ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย-ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20140711/187997.html
ให้ห่วง’ชาติ’มากกว่า’ห่วงตัวเอง’ : ต่อปากต่อคำ โดยดร.อมร วาณิชวิวัฒน์
ไม่อยากให้บรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ต้องได้รับผลกระทบ แต่เมื่อได้พบกับบรรยากาศของการแย่งชิงในการปกป้องตนเองของหลายองค์กร ของบุคคลหลายๆ ฝ่าย ที่ดาหน้าออกมาเสนอตัวแบบ ความเห็นต่างๆ ให้แก่ คสช. ต้องเรียนว่า ส่วนที่ดีมีอยู่มาก แต่ที่ปะปนกันมา คือ ส่วนที่ คสช. ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด
หลายองค์กรเห็นได้ชัดเจนว่า ข้อเสนอที่แฝงมาในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงปรับปรุงโน่นนี่ กลายเป็นเรื่องของการเพิ่มอำนาจอิทธิพลให้แก่องค์กรของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรอิสระหลายองค์กรที่วัตถุประสงค์ของการก่อกำเนิดในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 มีจุดมุ่งเน้นสำคัญในการทำหน้าที่ตรวจสอบ และคานอำนาจฝ่ายบริหารไม่ให้ดำเนินการใดๆ ตามอำเภอใจของตน แต่ปรากฏว่าระยะเวลาหลังจากนั้น หลายองค์กรอิสระ ไปสร้างองคาพยพของตนขยายกว้างขวางออกไปอย่างมากมาย เรียกได้ว่ามีตัวแทนของตนเองประจำอยู่ในทุกจังหวัดหรือบางอำเภอขนาดใหญ่ แต่งานคั่งค้างก็มีอยู่มาก ที่ทำแล้วถูกติฉินนินทาเพราะความไม่โปร่งใสก็ไม่น้อยเลย
ทำให้ “ข้อเสนอส่วนมากในเวลานี้” หาก คสช. รับเอามาพิจารณาอย่างหลงเชื่อไปตามข้อคิดเห็นที่ผ่านสื่อต่างๆ จะเป็น “อันตรายอย่างยิ่ง” เพราะองค์กรหรือบุคคลบางคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสื่อบางสื่อมากเป็นพิเศษ ถึงขนาดทำการนำเสนอออกมาได้เป็นชุดความคิดต่อเนื่อง แบบหนังซีรีส์ ทั้งที่เวลาที่ผ่านมา “จุดยืนความคิดอ่านในด้านการปฏิรูปใดๆ ไม่มีความชัดเจน” แต่พอใกล้ระยะเวลาการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญตามกรอบเวลาของ คสช. ใกล้เข้ามา บุคคลเหล่านี้ก็ดาหน้าออกมาจัดแถลงข่าวบ้าง จัดประชุมต่างๆ มากมายเพื่อแสดงศักยภาพให้สังคมได้จดจำและเผื่อว่า คสช. อาจจะหยิบจับเรียกใช้บริการกับเขาบ้าง
จึงมีข้อเสนอทั้งที่ “ผิดเพี้ยนจากรูปแบบการปกครองที่เราต้องการ ไปกระทั่งถึงความเพ้อฝันที่เอาตัวแบบต่างประเทศต่างๆ มาผสมผสาน ไม่ต่างกับการร่างรัฐธรรมนูญในอดีตที่เอาของคนอื่นมาผสมปนเป กระทั่งวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยของเราหรือความเชื่อพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเสมอหน้าถูกละเลย เนื่องด้วยมีคนหยิบมือเดียว คว้าเอาเสียงชี้ขาดไปร่างรัฐธรรมนูญให้คนทั้งประเทศลงประชามติ”
ที่น่าห่วงและ คสช. จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ การเชิญบุคคลหลายต่อหลายฝ่ายเข้าไปให้ความเห็นในระยะหลัง แม้จะมีการคัดกรองได้ผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย จากสถาบันต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวแทนทางการเมือง สถาบันการศึกษา แต่ไล่เรียงกันแล้วยังเห็นความจำกัดจำเขี่ย อยู่กับ “กลุ่มบุคคลหน้าเดิมๆ” ซึ่ง คสช. ต้องใช้ความกล้าหาญ ในการ “กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง” เพราะเสียงเรียกร้องของประชาชนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ต้องการเห็นบ้านเมืองได้รับการพัฒนาไปในทางสร้างสรรค์ แต่บุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งอาจพอคาดเดาได้ที่ไปผสมผสานให้ความเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ คสช. สามารถรับฟังได้ แต่พึงให้โอกาส “คนรุ่นใหม่ หรือบุคคลที่มีความตั้งใจจริงในการเข้าแก้ไขปัญหาของชาติมากกว่าคาดหวังผลพลอยได้จากการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในอนาคต”
เพราะข้อเสนอหลายเรื่องที่กินความไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการได้มาซึ่งผู้นำรัฐบาลก็ดี การแก้กฎหมายหลายต่อหลายอย่างที่อาจกระทบต่อรูปแบบระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันนั้น ต้องเรียนว่า ได้มีการศึกษาและวิจัยกันมามากมายและพบว่า “ตัวแบบ” ที่ใช้กันอยู่แน่นอนว่ามีปัญหานำไปสู่สิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายเรื่อง แต่ข้อเสนอใดก็ตามที่แอบแฝงเพื่อให้องค์กรของตนเอง “รอดพ้นจากการถูกยุบรวมหรือลดทอนอำนาจ” ถือเป็น “ความเห็นแก่ตัวของบุคคล” ที่การรับไปพิจารณาจะต้องให้แน่ใจว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ทราบกันดีว่า ปัญหาต่างๆ ในประเทศของเราทุกวันนี้เป็นเรื่องของ “ระบบ โครงสร้าง” พูดง่ายๆ คือ เป็นปัญหาใหญ่ขนาดต้องยกเครื่องรื้อแก้กันทั้งองค์กรในแง่ระเบียบ กฎเกณฑ์ วัฒนธรรมองค์กร และการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลดังที่มีการเสนอโยกย้ายแต่งตั้งกันอยู่ถือว่าเดินมาในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่อย่าไปหลงเชื่อถึงขนาดมอบหมายอำนาจหน้าที่หรือเพิ่มความรับผิดชอบให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งในเวลาอันใกล้นี้เป็นอันขาด เพราะ “ความพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอด” ของหลายองค์กรสะท้อนออกมาในข้อเสนอที่ได้เห็นประสบพบเจอในข้อเสนอผ่านสื่ออย่างชัดเจน เพราะยิ่งมอบหมายอะไรมากเท่าใด ก็เท่ากับเพิ่มพูนอำนาจ
โดย คสช. จะต้องทบทวน “ภารกิจ ผลงานในอดีต ข้อติฉินนินทา สภาพแวดล้อมแห่งปัญหาทั้งปวงให้รอบคอบถี่ถ้วน” ก็จะเห็นถึงสิ่งที่ควรแก้ไขหรือปรับปรุงได้อย่างเป็นรูปธรรม หลายองค์กรเรียกร้องเพิ่มกิจกรรมเพื่อผลในแง่งบประมาณ หลายองค์กรเอาหน้าที่ของเอกชนหรือสิ่งที่ควรให้คนอื่นทำมาทำเอง เพราะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยอาศัย “ประชาชนเป็นตัวประกัน” ลักษณะขององค์กรอิสระเหล่านี้ ปรากฏให้เห็นอยู่หลายองค์กร และอาจกำลัง “ตบตา” และพยายามใช้โอกาสที่ คสช. มีอำนาจเต็มในขณะนี้ เป็นเครื่องมือในการแก้วิกฤติให้พวกของเขาโดยที่ คสช. อาจมองโลกในแง่ดีกับคนหลายๆ คน หรือหลายๆ องค์กร จึงขอให้เชื่อกันสักครั้งว่า เวลานี้ท่านฟังได้ แต่ขอให้ท่านใจเย็นและพิจารณาทั้งในแง่องค์ประกอบของตัวบุคคล การใช้งบประมาณและผลงานในอดีตของหลายองค์กรที่ดาหน้าเข้าหาตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่า “คสช. จะได้เห็นอะไรดีๆ และไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่ให้คำแนะนำนี้เลย”