือทะเลสากลที่เชื่อมกับทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน คือ มาเลเซีย.

พัทยา…ฮาเฮ!! เติมเต็มฝัน…วันกระโปรงบานขาสั้น

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/453121

โดย มิสป๊อปปูลาร์ 28 ก.ย. 2557 05:01

จำได้มั้ยค้าคุณขา สมัยที่ มิสป๊อปปูลาร์ ยังนุ่งกระโปรงบาน มีหนุ่มๆใส่ขาสั้นมาแวะเวียนหยอดขนมจีบไม่ขาดสาย…อุ๊ย!พูดแล้วก็เขินละค้า…

สมัยนั้นถ้าหนุ่มๆชวนไปเที่ยวพัทยาล่ะก็…หัวใจมันเต้นตูมตามๆเลยทีเดียวเชียว

ผ่านไป 30 ปีหย่อนๆ บริษัทบัตรเครดิตกรุงไทย หรือเคทีซี เขาจัดงานขอบคุณสื่อมวลชน ด้วยการพาไปตะลอนพัทยา…แบบไม่สมบุก สมบันก็เลยตกปากรับคำ…กะว่าจะไปเติมเต็มความฝันวันกระโปรงบานขาสั้น…อีกสักครั้ง…!!

พัทยา…วันนี้เปี๊ยนไป๋จากสมัยก่อนเยอะทีเดียวค้า…เป็นเมืองท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบ ทัวร์จีนกระหึ่ม ทัวร์รัสเซียกระหน่ำ แย่งกันกินแย่งกันใช้ นักท่องเที่ยวไทยหดหายไปเยอะ…แม่ค้าแถวนั้นรำพึงรำพันแบบเล่าสู่กันฟังค้า…

ประเดิมอาหารกลางวันมื้อแรกที่ร้าน “เดอะ กลาสเฮ้าส์” ร้านดูออกจะไฮโซนิดๆ นี่ถ้าติดหมวกปานามาไปด้วย ก็ดูจะเข้ากันดีกับบรรยากาศ ร้านอาหารริมชายหาดส่วนตัว อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งตำ ยำ แกง ผัด ทอด จะเลือกเป็นอาหารทะเล ประเภทปู ปลา กุ้ง หอย หรือ อาหารฝรั่งอย่าง สปาเกตตี, ซี่โครงหมูย่าง, พอร์กช้อป เขาก็มีให้เลือกหลากหลาย ร้านหาไม่ยาก อยู่ตรงข้ามกับ
โรงละครอลังการบนถนนสุขุมวิท มองเห็นป้ายโตๆชัดเจน

เสร็จสรรพกับเรื่องอาหารก็ได้เวลาไปกระชากวัยกันต่อที่ “สวนน้ำการ์ตูนเน็ตเวิร์ก อเมโซน” โครงการสวนน้ำภายใต้ลิขสิทธิ์ “การ์ตูนเน็ตเวิร์ก” แห่งแรกของโลก!!

กรี๊ดสนั่น!!! ลั่นบางสะเหร่…กันก็คราวนี้ละค้า…สำหรับสาวๆพีอาร์ และนักข่าวรุ่นกระเตาะ เขาแถลงข่าวยังไงฟังได้ไม่รู้ความ เพราะมัวตื่นตาตื่นใจกับสไลเดอร์ยักษ์ หน้าตาเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่เคยเห็นสมัยเด็กๆ รางเหล็กหลากสีไขว้ไปไขว้มา เขาเรียกมันว่า Humungaslide…ค้าคุณขา!!

หลายคนท้าทายกึ่งอ้อนวอนให้ขึ้นไปเล่น แต่งานนี้ มิสป๊อปปูลาร์ ขอยอมแพ้ เพราะกว่าจะหอบสังขารไต่ราวบันไดขึ้นไปรอสไลด์ลงมาคงหมดแรงเสียก่อน รอลุ้นหนุ่มๆสาวๆ ส่งเสียงกรี๊ดๆๆสนุกสนานสำราญบานดีกว่า

และด้วยความที่เป็นการ์ตูนเน็ตเวิร์กอะไรๆ ในนี้ก็เลยต้องเกี่ยวข้องกับการ์ตูน อย่างเจ้าสไล–เดอร์ยักษ์อันนี้ เขาว่าสร้างจากแรงบันดาลใจจากตัวละคร ฮิวมังโกซอร์ Humungousaur เอเลียนยักษ์ใหญ่
สุดฮิตในการ์ตูน Ben 10 หรือ เบ็นเทน….ของเด็กๆนั่นเอง

เวลาเล่นเขาจะใช้แพยาง 2 สไลด์ไปตามส่วนโค้งกลมของสไลเดอร์ ที่มีทั้งแรงดันน้ำความเร็วสูง สนุกสุดมันส์กันก็ตอนนี้ละค้า …ความคดเคี้ยวคดโค้งของสไลเดอร์หมุนวนไปวนมา ก่อนจะลงมาที่รางสไลด์ที่สูงจากพื้นน้ำถึง 8 เมตร และสไลด์ลงน้ำแบบตื่นเต้นๆ

นอกจากสไลเดอร์ยักษ์แล้ว ที่นี่เขายังมีทะเลเทียม เล็กกว่าทะเลกรุงเทพที่สวนสยาม แต่ความแรงของคลื่นที่สร้างขึ้นดูจะเหวี่ยงโยนได้สะใจกว่า….นี่ขนาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังดูน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ ถ้าเสร็จสมบูรณ์คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจเด็กๆให้เข้าไปอยู่ในโลกของแฟนตาซีที่เป็นจริงแบบสุดเหวี่ยงแน่ๆ

ออกจากการ์ตูนเน็ตเวิร์ก รถบัสคันใหญ่แล่นตรงมาเลี้ยวเข้าถนนพัทยาสายสองสุดทางที่โรงแรมสูงใจ กลางพัทยา ที่ชื่อว่า Siam@Siam คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ เขาว่าเป็นโรงแรมประเภทดีไซน์ โฮเต็ลแบบอาร์ตๆเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

จุดขายของที่นี่คือความเก๋ค้า…คุณขา!! ทั้งด้วยการออกแบบตกแต่งแบบใช้จินตนา การล้วนๆ ทั้งคนสร้างและแขกที่มาพัก เพราะแม้จะอยู่ในพัทยาแต่ไม่ติดทะเล จึงต้องหาจุดขายอื่นมาเป็นตัวช่วย

อย่างแรก มิสป๊อปปูลาร์ คิดว่าเป็นเรื่องของความคิดรวบยอดหรือ คอนเซปต์ในการทำโรงแรมแบบนี้ที่ไม่เน้นความหรูหรา แต่เน้นความเก๋ค่า…ทั้งสีสันและมุมอาร์ตๆไว้สำหรับถ่ายรูป

หุ่นหน้าตาแปลกๆรถเก่าๆ คนอารมณ์ศิลป์น่าจะชอบโรงแรมนี้นะค้า…

แต่ที่ดีไปกว่านั้นเห็นจะเป็นเรื่องการ บริการค้า…ต้องบอกว่าน้องๆพนักงานที่นี่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีใจบริการ พร้อมที่จะช่วยเหลือแก้ปัญหา ตรงนี้ละค้า…ที่ มิสป๊อปปูลาร์ ว่า ถึงโรงแรมจะสวยดีแค่ไหน ถ้าพนักงานไม่โอเค…ความสุขของการท่องเที่ยวจะหายไปทันทีเลย

ดินเนอร์มื้อค่ำกันที่ชั้น 6 ของโรงแรมห้องอาหารชื่อ Big Fish ไม่ใช่ห้องปลาใหญ่นะคะ แต่เพราะห้องนี้เขาสร้างให้มีเพดานสูง มีกระจกรอบ เวลานั่งกินอาหารเลยเหมือนกับนั่งอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่ พูดง่ายๆก็คือเรานั่นล่ะค่ะเป็นปลานั่งอยู่ในตู้

อาหารก็มีหลากหลายหน้าตาดีทีเดียวเชียว เสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ต์ไม่อั้น คุณภาพอาหารปานกลางสมกับราคา

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปชมเมืองพัทยากันแบบ 360 องศา บนชั้น 25 ของโรงแรม ซึ่งดัดแปลงเป็นทั้งสระว่ายน้ำและพื้นที่นั่งชิลๆฟังเพลงหลังดินเนอร์

รูปปั้นลิงยักษ์ตัวใหญ่อยู่ในน้ำตระหง่าน หลายคนถามว่าเป็นตัวอะไร มิสป๊อปปูลาร์ อาศัยความรู้งูๆปลาๆเดาว่า น่าจะเป็น มัจฉานุ ตัวละครในรามเกียรติ์ที่มีแม่เป็นปลาคือ นางสุพรรณมัจฉา และพ่อเป็นลิงคือหนุมาน

ถามผู้จัดการโรงแรมเขาบอกว่าใช่…กิ๊บเก๋ไปอีกแบบคร้า…

ห้องนอนของโรงแรมนี้ไม่ใหญ่โตนักด้วยขนาดพื้นที่จำกัด แต่สีสันบอกได้เลยว่าสุดยอด…เหมือนอยู่ในแกลเลอรี่ ได้อารมณ์สุนทรีย์ในอีกแบบหนึ่ง บางห้องมีชิงช้าไว้ที่ระเบียงสำหรับนั่งอ่านหนังสือ อันนี้น่าจะเหมาะ กับคนวัยเดียวกับ มิสป๊อปปูลาร์…ละค้า

ขากลับเจ้าภาพเขาพาไปชม พิพิธภัณฑ์เทดดี้ กับ พิพิธภัณฑ์แบบทริกอาย ในเกาหลี เจ้าของเป็นนักธุรกิจเมืองโสมขาว มาสร้างพิพิธภัณฑ์เล็กๆน่ารักไว้รองรับนักท่องเที่ยวก็ดูสนุกสนานไปอีกแบบสำหรับจินตนาการแบบเด็กๆ แต่ผู้ใหญ่คงอาศัยแค่ความสุขเล็กๆน้อยๆที่ได้เห็นเด็กๆมีความสุข

มื้อกลางวันก่อนกลับ กทม. เจ้าภาพพาไปเลี้ยงอาหารฝรั่งหรูหราหน้าตาดี รสชาติก็ไม่ขี้เหร่นัก แต่สำหรับคนไทยแล้ว มิสป๊อปปูลาร์ นึกถึงร้านแกงป่าชื่อดังอย่างร้านจุกโจ้ ที่อยู่ริมถนนสุขุมวิทขาออก ก่อนถึงโรงแรมแอมบาสซาเดอร์มากกว่า…

แนะนำเลยว่าถ้าไปพัทยาควรแวะไปลิ้มลองรสชาติอาหารไทยๆรสจัดแต่ไม่จัดจ้านร้านนี้ จานเด็ดของร้าน คือ แกงป่าปลาเห็ดโคน กับ ปลาอินทรีทอดน้ำปลา รับรองไม่ผิดหวังค่า…

มิสป๊อปปูลาร์

ไปเที่ยวเกาะพะงัน ดูพระจันทร์สวย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/453126

โดย ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ 28 ก.ย. 2557 05:01

นักท่องเที่ยวพักผ่อนบนชายหาดริ้น.

ผมได้รับเชิญจากคุณศุภชัย อนันอริยธรรม หรือ คุณคิง ซึ่งเป็นเพื่อนกับทีมงานครอบจักรวาล ให้ไปท่องเที่ยวที่เกาะพะงัน ไปชมความงามของหาดริ้นนอก ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระจันทร์เต็มดวงขึ้นเหนือผิวน้ำทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

คุณศุภชัย อนันอริยธรรม.

ผมจึงส่งทีมงานไปตามคำเชิญเพื่อไปเก็บข้อมูลและนำมาเล่าให้ท่านฟัง

เกาะพะงันตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารเสด็จ-เกาะพะงัน เป็นหนึ่งในสองอำเภอของจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่อยู่กลางทะเล เป็นอำเภอที่มีพื้นที่น้อยที่สุดของจังหวัดสุราษฎร์ธานี คือ มีเนื้อที่ประมาณ 168 ตารางกิโลเมตร อีกเกาะที่เป็นอำเภอ คือเกาะ สมุยซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า อยู่ทางตอนใต้ของเกาะพะงันห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร ส่วนเกาะพะงันอยู่ห่างจาก จ.สุราษฎร์ธานี 100 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีชายหาด สันทรายและแนวหินปะการังรอบเกาะ มีประชากรประมาณ 15,000 กว่าคน ประกอบอาชีพทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ ประมง งานบริการ และค้าขาย

บรรยากาศสบายๆ ท่ีหาดริ้น.

เกาะพะงันนอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังเป็นเกาะที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนาน เพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด ชาวเรือจะแวะมารับน้ำจืดจากเกาะแห่งนี้ นอกจากนี้ คนบนเกาะพะงันยังมีความภาคภูมิใจที่พระมหากษัตริย์ 4 พระองค์ คือ รัชกาลที่ 5, 6, 7 และรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสเกาะพะงัน รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสถึง 14 ครั้ง นั่นหมายความว่าบนเกาะแห่งนี้ต้องมีของดี มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและชาวบ้านที่มีอัธยาศัยดี เจ้านายหลายพระองค์จึงได้เสด็จฯมาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

น้ำตกธารเสด็จ.

เมื่อก่อนคนไม่นิยมไปเที่ยวเกาะพะงันแต่จะไปเที่ยวเกาะสมุยมากกว่า เพราะการเดินทางสะดวกกว่า มีโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานบันเทิงครบครันและชายหาดที่สวยงาม แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปเที่ยวเกาะพะงันมากขึ้น เพราะนอกจากจะมีฟูลมูนปาร์ตี้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีชายหาดสวยๆหลายหาด สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคตลอดจนโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานประกอบการครบครันไม่แพ้เกาะสมุย และที่สำคัญยังมีความเป็นธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล

พระจันทร์เต็มดวงท่ีเกาะพะงัน.

ผมได้ยินมาว่าที่เกาะพะงันมีฟูลมูนปาร์ตี้มานานหลายสิบปีแล้ว แต่ยังไม่เคยไปดูหรือไปร่วมงาน จึงนึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร และวันที่ทีมงานไปพักก็ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวงด้วย ทีมงานจึงต้องขอให้คุณคิง ซึ่งเป็นเจ้าของแฟร์รี่แลนด์คลับรีสอร์ท (Fairyland Club Resort) ที่ตั้งอยู่ที่หาดริ้นนอก ชายหาดหลักที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของงานปาร์ตี้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ฟังอย่างละเอียด

นักท่องเที่ยวสนุกสนานกับบรรยากาศปาร์ตี้ริมหาด.

ฟูลมูนปาร์ตี้ Full Moon Party หมายถึงงานฉลองวันพระจันทร์เต็มดวง คุณคิงมาทำรีสอร์ตได้ 20 ปี แต่ได้ฟังเพื่อนๆ ที่เป็นคนท้องถิ่นเล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาพัก โดยมีชาวประมงคนพื้นที่เป็นคนพาไปท่องเที่ยว ก่อนกลับก็เลยจัดงานปาร์ตี้เล็กๆขึ้น บังเอิญคืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง และคืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงใหญ่เป็นพิเศษ ประกอบกับอาหาร เครื่องดื่ม เสียงเพลง เสียงกีตาร์ กลองทอม และการเต้นรำบนชายหาด ในบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสนุกสนาน ประกอบกับหาดริ้นนอกเป็นหาดที่โค้งเว้าเป็นครึ่งวงกลมมีความยาวของหาดทรายขาวประมาณกิโลกว่าๆ เมื่อพระจันทร์เต็มดวงโผล่พ้นน้ำสูงประมาณ 30 องศา ลอยเด่นอยู่กลางหาดสาดแสงระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าสวยสุดพรรณนา จึงได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ดูพระจันทร์ขึ้นที่สวยติดอันดับโลก

บ้านพัก 30 หลังของแฟร์รี่แลนด์ คลับรีสอร์ท หาดริ้น.
ภายในห้องพักแฟร์รี่แลนด์ คลับรีสอร์ท.

ฟังคุณคิงเล่าแล้วมองเห็นภาพความสนุกสนานของนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นจริงๆ ที่สำคัญผมว่า ความน่ารัก ความเป็นกันเอง และการบริการที่ประทับใจ จึงทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้คบหาสมาคมเป็นเพื่อนซี้กัน กลับมาเยี่ยมเยือน มาจัดงานปาร์ตี้ลักษณะนี้อีกหลายครั้ง โดยชวนเพื่อนๆ มาร่วมงานมากขึ้นๆ แถมยังบอกกล่าวกันเป็นทอดๆ ปากต่อปาก จากกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียวก็กลายมาเป็นหลายกลุ่ม เพิ่มไปเรื่อยๆ จนติดลมบนมาจนทุกวันนี้

กิจกรรมยามบ่ายบนชายหาดริ้น.

คุณคิงบอกว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะเปิดดูปฏิทินจันทรคติ เพื่อดูว่าในรอบปีมีวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงวันไหนบ้าง เขาก็จะวางแผนจองที่พักล่วงหน้าเป็นปีๆ เพื่อจะได้มาร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้ครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เนื่องจาก 1 ปี จะมีวันขึ้น 15 ค่ำแค่เดือนละครั้ง ความต้องการกับสถานที่พักและชายหาดที่มีความยาวกิโลกว่าๆ จึงไม่เพียงพอกับนักท่องเที่ยวที่มากถึง 40,000 คน ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน จึงจัดปาร์ตี้เพิ่มขึ้นแบบไม่สนว่าจะฟูลมูนหรือไม่ พระจันทร์ครึ่งดวง (Half Moon Party) หรือในคืนเดือนมืด (Black Moon Party) ก็จัด สรุปว่าจัดกันบ่อยๆ แต่จะไปจัดในสวนของชาวบ้าน ไม่ได้จัดที่หาดริ้น-นอก เดี๋ยวนี้ยังเพิ่มรอบพิเศษ คือ จัดฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่โดยไม่ต้องมีพระจันทร์เต็มดวงก็ได้ กิจกรรมบนชายหาดก็จะมีดื่มกิน ร้องเล่นเต้นรำ เพนต์สีสะท้อนแสงบนตัว กลืนไฟ จุดพลุ สนุกสุดเหวี่ยงจนถึงเช้าวันใหม่

วิวทะเลจากศาลเจ้าแม่กวนอิม.

คุณคิงฝากบอก นักท่องเที่ยวไทยว่า ถ้าจะมาเที่ยวเกาะพะงันไม่ควรมาตอนที่มีฟูลมูนปาร์ตี้ เพราะบนเกาะจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ห้องพักเต็ม อาหารการกิน การเดินทางไม่สะดวกเท่าที่ควร แต่ถ้าเป็นวันอื่นก็มาได้ เพราะบนเกาะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น หาดทรายขาวรายล้อมทั้งเกาะให้เลือกไปพักผ่อน หรือจะไปดำน้ำดูปะการังสวยๆ ที่เกาะม้า ไปเล่นนํ้าตกที่ อุทยานแห่งชาติ นํ้าตกธารเสด็จ นํ้าตก ธารประพาส นํ้าตกแพง ที่มีนํ้าใสไหล ตกลงมาเป็นชั้นๆ หรืออาจจะเข้าป่าไปสำรวจธรรมชาติตามเส้นทางเดินป่าศึกษาพืชพรรณไม้และสัมผัสความสมบูรณ์ของผืนป่า ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นกล้วยไม้เพชรหึง ที่เป็นกล้วย ไม้สัญลักษณ์ของอุทยานฯ แห่งนี้ก็ได้นะจะบอกให้

วัดป่าแสงธรรม.

บนเกาะยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไปสักการะหลายแห่ง เช่น วัดมธุรวราราม จะมีบันไดเดินขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทจำลองที่อยู่บนยอดเขา วัดเขาถ้ำ เป็นสำนักสงฆ์ที่ชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมมานั่งวิปัสสนา วัดป่าแสงธรรม ก็เป็นอีกวัดที่นักท่องเที่ยวแวะมาทำบุญเพราะเดินทางสะดวก หรือจะไป ศาลเจ้าแม่กวนอิม ที่มีความงดงามตั้งอยู่ที่บ้านโฉลกหลำ เมื่อขึ้นไปนมัสการแล้วท่านสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะพะงันที่หันหน้าสู่ทะเลได้สุดลูกหูลูกตา

เรือเฟอร์รี่ท่ีท่าเรือดอนสัก.

การเดินทางไปเกาะพะงันสามารถไปท่องเที่ยวได้ทั้งปี เดินทางสะดวกสบายไปได้หลายทาง จะนั่งรถไฟ เครื่องบิน หรือรถโดยสารก็จัดสรรเวลาให้ตรงกับบริษัทเรือเฟอร์รี่ที่บริการรับ-ส่งคนและรถข้ามไปเกาะพะงันที่ท่าเรือดอนสัก ขอแนะนำให้ขับรถส่วนตัวหรือเช่ารถตู้มาจะสะดวกมาก เพราะเราจะได้ไม่ต้องแบกสัมภาระขึ้นลงเรือ และการเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะพะงันค่อนข้างลำบาก ไม่มีรถเมล์มีแต่รถสองแถว จะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งต้องเหมารถสองแถวหรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง สนนราคาตามระยะทาง มีบริการรถเช่าทั้งรถเก๋ง รถตู้ รถกระบะหาเช่าได้ที่บริเวณท่าเรือท้องศาลา ส่วนอาหารการกินก็มีร้านอาหารหลายร้านให้เลือกมากมายเช่นกัน

ขอขอบคุณ คุณศุภชัย อนันอริยธรรม และพนักงานของแฟร์รี่แลนด์คลับรีสอร์ท ที่ดูแลทีมงานด้วยอาหารใต้อร่อยๆ บ้านพักที่แสนสบาย สะอาดสวยงามติดชายหาด แม้จะไม่ได้เห็นพระจันทร์วันเพ็ญเต็มดวง และร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้ในคืนเดือนเพ็ญก็ตาม แต่การได้มานอนริมหาดที่สวยที่สุดติดอันดับโลกก็เป็นความสุขที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม

การแสดงควงกระบองไฟ บริเวณชายหาด.

ตราบใดที่พระจันทร์ยังขึ้นและส่องแสงสว่าง เกาะพะงันก็ยังคงเป็นสวรรค์ของคนรักฟูลมูนปาร์ตี้

สวัสดี.
ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์

สารคดี : ลอดลายลูกไม้เส้นสายวัฒนธรรม

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/452663

โดย ไทยรัฐอออนไลน์ 27 ก.ย. 2557 13:05

การปีนออกจากรถยุโรปคันเล็กว่ายากแล้ว ยิ่งถ้าสวมหมวกสูง 33 เซนติเมตร เผลอๆ คุณออกจากรถไม่ได้เลย แต่อะเลกเซีย กาอูดาล วัย 87 ปี และมารี-หลุยส์ โลเปเร วัย 90 ปี กลับออกจากที่นั่งด้านหลังรถซีตรองสีเงินของเพื่อนได้อย่างสง่างาม เจ้าของบ้านปรี่เข้าต้อนรับพวกเธอด้วยรอยยิ้มประหนึ่งรับเสด็จเจ้าหญิง

เจ้าหญิงกระนั้นหรือ อันที่จริงทั้งคู่ทำงานในโรงงานปลากระป๋องมาหลายสิบปี แต่กาอูดาลและโอเปเรก็เป็นคนดังในภูมิภาคแถบนี้ของฝรั่งเศสที่เรียกกันว่า บีกูดองเปอี (Bigouden Pays) ในเขตฟีนีสแตร์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุดของแคว้นบริตตานี มีผู้หญิงเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ยังใส่เครื่องประดับศีรษะทรงสูง หรือ กวฟ (coiffe) เป็นประจำ เฉกเช่นวิถีชีวิตประจำวันในสมัยก่อน

เกเมเน-ซูร์-สกอร์ฟ, มอบีออง: จุดเด่นของชุดพื้นเมืองเบรอตาญคือ กวฟ หรือเครื่องประดับศีรษะ

แม้หลังจะโค้งงุ้มไปตามวัย แต่แผงลูกไม้ยังคงตั้งเด่นอยู่บนเรือนผมสีขาวสลวย ดูราวกับประภาคารที่ส่งสัญญาณให้รู้ว่า เธอคือผู้หญิงชาวบิกูดอง

บาต-ซูร์ –แมร์, ลัวร์-อัตลองติก: สมัยก่อนคนจะแยกแยะชาวเบรอตาญต่างชุมชนจากเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน

ชุดพื้นเมืองแบบเบรอตาญมีมากกว่าสิบแบบ แตกต่างไปตามหมู่บ้าน วาระที่ใส่ และยุคสมัย จากหมวกแก๊ปแบบง่ายๆ ที่สาวชาวไร่เคยใส่กันลมหรือแดดฝน ค่อยๆ เปลี่ยนขนาดและรูปทรงจนดูน่าทึ่งในสมัยศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบ กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินมากหน้าหลายตา อาทิ ปอล โกแกง ในสมัยก่อน กวฟ “เป็นเหมือนบัตรประชาชนค่ะ” โซเลน โบเอนเนก ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งบีกูดอง เปรียบเปรย “กวฟบอกให้รู้ว่า คุณเป็นใคร มาจากไหน หรือกำลังไว้ทุกข์ให้ใครสักคน”

แซง-นิโกลา-ดู-เปลอง, โกต-ดาร์มอร์: หมู่บ้านห่างไกลในแคว้นบริตตานีทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เคยขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง

อย่างไรก็ตาม พอล่วงถึงทศวรรษ 1950 หญิงสาวส่วนใหญ่พากันละทิ้งธรรมเนียมดั้งเดิม แต่ยังคงสวมชุดพื้นเมืองเฉพาะในวาระสำคัญของเบรอตาญ ดังเช่นหญิงสาวที่ปรากฏในภาพถ่ายเหล่านี้ พวกเธอต้องฝึกฝนตลอดทั้งปีเพื่อร่วมประกวดการแต่งกายชุดพื้นเมืองเต็มยศในเทศกาลเต้นรำฤดูร้อน บางครั้งพวกเธอก็ไปร่วมงานแต่งงานและพิธีแสวงบุญทางศาสนาเรียกว่า ปาร์ดอง ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเทศกาลฉลองนักบุญประจำท้องถิ่น

ฟูเอนอง, ฟีนีสแตร์: ผู้บุกเบิกการสวมกวฟแบบนี้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เนื่องจากได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเหล่าศิลปินโดยเฉพาะปอล โกแกง

ทุกเช้า กาอูดาลและโอเปเรจะดึงผม หวี และรวบผมเปียเก็บไว้ใต้หมวกคลุมผมสีดำที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ การสวมกวฟอย่างสมบูรณ์จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง และดูไม่เข้ากันเสียเลยกับภูมิภาคซึ่งติดมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือที่มีทั้งฝนและลมแรง เมื่อถามว่า ใส่แล้วสบายไหม กาอูดาลยักไหล่ก่อนตอบว่า “เราชินแล้ว” เธอพูดเหมือนกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ปนกับภาษาท้องถิ่นเบรอตาญ

เรื่อง อะแมนดา ฟีกล์ ภาพถ่ายโดย ชาร์ลส์ เฟรเช

คู่มือคนเมือง : ตะลอนลั๊นลาทรีอินวัน อาณาจักร 400 ล้าน คาเมล รีพับบลิค ชะอำ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/452959

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 27 ก.ย. 2557 08:05

“เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในชะอำ บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เนรมิตสถาปัตยกรรมโดยรอบตกแต่งในสไตล์โมร็อกโก”…คู่มือคนเมืองไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้ ขอเกริ่นนำถึงความอลังการของสถานที่แห่งนี้ก่อนที่เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุด “คาเมล รีพับบลิค”….

เราขอฟันธงว่าอีกไม่นานที่นี่จะต้องขึ้นแท่นเป็นสถานที่ที่เช็คอินที่ฮอตฮิตที่สุดอีกที่หนึ่งอย่างแน่นอน สำหรับ “คาเมล รีพับบลิค” (Camel Republic) ซึ่งต้องแอบบอกให้หลายๆคนอิจฉาเล่นๆว่า เราไปเช็คอินมาแล้ว!!! ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธีมพาร์คแห่งใหม่ ในชะอำ จ.เพชรบุรี บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 400 ล้านบาท โดยเกิดจากการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์

คาเมล รีพับบลิค
สีสันสดใสของสถาปัตยกรรมต่างๆ

“คาเมล รีพับบลิค” มีจุดเด่นที่รูปแบบการตกแต่งอาคารและสถาปัตยกรรมถูกตกแต่งขึ้นด้วยสไตล์โมร็อกโก ผสมผสานกับศิลปะสีสันสดใส ในรูปลักษณ์ที่แปลกตาสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ภายใต้คอนเซ็ปต์หลักในการก่อสร้าง คือ อูฐและฤดูร้อน(ต้องแอบกระซิบก่อนว่าแดดร้อนซะจริงๆ) นอกจากนี้ ยังได้มีการคัดสรรเครื่องเล่นที่เป็นที่สุดแห่งนวัตกรรมใหม่ล่าสุดระดับโลก ทันสมัย แปลกใหม่ และตื่นเต้นเร้าใจหลากหลายชนิดมาไว้ที่นี่ บางตัวเป็นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในเอเชียด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ อีกทั้งยังมีโซนสวนสัตว์ขนาดย่อมที่รวบรวมสัตว์หาดูยากหลายชนิด ดังนั้น “คาเมล รีพับบลิค” จึงเหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนและถ่ายรูปมากๆ

โดยใน “คาเมล รีพับบลิค” แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ โซน “เครื่องเล่น” ที่มีให้เลือกหลายชนิด โดยเฉพาะนวัตกรรมเครื่องเล่นที่ทันสมัยและมีที่นี่แห่งเดียวในเอเชีย, โซน “สวนสัตว์” ซึ่งจะมีการนำอูฐตัวเป็นๆ มาให้สัมผัสความน่ารักอย่างใกล้ชิดอีกด้วย และโซนสุดท้าย คือ “ร้านค้า” เน้นการบริการช้อปปิ้งสินค้าและของที่ระลึก รวมถึงร้านอาหารอร่อย เรียกได้ว่าครบครันความสนุกสนานรวมกันไว้ที่นี่ที่เดียว!

สถานที่ท่องเที่ยวธีมพาร์ค

อย่ารอช้าเราจะพาทุกท่านไปสแกนทั้ง 3 โซน ภายใน “คาเมล รีพับบลิค” จะสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ แค่ไหน ห้ามพลาด! 

โซนแรก – เครืองเล่น

โซนนี้ใครที่ชอบเล่นเครื่องเล่น หวาดเสียว เร้าใจ ท่านจะสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกับเครื่องเล่นที่เป็นที่สุดแห่งนวัตกรรม ทันสมัย แปลกใหม่ และตื่นเต้นเร้าใจหลากหลายชนิด สามารถเลือกเล่นกันได้ทุกระดับความมันส์ และที่สำคัญเครื่องเล่นที่นี่หลายเครื่อง ต้องย้ำกันอีกที่ว่า เป็นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในเอเชีย ณ เวลานี้ เครื่องเล่นไฮไลท์ที่คุณไม่ควรพลาด อาทิ เช่น

เด็กก็เล่นได้



Flying Macaw นวัตกรรมใหม่สุดจากประเทศเยอรมนี มีที่แรกในไทยและที่เดียวในเอเชีย จะพาท่านทะยานสู่ท้องฟ้าโฉบเฉี่ยวไปมาท่ามกลางเวหาได้ตามที่ใจคุณต้องการ ราวกับบินอยู่ท่ามกลางฝูงนกมาคอร์



Flying Macaw

Eagle Zipline เครื่องเล่นใหม่ล่าสุดจากประเทศอเมริกา ที่เดียวในเอเชีย และตัวที่ 4 ของโลก นำท่านชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามาบนความสูง 30 เมตร บินโฉบลงมาดั่งนกอินทรีล่าเหยื่อ ลองแล้วคุณจะประทับใจ

Eagle Zipline

Zero Gravity อีกเครื่องเล่นที่เป็นที่เดียวในเอเชีย ที่จะเหวี่ยงคุณด้วยความเร็วดั่งพายุและไร้การทรงตัวเหมือนอยู่ในสุญญากาศ จะมันส์ขนาดไหนต้องลองด้วยตัวคุณเอง

Zero Gravity

และอีกหนึ่งเครื่องเล่นที่กำลังอินเทรนด์ที่สุด ณ เวลานี้ SkyFly หรือ Sky Diving Simulator เครื่องเล่นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในประเทศไทย และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในเอเชียและยุโรป ที่พาท่านลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยพัดลมขนาดใหญ่ สามารถเคลื่อนไหวไปมาขึ้นลงได้อย่างอิสระด้วยตัวท่านเอง ผู้ที่ชอบกีฬาท้าทาย เราท้าให้มาพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

SkyFly
Drop Twist เครื่องเล่นดิ่งพสุธา
Updraft กลางฟ้า

โซนที่สอง – สวนสัตว์

โซนนี้ทุกท่านสามารถสัมผัสกับสัตว์น่ารักๆ มากมายอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารสัตว์ การถ่ายรูป แชะ แชร์ เซลฟี่กับสัตว์นานาชนิดได้อย่างใกล้ชิดจนทำให้เพื่อนๆอิจฉาเล่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น อูฐ ยีราฟ อัลปาก้า พาตาโกเนียนมาร่า หงส์ นกฟลามิงโก้ นกฟินซ์ 7 สี นกแก้วซันคอนัวร์ ปลาคาร์ฟ และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่ชอบสัตว์ รับประกันเลยว่าโซนนี้คุณจะต้องชอบแน่ๆ

คู่รัก Alpaca ปอมปอม กับ ปังปอนด์ น่าร๊ากจุงเบยย
ให้อาหารสัตว์แบบใกล้ชิด
Patagonian Mara
มาเล่นกับนกได้ที่ Camel Republic
อูฐมากมาย

โซนที่สาม – ร้านค้า ช้อปปิ้ง

นอกจากนี้ยังมีโซนร้านค้าให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปปิ้งเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของฝากที่น่าประทับใจติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่คุณรัก ที่ร้านจำหน่ายของที่ระลึก Camel Republic Official Souvenir และร้าน Hollywood Studio Store ที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาสุดแสนน่ารัก เสื้อยืดหลากหลายสไตล์ เลือกใส่ได้ทั้งครอบครัว หมวก ผ้าพันคอ และของที่ระลึก อีกทั้งยังมีร้านอาหารอีกมากมายที่สร้างสรรค์เมนูแปลกใหม่ให้ท่านได้เลือกอิ่มอร่อย มีทั้งร้านไอศกรีมผลไม้ ร้านเครปเย็น ฮอทดอก โฮมเมดเบอร์เกอร์ รวมถึงร้านอาหารอร่อยๆ อาทิ บะหมี่ขาหมู ผัดไท เป็นต้น

ร้านอาหาร
Camel Republic Official Souvenir
น่ากินเชียว
ชุดอาหารเช้า
ราคาอาหาร

ได้มาเยือน “คาเมล รีพับบลิค” แล้วเราขอประกันว่าคุณจะต้องฟินกับบรรยากาศที่ถูกสรรค์สร้างให้ทุกโซนเข้ากันได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งได้ความสนุกครบทุกรูปแบบ อิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ อย่างแน่นอน!

มุมถ่ายรูปเล่น
สนุกกับมุมน่ารักหน้าห้องน้ำ
จุดถ่ายรูปเล่นสุดน่ารัก

สนุกกันทั้งสามโซนแล้วไปดูกันว่าราคาค่าเข้าชมจะเป็นอย่างไรกันบ้าง…?

**อัตราค่าเข้าชม** (ไม่รวมค่าเครื่องเล่น) 


ต่างชาติคนละ 200 บาท

ชาวไทยผู้ใหญ่คนละ 120 บาท

เด็ก ส่วนสูง 90-130 ซม. คนละ 90 บาท

ผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไป คนละ 90 บาท

เด็กที่มีส่วนสูงไม่ถึง 90 ซม. เข้าชมฟรี

**อัตราค่าบริการเครื่องเล่นต่างๆ** 


ตั๋ว 1 ใบ ราคา 120 บาท

Flying Macaw ใช้ตั๋ว 2ใบ

Eagle Zipline ใช้ตั๋ว 2 ใบ

Drop Twist ใช้ตั๋ว 1 ใบ

ม้าโยก ใช้ตั๋ว1ใบ

แทรมโพลีน ใช้ตั๋ว 1 ใบ

ไจโรเอ็กซ์ตรีม ใช้ตั๋ว 1 ใบ

Zero Gravity ใช้ตั๋ว 1 ใบ

Midi Dance 360 องศา ใช้ตั๋ว 1 ใบ

**ล้อมกรอบ**

“คาเมล รีพับบลิค” สามารถรับรองนักท่องเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 คน/วัน เปิดให้บริการทุกวัน วันจันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 10.00 – 18.00 น. วันศุกร์ – วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09.00 – 19.00 น. เยื้องซานโตรินี พาร์ค ชะอำ จ.เพชรบุรี ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 76120 สอบถามรายละเอียดได้ที่ 032-890860-2

ติดต่อสอบถามข้อมูลสำนักงานกรุงเทพฯ โทรศัพท์0 2-4346921-8, โทรสาร 02-4347537 “คาเมล รีพับบลิค” ชะอำ โทรศัพท์ 032-890860 , 09-22695055 Facebook http://www.facebook.com/camelrepublic

“โช–อึ้น–อ่ะ–ชิม–อิม–นี–ดะ” เกาหลี…มีดีกว่าที่คิด (1)

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/452885

โดย 27 ก.ย. 2557 05:01

สนาม INCHEON ASIAD MAIN STADIUM…สุดอลังการ.

เห็นขึ้นต้นแบบนี้ หลายคนอาจจะงงๆ แต่เพราะต้องการจะทักทายด้วยคำว่า “อรุณสวัสดิ์” แทนคำว่า “สวัสดี” ซึ่งภาษาเกาหลีใช้คำว่า “อัน-นยอง-ฮา-เซ-โย” เลยต้องพูดว่า “โชอึ้นอ่ะชิมอิมนีดะ” ซึ่งเป็นคำสวัสดีตอนเช้าของคนเกาหลี เหมือนคำว่า “กู๊ด มอร์นิ่ง” ของฝรั่งนั่นละ

มีคนถามว่า ไปดูอะไรที่เกาหลี เกาหลีมีอะไรดี งั้นตามมาเลย จะได้รู้ว่า เกาหลีมีดีกว่าที่คิดเยอะ…

อรุณสวัสดิ์เกาหลี…เช้าแรกกันด้วยบรรยากาศที่คนเกาหลีอาจจะไม่คึกคักเท่าไหร่ เพราะเตรียมตัวมานานจนไม่ตื่นเต้น ไม่เหมือนกับคนชาติอื่นๆที่ตื่นตา ตื่นใจ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเมืองอินชอน ซึ่งเป็นสถานที่จัดเอเชียนเกมส์อยู่ตอนนี้

มาในช่วงเวลาแบบนี้ แน่นอนที่สุดต้องไม่พลาดการไปชมความยิ่งใหญ่ของสนาม INCHEON ASIAD MAIN STADIUM สนามกีฬาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองอินชอน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของ เกาหลีใต้ รองจากโซลและปูซาน ชื่อเดิมของเมืองนี้ คือ “มิชุฮอล” เป็นเมืองท่าที่สำคัญของเกาหลี ไม่ว่าจะทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ

สนาม INCHEON ASIAD MAIN STADIUM ถูกเนรมิตขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2014 ซึ่งเกาหลีใต้รู้ตัวว่าจะเป็นเจ้าภาพมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ก็เลยจัดการสร้างสนามกีฬาขนาดมหึมา ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าแสนตารางเมตร ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี สนามแห่งนี้มีความจุที่นั่งถึง 61,000 ที่นั่ง สูง 5 ชั้น เฉพาะส่วนที่เป็นสเตเดียม มีพื้นที่มากกว่า 632,000 ตารางเมตร

สระแข่งขันว่ายน้ำขนาดใหญ่ภายในสนามกีฬา.

เรียกว่า…ไม่ธรรมดาเลยละ…..!!

ธีมการแข่งขันเอเชียนเกมส์คราวนี้ ใช้คำขวัญว่า “Diversity Shines Here” แปลแบบง่ายๆก็คือ “ความหลากหลายเปล่งประกายที่นี่”…ซึ่งคงหมายถึงการมารวมตัวกันของนักกีฬาหลากเชื้อชาติ หลากศาสนา รวมไปถึงการแข่งขันกีฬาหลากหลายประเภทด้วย เขาจึงคิดมาสคอต เป็นแมวน้ำ 3 ตัว มีชื่อด้วย ตัวแรกชื่อ “บาราเมะ” ตัวที่สองชื่อ

มาสคอตแมวน้ำ 3 ตัว..ความหมายแห่งมิตรภาพ.
ซุมุโระ…แมวน้ำที่ชื่อมีความหมายว่า…การเต้นรำ.

“ซุมุโระ” และตัวสุดท้ายชื่อ “วิซอน”

ความหมายของชื่อแมวนำทั้งสามตัวคือ ลม การเต้นรำ และ แสงสว่าง ซึ่งเกาหลีเชื่อว่า เป็นความหมายที่แสดงถึงมิตรภาพระหว่างประเทศต่างๆ ที่มีผู้รู้แอบกระซิบว่า เป็นการส่งสัญญาณความเป็นมิตรไปสู่ประเทศที่เชื้อชาติเดียวกัน แต่คิดต่างกันจนต้องแยกประเทศอย่างเกาหลีเหนือด้วย

นอกจากสร้างสนามกีฬาที่ใหญ่โตมโหฬารแล้ว รัฐบาลเกาหลียังมีไฮไลต์ในการนำเสนอเขตเศรษฐกิจพิเศษอินชอน หรือ Incheon Free Economic Zone (IFEZ) เป็นเมืองใหม่ที่น่าจับตาอีกเมืองหนึ่ง ทั้งในฐานะของการเป็นฐานเพื่อรองรับการค้าการลงทุนจากต่างชาติและการเป็น “อีโค ซิตี้” หรือเมืองสีเขียว

ย่านไชน่าทาวน์ในอินชอน.

ผู้บริหารของ IFEZ เล่าให้เราฟังว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษอินชอน เป็นการพัฒนาพื้นที่จากการถมทะเลที่เป็นโคลน อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเมืองใหม่ซองโด ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ 3 เขต คือ ซองโด (Songdo) ยองจง (Yeong jong) และ ซองนา (Cheong na) ศูนย์กลางสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ IFEZ คือ ส่วนของซองโด ที่รัฐบาลเกาหลีต้องการจะทำให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ หรือ Global Business Hub ควบคู่ไปกับการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีล้ำสมัย สังเกตว่าเราใช้คำว่า “ล้ำสมัย” นั่นหมายถึงว่า เกาหลีเขาคิดไปถึงอนาคตข้างหน้า คือ “ล้ำ” ไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่ทันสมัย

นี่ขนาดแค่ความคิดก็ต่างกันแล้ว…กับบ้านเรา…!!

ส่วน “ยองจง” ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสนามบินอินชอน รัฐบาลเขาก็วางเป้าหมายที่จะให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์นานาชาติ การท่องเที่ยว และการพักผ่อน ขณะที่ “ซองนา” จะถูกเนรมิตให้เป็นศูนย์รวมแหล่งนันทนาการและสวนสนุกระดับโลก

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการเยือนเมืองใหม่ของเกาหลีครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความใหญ่โต ล้ำสมัย แต่สำคัญที่ความคิดของรัฐบาลเกาหลี ที่พยายามสร้างเมืองต้นแบบให้ตอบสนองต่อความต้องการในอนาคต

อาร์ตสตรีต..ใจกลางเมืองอินชอน.

คุณอาจจะไม่เชื่อว่า สิ่งที่ดู “เวอร์” หรือเกินความจริงบางอย่างที่เราเคยดูในหนังแบบตะวันตกกำลังเกิดขึ้นที่เกาหลี นอกจากรวมเอาความทันสมัยและล้ำสมัยในทุกๆด้านไว้ที่นี่ อย่างเช่น ด้านการศึกษา โรงเรียนที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดอย่าง Chadwick International School และ Dalton International School ได้ร่วมกันวางแผนที่จะจัดการศึกษาที่ดีที่สุดให้กับคนในเมืองใหม่แห่งนี้ โดยเน้นตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาไปจนถึงเนื้อหาหลักสูตรที่ตอบโจทย์แห่งโลกอนาคต ยังไม่รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งของเกาหลี เช่น มหาวิทยาลัยยองเซ, วิทยาลัยอินชอน มาเปิดวิทยาเขตใหม่ใน IFEZ เพื่อจูงใจให้คนเกาหลีเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองนี้ เพื่อลดความแออัดที่มีอยู่ในกรุงโซลปัจจุบัน

ภาพเพอร์สเปคทีฟ…ของ IFEZ.

รัฐบาลเกาหลีตั้งเป้าว่า ภายในปี 2020 IFEZ จะมีประชากรมากกว่า 5 แสนคน ขณะที่ปัจจุบันมี คนเกาหลีที่เล็งเห็นอนาคตย้ายเข้ามาอยู่แล้วราว 210,000 คน สิ่งที่คณะผู้บริหารของเมืองใหม่โชว์ให้เราดู คือ แบบจำลองการใช้ชีวิตประจำวันของคนในเมืองที่จะมีเทคโนโลยีไฮเทครองรับอยู่ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะนั่งอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน คนในเมืองนี้สามารถที่จะติดต่อ สื่อสาร เชื่อมโยงกันด้วยระบบออนไลน์ที่ควบคุมทุกอย่างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

แม้แต่การทิ้งขยะจากบ้านเรือน ก็จะมีท่อสำหรับทิ้งของเสียจากภายในบ้าน แถมยังต้องใช้บัตรประชาชนในการเปิดระบบการทิ้งขยะผ่านท่อดังกล่าว ขยะที่ถูกทิ้งจากบ้านเรือนจะไหลไปรวมกันที่จุดทิ้งที่จัดไว้ให้ เพื่อนำพลังงานที่ได้จากขยะมาแปรรูปใช้ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย เพราะหัวใจหลักอีกอย่างของเมืองนี้คือการทำให้เป็นเมืองสีเขียวและสีขาว ที่ผสานทั้งเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมให้ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานในเมือง แทนการใช้น้ำมัน การนำของเหลือมารีไซเคิล การมีพื้นที่เปิด 40% ของเมืองเพื่อความไม่แออัด

ภาพมุมสูงของ IFEZ เขตเศรษฐกิจพิเศษอินชอน.

จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นทั้งเส้นทางจักรยานเชื่อมต่อกัน 25 กิโลเมตร ปั๊มน้ำมันที่มีหัวจ่ายสำหรับรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงการรณรงค์ให้ใช้หลังคาสีเขียว เพื่อประหยัดพลังงานและลดความร้อน ตั้งอยู่ทั่วไปในเมืองนี้ รวมทั้งกล้องวงจรปิด แบบมีกล้องจริงๆ ในทุกระยะ 400-500 เมตรของถนนทั้งเมือง

และแม้ว่าเมืองนี้จะสร้างขึ้นโดยการสนับสนุนของรัฐบาล แต่การบริหารจัดการทุกอย่าง อยู่ภายใต้เอกชน ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างคล่องตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีการโกงหรือคอร์รัปชันเวลาที่คิดอะไรใหม่ๆ

นี่แค่โหมโรง…คุณก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่า…เกาหลีมีดีกว่าที่คิด…จริงๆ.