ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย-ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20140623/186954.html
ถึงเวลาปฏิรูปละครโทรทัศน์หรือยังครับ? : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล
ละครโทรทัศน์ได้ชื่อว่าเป็นความบันเทิงราคาถูก ที่ให้บริการถึงทุกบ้านช่องทุกค่ำคืน และเคยมีผู้ให้สมญาละครโทรทัศน์ว่าเป็นศาสดาองค์ใหม่ ที่ถ่ายทอดคำสอนผ่านการแสดงและคำพูดของตัวละคร สร้างความเชื่อและความศรัทธาผ่านทางฉากบ้านช่องใหญ่โตอันโอ่อ่าและโฉมหน้า เรือนร่าง และเครื่องแต่งกายอันงดงามวิจิตรพิสดารของผู้แสดง เฉกเช่นวิมานและเหล่าเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ โดยมีสินค้าผู้สนับสนุนรายการเป็นโยมอุปัฏฐาก
ละครโทรทัศน์ไทยส่วนใหญ่เป็นเสมือนเพลงลูกทุ่งสมัยก่อน คือ ร้อยเนื้อ หนึ่งทำนอง หลายๆ เรื่องมีเค้าโครงที่คล้ายคลึงกัน ปรับเปลี่ยนแค่รายละเอียดบางอย่าง และหลายเรื่องเป็นการตัดแปะ ด้วยการลักขโมยหรือฉกฉวยเรื่องของผู้อื่นมาต่อเติมเสริมแต่ง หรือนำนิยายหลายๆ เรื่อง มายำใหญ่ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ทั้งผู้กระทำ และผู้สนับสนุนหรือสมรู้ร่วมคิด
ละครโทรทัศน์ไทยในปัจจุบัน มีส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ คือ “กรี๊ดกร๊าด เกรี้ยวกราด กรีดกราย ประกอบกาม และก่ออาชญากรรม” เรื่องไหนก็เรื่องนั้น จะมีตัวนางอิจฉาหรือแม่สามีที่ทำหูทำตาปะหลับปะเหลือก และส่งเสียงกรี๊ดๆ เหมือนคนบ้า ด้วยสาเหตุมาจากความไม่สมหวังในการล่อหลอกพระเอกหรือทำทารุณกรรมนางเอก จะต้องมีตัวโกงหน้าเหี้ยมที่วันๆ เอาแต่เกรี้ยวกราดกับลูกน้อง มีพระเอกที่กรีดกรายไปมา ไม่ทำงานทำการอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งๆ ที่ในบทบอกว่าเป็นนักเรียนนอกผู้สูงศักดิ์ เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง แต่ก็มักจะพลาดท่าเสียทีนางอิจฉาหน้าโง่อยู่เป็นประจำ และภาคบังคับที่ละครเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะขาดไม่ได้ ก็คือการประกอบกาม-ในภาพยนตร์ไทยสมัยก่อนนั้น ฉากทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นในยามที่พระเอกนางเอกต้องไปติดอยู่ในกระท่อมร้างในคืนที่ฝนตกหนัก แต่ในละครโทรทัศน์ทุกวันนี้ ไม่เลือกสถานที่และเวล่ำเวลา ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ แทนที่ผู้ชายจะเป็นฝ่ายปลุกปล้ำ ก็กลับกลายเป็น ฝ่ายหญิง นางร้ายทั้งหลาย ชิงลงมือเสียเอง และละครโทรทัศน์แทบทุกเรื่องจะมีฉากที่แสดงพฤติกรรมซึ่งรุนแรงและส่งเสริมให้เกิดการกระทำที่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง อาทิ ฉากข่มขืน ความรุนแรงทางเพศ การว่าจ้างหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด เช่น ฉุดคร่าอนาจาร ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย รวมถึงการเข่นฆ่ากันตามอำเภอใจ ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อเด็กและเยาวชนให้เกิดความชาชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ และมีคตินิยมในการตัดสินปัญหาด้วยกำลัง และมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ประพฤติผิดทำนองคลองธรรม
คำพูดประโยคหนึ่งซึ่งผู้สร้างใช้แก้ต่างละครโทรทัศน์ประเภทนี้ก็คือ เป็นละครสะท้อนสังคม ซึ่งแปลไทยเป็นไทยก็คือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมอยู่ก่อนแล้ว คณะละครเพียงแต่นำมาบอกเล่าต่อ แต่ตามความเป็นจริงนั้น วรรณกรรม บทเพลง หรือการแสดง สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพ และคบไฟที่นำส่องทาง – การอ้างตัวเป็นกระจกนั้นไม่ผิด แต่กระจกก็ควรจะต้องมีกรอบ และมีขนาดที่เหมาะสม ขณะเดียวกันถ้ามัวแต่สะท้อนภาพด้านมืดของสังคม โดยไม่ส่องคบไฟให้เห็นความสว่างไสว สังคมนั้นก็มีแต่มืดบอดลงไปเรื่อยๆ
ผมยังเชื่อในคำพูดที่ว่าละครโทรทัศน์เป็นศาสดาองค์ใหม่ แต่ควรเป็นศาสดาที่ชี้ทางสว่าง และนำพาสังคมไปสู่ภูมิปัญญา มโนธรรม และทัศนคติที่ดี ไม่ใช่เป็นศาสดาซาตาน ที่นำคนไปอบายภูมิ และพอใจกับการเสพเครื่องเซ่นไหว้จากเหล่าโยมอุปัฏฐาก โดยไม่ได้ทำคุณประโยชน์อันใด
นอกจากการปฏิรูปต่างๆ แล้ว คงต้องเรียนถาม คสช. ว่าถึงเวลาหรือยังครับที่จะปฏิรูปละครโทรทัศน์ของไทย ให้เป็นละครที่สร้างสรรค์สังคม ให้สาระและคุณค่าต่อชีวิต ปลูกฝังความคิดในทางที่ถูก เช่น การพึ่งพาตนเอง การมีชีวิตอย่างพอเพียง ความมานะบากบั่น ความเป็นสุภาพบุรุษ-สุภาพสตรี การประหยัดอดออม ความซื่อสัตย์สุจริตไม่ละโมบโลภมาก – สังคมที่ดีนั้น มาจากคนที่ดี และคนที่ดีก็มาจากการซึมซับรับรู้สิ่งที่ดีงาม
ครับ ถ้าอยากให้คนไทยมีคุณภาพ คุณค่า และคุณธรรม ก็ต้องปฏิรูปละครโทรทัศน์ไทยเสียที