หากขาดแคลนงบฯเอาเงินจากไหนมาแก้ปัญหา
หากขาดแคลนงบฯเอาเงินจากไหนมาแก้ปัญหา
หากขาดแคลนงบประมาณเอาเงินจากไหนมาแก้ปัญหา : แลกคนละหมัด โดยชินสัคค สุวรรณอัจฉริย
โจทย์ข้อนี้จะให้ความหมาย คือ การเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อน หรือกล่าวง่ายๆ คือการกู้ยืมเงินมาใช้แต่และประเทศต่างมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่สำหรับประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก นั่นคือ สรรพากรพยายามไล่บี้การจัดเก็บภาษีเท่าที่ตนเองจะสามารถทำงานได้ทุกบาททุกสตางค์และต่างก็พยายามมุ่งหาโดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือน แต่เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านกรมกระทรวงในรูปของงบประมาณแผ่นดินนั้นน้อยมากที่จะตรวจสอบการใช้จ่ายอย่างถึงลูกถึงคน นี่คือเรื่องที่มีการพัฒนา ในด้านกลับกันโดยหน่วยงานราชการด้านการบริการ ความมั่นคง การศึกษาและหลายๆ หน่วยงานขาดงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมและหลายหน่วยงานมีงบประมาณที่ล้นเหลือ(คือใช้ไม่หมด)และพยายามใช้ในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
หากพิจารณาการเบิกจ่ายและโครงการที่ทำกันในช่วงเวลานี้ ภารกิจที่สำคัญคือ การพยายามใช้จ่ายเพื่อเรียกร้องสิทธิของการได้งบประมาณปีต่อไป อย่างน้อยก็ให้ได้ตัวเลขในจำนวนที่เท่ากับงบประมาณของปีที่ผ่านมาที่ได้รับการสนับสนุน และหากมองในแง่ประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรของส่วนรวมถือว่านี่คือเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
ที่ผ่านมาภาครัฐก็ไม่ได้ให้ความสนใจในการติดตามการใช้งบประมาณทั้งภายในและภายนอกเนื่องจากหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ต่างก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน จึงทำให้การใช้จ่ายเงินไม่มีเป้าหมายและการจัดเก็บภาษีนั้นขาดการกระจายในความจำเป็นของสังคม แม้แต่เอาง่ายๆหน่วยงานการศึกษาบางมหาวิทยาลัยใช้เงื่อนไขแบบนี้ ไม่คืนงบประมาณและใช้จ่ายไปในเรื่องส่วนตัว อย่างเช่น การหาสาเหตุการอบรมในช่วงของการสอบนิสิตประจำภาคเพื่อให้เกิดรายจ่าย การหาวิธีการใช้จ่ายเพื่อไปดูงานต่างประเทศโดยไปทั้งคณะเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายโดยอ้างว่าไปดูงานโดยไปในโปรแกรมการท่องเที่ยวของบริษัทซึ่งจริงๆ แล้วการดูงานใช้เวลาเพียงแค่ 4-6 ชม.เท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาไปเที่ยวในประเทศในยุโรปและอื่นๆ อีกมากมายที่พยายามทำให้เกิดการใช้จ่ายในการประชุมและอบรมที่ในข้อเท็จจริงนั้นต้องการแค่รายชื่อและรูปภาพ แต่ผลที่เกิดขึ้นของโครงการนั้นไม่ได้ให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่จัดโครงการและผู้บริหารภายในหน่วยงาน
ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในฐานะหน่วยงานระดับสติปัญญาของประเทศ แต่วิธีคิดคล้ายกับผู้รับเหมาก่อสร้างถนน ในขณะที่ยังมีเด็กอีกมากมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และขาดโอกาสในการศึกษา และพวกเขาก็รอคอยโอกาสและการสนับสนุนจากผู้ใจบุญ และหากสถานการณ์แบบนี้ได้กลายเป็นการอ้างภารกิจขององค์กรในรูปแบบต่างๆ เช่นเพื่อการศึกษาดูงาน นั่นหมายถึงว่าเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรมสำหรับผู้ที่ตัดสินใจ แต่ในแง่ของหน่วยงานอื่นๆ ที่กำลังรอคอยการบริจาคหรือรองบประมาณเพียงน้อยนิดในการทำงานถือว่าเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม
ความต้องการใช้จ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในแต่ละหน่วยงานในกระทรวงต่างๆ นั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการจัดการงบประมาณการใช้จ่ายโดยไม่ใช่ผ่านสภาเพียงอย่างเดียว แต่ควรที่จะมีองค์กรที่มีตัวแทนจากประชาชนซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาจัดการ ส่วนหน่วยงานที่คอยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐก็ควรที่จะปฏิรูปทางความคิดด้วย เพราะที่ดำเนินการอยู่นั้นยังติดอยู่กับความสนใจและความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่มากกว่าที่จะออกแบบวิธีการใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพหรือติดตามการใช้จ่ายให้ถึงภารกิจตามที่ชอบอ้างกันจริงๆ ไม่เช่นนั้นคนที่จ่ายภาษีในรูปแบบต่างๆ ก็จะต้องส่งตัวแทนของตนเองเข้ามาตรวจสอบ
และนักการเมืองก็ควรที่จะเลิกอ้างตัวเลขค่าใช้จ่ายเสียที แต่ควรหาที่จะหาวิธีการวัดการใช้จ่ายไปถึงตัวเป้าหมายของโครงการจริงๆ เพราะส่วนใหญ่นั้นมีการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาและไม่มีภารกิจให้เห็นเป็นรูปธรรมหลังจากการใช้จ่ายและเรียกร้องงบประมาณทุกปี ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยบางแห่งชอบที่จะอ้างว่าเพื่อการศึกษาและดูงาน แต่เอาเข้าจริงกลับใช้งบประมาณไปเพื่อการท่องเที่ยวส่วนตัวซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ทางวิชาการที่เกี่ยวกับนิสิตหรือผู้เรียนแต่อย่างใด และหากมองในแง่ศีลธรรมผู้ที่มีการศึกษาก็ไม่ควรที่จะมีพฤติกรรมแบบนั้นเป็นอันขาดเพราะถือว่านี่เป็นการกรรโชกทางด้านนโยบาย ฉะนั้นหากภาครัฐขาดแคลนงบประมาณ ก็ควรที่จะแก้ไขโดยการลดงบประมาณในส่วนนี้เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพิจารณาขอกู้ยืมการใช้จ่าย