ชานชาลาประชาชน…สุริยันต์ ทองหนูเอียด แม่น้ำ 5 สายกับพลังประชาชนทั้งแผ่นดิน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99355

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
หกเดือนหลังจากการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โรดแม็พการแก้ปัญหาประเทศ 3 ระดับก็เดินตามลำดับขั้นตอนตามที่ได้กำหนด
22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
31 กรกฎาคม 2557 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จำนวน 200 คน
24 สิงหาคม 2557 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ เมื่อ 31 ส.ค.2557
12 กันยายน 2557 คณะรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบาย 11 ด้านต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการของรัฐบาลชุดนี้
6 ตุลาคม 2557 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ 250 คน
4 พฤศจิกายน 2557 ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน พร้อมกรรมการอื่นอีก รวม 36 คน เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญภายใน 120 วัน
นี่คือแม่น้ำ 5 สาย (คสช., สนช., ครม., สปช. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ) ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับโรดแม็พแม่น้ำ 5 สายของ คสช. เมื่อ 23 ก.ค.2557
18 พฤศจิกายน 2557 การประชุมแม่น้ำ 5 สาย ระหว่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำ สปช. และ สนช. นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และนางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา
ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่าพลเอกประยุทธ์ได้กล่าวขอบคุณและยืนยันว่ารัฐบาลต้องการนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปให้ได้ภายใน 1 ปีตามที่ตั้งใจไว้ และเน้นย้ำให้ สปช.และ สนช.ร่วมกันทำงานใน 3 ส่วน คือ
1.ขอให้ สนช.เร่งผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ซึ่งน่าจะมีอยู่ประมาณ 300 ฉบับ โดยขณะนี้ ครม.ได้เตรียมที่จะเสนอ สนช.ในเร็วๆ นี้ ประมาณ 100 ฉบับ
ส่วนที่เหลือจะทยอยตามมาภายหลังจากนี้ หรืออย่างน้อยภายในปีนี้ สนช.ต้องออกฎหมายที่ทำให้ประชาชนมีความสุขเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานให้กับประชาชน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
2.ภายใน 3 เดือนนี้ สปช.ต้องทำงานให้เห็นผล และถ้ามีอุปสรรคอะไรก็ให้ทำเรื่องมายัง ครม. ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการให้ทั้งหมด และ
3.อยากให้ สปช.เดินหน้ากระบวนการปฏิรูป ไม่อยากให้ไปเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ต้น เพราะกระทวงกลาโหมได้ทำรายงานเสนอมาครบทั้ง 11 ด้าน หากมีส่วนไหนที่ขาดค่อยเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์
ดูเหมือนว่า แม่น้ำ 5 สายได้เดินตามแผนโรดแม็พของ คสช. แต่เสียงที่เงียบกลับดังขึ้นมาทุกขณะ
นั่นคือเสียงของประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ โดยประชาชนเป็นผู้กำหนด ไม่ว่าจะเป็น “ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน”, “สถาบันปฏิรูปประเทศไทย”, “สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูป” ฯลฯ
รวมไปถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐ ทั้งปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกิน ปัญหาที่ดิน การจัดการน้ำ โครงการขนาดใหญ่ ฯลฯ น่าเสียดายที่กลุ่มคนเหล่านี้ถูกจำกัดพื้นที่ภายใต้กฎอัยการศึก
อย่าลืมว่า การปฏิรูปที่ดำเนินมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 รัฐธรรมนูญธงเขียว 2540 มาจนถึงปัจจุบัน
ล้วนแต่ถูกผลักดันมาด้วยการพลังต่อสู้ของพี่น้องประชาชนที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของวีรชน
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กปปส. หรือแม้แต่คนเสื้อแดงบางส่วน ก็เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศรอบด้าน
การปฏิรูปประเทศที่ดำเนินมาจากอดีตถึงปัจจุบัน (2475-2557) เนื้อหาจึงไม่ได้มีแค่ข้อเสนอ 11 ด้านของกระทรวงกลาโหม ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวไว้
ประการสำคัญ การปฏิรูปจะสำเร็จได้ก็ต้องให้ประชาชนทั้งเห็นด้วยและคัดค้านมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ดังที่นายพิภพ ธงไชย เคยกล่าวในเฟซบุ๊กของตนหลังการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า
“ถ้าการยึดอำนาจครั้งนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติสร้างเครื่องมือและกระบวนการการมีส่วนร่วม ทำเรื่องปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สำเร็จ ก็สามารถชูธงว่า “เป็นการปฏิวัติประชาชนร่วมกับทหาร” ได้ และจะเป็นแห่งแรกของโลกยุคนี้โดยทหารดูแลความมั่นคงและจัดระเบียบเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป ประชาชนเป็นผู้นำการปฏิรูป พี่น้องเสื้อแดงที่เป็นชาวไร่ ชาวนา และกรรมกร ก็จะหันมาสนับสนุนถ้าการปฏิรูปนั้น ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นทุกด้าน จะเป็นการสร้างชนชั้นกลางใหม่ขึ้นในสังคมไทย”
การปฏิรูปที่กำลังเดินไปตามโรดแม็พแม่น้ำ 5 สายของ คสช. จึงต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน อิสรภาพในการแสดงความคิดเห็น อันจะนำมาซึ่งศรัทธาของประชาชนในการปฏิรูปในครั้งนี้
โลกแห่งการสื่อสารในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวที่ไร้ข้อจำกัด คือเสรีภาพของประชาชนที่ไม่อาจขัดขวางได้ คสช.จึงต้องทบทวนท่าทีต่อการแสดงความเห็นของประชาชนและวิธีการทำงานให้สอดคล้อง
เช่นดังกรณีพลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงไปเจรจาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 17 พ.ย.2557 เป็นต้น
ถึงเวลาที่แม่น้ำทั้ง 5 สายต้องผสานกับพลังทั้งแผ่นดินเพื่อนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปที่แท้จริง.

โลกร้อน น้ำท่วม ข้าวเสียหาย เกี่ยวอะไรกับอาร์กติก?

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99364

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์
กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวคราวน้ำท่วมฉับพลัน พายุหลงฤดู ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ซึ่งเกิดบ่อยครั้งขึ้น ยาวนานขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทางสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าโลกของเรากำลังเปลี่ยนไป หรืออะไรทำให้โลกเปลี่ยนแปลง
โลกร้อนไม่ได้มีแค่เรื่องอากาศร้อน
โลกเรากำลังร้อนขึ้น ใครหลายคนอาจสัมผัสได้ว่าฤดูหนาวของไทยนั้นสั้นลงไปทุกปี แต่ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกร้อนไม่ได้มีเป็นเพียงแค่อากาศที่ร้อนขึ้นเท่านั้น วิกฤติโลกร้อนยังส่งผลต่อความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาการเกิดภัยพิบัติในประเทศไทย หนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน คือ ภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งมีความอ่อนไหวและเสี่ยงต่อภัยพิบัติหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมภัยแล้ง ดินโคลนถล่ม ซึ่งล้วนส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้โลกร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ ความสมบูรณ์ของน้ำแข็งอาร์กติก ซึ่งกำลังถูกคุกคามจากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ฉกฉวยโอกาสขณะที่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายจนเหลือน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ มองข้ามสัญญาณเตือนภัยแห่งหายนะครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติและสรรพชีวิต การใช้ฟอสซิล เช่น น้ำมัน เป็นสาเหตุหลักของวิกฤติโลกร้อน และกิจกรรมขุดเจาะนี้ยังทำลายความสมบูรณ์ของน้ำแข็งอาร์กติกด้วย อาร์กติกที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นเครื่องปรับอากาศที่คอยรักษาระดับสมดุลของสภาพภูมิอากาศของโลก น้ำแข็งของอาร์กติกเป็นเหมือนกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนแสงอาทิตย์และความร้อนกลับไปยังชั้นบรรยากาศ ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปอีกซีกโลก ผลกระทบของสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งที่อาร์กติก ไม่ได้ส่งผลแต่ในเฉพาะภูมิภาคอาร์กติก แต่ทุกชีวิตบนโลกล้วนได้รับผลกระทบไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน หากปราศจากน้ำแข็งที่อาร์กติกแล้ว ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเลวร้ายจนไม่สามารถหยุดยั้งได้
จากทุ่งน้ำแข็งอาร์กติกถึงทุ่งข้าวเมืองสองแคว
ประเทศไทยเป็นผู้นำในการส่งออกอาหารสู่ตลาดโลก โดยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งข้าวไม่ได้เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้สำคัญให้กับประเทศ แต่ยังเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของคนไทย การเกษตรของประเทศไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในชนบทเป็นการเกษตรที่พึ่งพิงน้ำฝนธรรมชาติ ภัยจากน้ำท่วม คลื่นความร้อน และการขาดแคลนน้ำอันมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลผลิตการเกษตร ซึ่งท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ทุ่งข้าวเมืองสองแคว คือ อู่ข้าวอู่น้ำสําคัญแห่งหนึ่งของไทย ไม่ว่าจะเป็นพายุ หรือการคลาดเคลื่อนของฤดูกาลต่างๆ ล้วนส่งผลอย่างมหาศาลกับข้าวของเราทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลให้การกระจายความถี่ และปริมาณน้ำฝนในบางพื้นที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ภัยแล้งที่ยาวนาน และน้ำท่วมที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สร้างความเสียหายกับพื้นที่การเกษตร ซึ่งสำหรับประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทยแล้ว ข้าวถือเป็นหัวใจของประเทศ เฉกเช่นเดียวกับที่ชาวนาถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
พืชตอบสนองต่ออุณหภูมิ และให้ผลผลิตสูงเมื่อเติบโตในช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งส่วนมากคือ 22-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นจึงอาจทำให้ผลผลิตของพืชในไทยลดลง ละอองเรณูของพืชเป็นองค์ประกอบที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมากที่สุด ข้าวบางพันธุ์สูญเสียความสมบูรณ์ของละอองเรณูเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 34 องศาเซลเซียส ผลผลิตข้าวที่ได้เมล็ดอาจจะลีบลง แม้ว่าต้นข้าวยังเติบโตอยู่ (ข้อมูลเพิ่มเติม : การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเทศไทย : วิกฤติหรือโอกาส)
การปกป้องอาร์กติกคือการปกป้องอู่ข้าวอู่น้ำของไทย และปกป้องทุกสรรพสิ่งบนโลก
ในปีที่ผ่านมามีการเตือนถึง 4 องศาอันตราย ที่จะพาโลกไปสู่จุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ กล่าวคือ รายงานของคณะกรรมการติดตามภูมิอากาศกล่าวเตือนว่า หากรัฐบาลและทุกภาคส่วนยังขาดความร่วมมือกันในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกดังที่เป็นอยู่นี้ ในปี พ.ศ.2643 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 4 องศาเซลเซียส ข้อมูลจากธนาคารโลกได้คาดการณ์ออกมาว่า 4 องศานี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการเพิ่มขึ้นของตัวเลขอุณหภูมิ แต่หมายถึงสภาพภูมิอากาศของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลกระทบกับระบบนิเวศ โดยรวมทั้งหมดเป็นมหันตภัยที่คุกคามประชากรโลกในระยะยาว หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการเกษตร การประมง ปริมาณน้ำจืด ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ภาวะแล้ง และผลกระทบต่อสุขภาพอันเกิดจากอากาศร้อน คุณภาพอากาศแย่ และโรคระบาดจากแมลงพาหะต่างๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นที่อาร์กติกไม่ได้ส่งผลแต่ในเฉพาะอาร์กติก ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนส่งผลถึงเราทุกคน การปกป้องอาร์กติกจึงเป็นการปกป้องสภาพภูมิอากาศของโลก เพื่อความมั่นคงทางอาหาร และระบบนิเวศโดยรวมของโลก ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาร่วมกันลงมือทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปกป้องอาร์กติกและทุกสรรพชีวิตบนโลก ก่อนในน้ำจะไม่เหลือปลา ในนาจะไม่เหลือข้าวให้เราได้พึ่งพิง.

“สาธิตประสานมิตร” ชูศักยภาพสู่อาเซียน พร้อมเป็นศูนย์กลางผู้นำการศึกษาต้นแบบ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99348

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ประกาศความพร้อมในฐานะผู้นำโรงเรียน “สาธิต” ต้นแบบทางการศึกษา และความมีศักยภาพสู่อาเซียน ล่าสุด จัดนิทรรศการ “เด็กไทยสู่การศึกษาในศตวรรษที่ 21” “สาธิต” พัฒนานักเรียนและครูตามมาตรฐานสากล
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นประธานเปิดงาน นิทรรศการวิชาการเรื่อง “เด็กไทยสู่การศึกษาในศตวรรษที่ 21” ที่จัดโดยโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) โดยมีวัตถุประสงค์ในการแสดงความเป็นการศึกษาที่เน้นการให้เด็กฝึกคิดวิเคราะห์ เรียนรู้แบบบูรณาการ และความเป็นโรงเรียน “สาธิต” ต้นแบบการศึกษาตามมาตรฐานสากลให้กับโรงเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศ
นิทรรศการในลักษณะนี้กำหนดจัดทุก 2 ปี ริเริ่มโดยรองศาสตราจารย์สุขุมาล เกษมสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) คนปัจจุบัน บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยสาระความรู้และความเพลิดเพลินจากการที่เด็กได้เรียนรู้ คิด ทำ มีผู้ร่วมงานประมาณ 2,000 คน ประกอบด้วย นักเรียนในโรงเรียน ผู้ปกครอง ครู และนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆ 18 แห่ง รวมทั้งผู้สนใจจากภายนอก เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้แสดงความสามารถและรับความรู้เพื่อก้าวสู่การศึกษาในศตวรรษที่ 21
กิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การแข่งขันเกมทางวิชาการชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประเภทครอสเวิร์ด เกม เอเม็ท และคำคม, กิจกรรมของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ, กิจกรรมสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกทั้งราชการและเอกชน เช่น วิทยาศาสตร์สู่ศตวรรษที่ 21, เด็กยุคใหม่สู่ศตวรรษที่ 21, ฉลาดกิน ฉลาดอยู่ ฉลาดใช้พลังงานทดแทน, ภาษาไทยหัวใจของชาติ, ภาพวาดสุภาษิต, เกษตรนำเด็กไทย, สมรรถภาพการพัฒนาการของเด็กไทย, อาชีพในฝันของเด็กๆ, Open English world, Book Rally, King Match และ Satit Junior Singing Contest 2014 เป็นต้น
ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ ก่อตั้งจากเงินภาษีประชาชน จึงมุ่งรับใช้สังคมไทยด้วยสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมและประเทศชาติ นอกเหนือจากพันธกิจหลักที่พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และการบริการวิชาการความรู้ไปสู่ชุมชน สำหรับงานนิทรรศการวิชาการครั้งนี้เป็นการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นต้นแบบทางการศึกษาตามมาตรฐานสากล ครูและผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ กระตือรือร้นในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ สร้างความรู้ ค่านิยมทัศนคติที่ถูกต้องด้านคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชนไทย เพื่อนำพาให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า พร้อมๆ กับการศึกษาความรู้ได้อย่างมีคุณภาพ
รองศาสตราจารย์สุขุมาล เกษมสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) กล่าวว่า การจัดนิทรรศการแต่ละครั้งเกิดจากการระดมสมองระดมความคิดของบุคลากรทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้จัดโดยแนวคิด “การศึกษาไทยสู่อาเซียน” วัตถุประสงค์เพื่อ 1.ให้นักเรียนและครูในโรงเรียนได้แสดงผลงานวิชาการที่มีประโยชน์และความรู้ 2.กระตุ้นให้นักเรียนและครูเกิดการพัฒนางานวิชาการ ความคิดสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ 3.เพื่อแสดงศักยภาพของนักเรียนและครูในโรงเรียนให้ประจักษ์ต่อสาธารณะ 4.เพื่อเป็นเวทีจัดการแข่งขันทางวิชาการแก่นักเรียนในโรงเรียนและต่างโรงเรียน 5.เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานในชุมชน 6.เพื่อให้นักเรียนและครูเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จของงาน ทั้งนี้ คณะผู้ทำงานจะมีการประเมินผลการดำเนินงานนิทรรศการวิชาการทุกครั้งเพื่อนำไปพัฒนาระบบการเรียนการสอนและการจัดงานครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
รองศาสตราจารย์สุขุมาล เกษมสุข ยังได้กล่าวถึงการเรียนการสอนของโรงเรียนว่า โดยภาพรวมทุกโรงเรียนย่อมมีระบบการสอนที่ดีแตกต่างกันไป สำหรับโรงเรียนของเราปัจจุบันมีนักเรียนกว่า 1,400 คน ใน 7 ระดับชั้นเรียน คือชั้นเด็กเล็ก-ประถมศึกษาปีที่ 6 เน้นการทำกิจกรรมระหว่างการเรียนการสอน โดยหลังจากสอนทฤษฎีความรู้ ครูจะมีกิจกรรมต่างๆ ให้เด็กได้ฝึกคิดเสมอๆ นักเรียนจะแสดงความคิดเห็นสรุปความรู้เรื่องนั้นๆ เพื่ออภิปรายนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทางปัญญา เช่น สอนเด็กเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เราจะไม่บอกปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่จะให้เด็กคิดเองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมในความคิดของพวกเขามีอะไรบ้าง ให้สรุปสาเหตุจากอะไร แล้วนักเรียนคิดว่าจะแก้ไขช่วยบรรเทาอย่างไร จะทำได้หรือไม่ จากนั้นนำความคิดมาเสนอแนะ ซึ่งเราพบว่าความคิดสร้างสรรค์ของเด็กมีความน่าสนใจบางเรื่องใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ เมื่อเด็กแสดงความคิดเห็นที่ดีครูยอมรับและชื่นชม ให้คำแนะนำเชิงเสนอแนะแนวทางที่เกิดประโยชน์ นักเรียนนำไปปฏิบัติให้เกิดผล สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีการให้ฝึกแก้โจทย์ร่วมกันแทนการให้คิดตามลำพัง เด็กๆ ช่วยกันคิด ฝึกแต่งโจทย์ขึ้นมาเพื่อฝึกให้มีอิสระทางความคิดในทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ เน้นการมีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีสืบสานความเป็นไทย อาทิ โรงเรียนการบรรจุหลักสูตรโขนระดับชั้น ป.4-5-6 ในชั้นเรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เราต้องปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ให้เกิดความภาคภูมิใจในศิลปะการแสดงของชาติไทย ควบคู่กับการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนด้านต่างๆ อาทิ สมาร์ทคลาสรูม ห้องการเรียนการสอนที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ให้รู้และสัมผัส พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กไทย ไม่เพียงเน้นเฉพาะเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว การจะทำให้เด็กมีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีครูผู้สอนหรือผู้บริหารการศึกษาคือบุคลากรที่สำคัญในระบบการเรียนการสอน นักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยที่มีครูเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กทำกิจกรรมอย่างไรให้เด็กได้ฝึกฝนความคิด ครูต้องให้โอกาสเด็กๆ ได้คิด สิ่งใดที่เด็กยังไม่รู้ ครูควรช่วยสอน แนะนำ ไม่มีสื่ออื่นใดที่ทันสมัยในโลกจะดีเท่าครูผู้สอน ที่ชีวิตจิตใจสามารถสั่งสอนให้ความรู้แก่เด็กได้
สำหรับผลการแข่งขันเอแม็ทประเภททีม ระดับประถมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศได้แก่ ด.ญ.เปี่ยมรัก เตชะไทยเจริญ ชั้น ป.3 และ ด.ช.วรพล ลิขิตเจริญพันธ์ ชั้น ป.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ส่วนเอแม็ทประเภททีม ระดับประถมศึกษาตอนปลาย รางวัลชนะเลิศ คือ ด.ญ.วราภรณ์ บ้วนนอก ชั้น ป.5 ด.ญ.วิลัยพร โภชน์พรมราช ชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านคลองใบพัด อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ได้รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมีโรงเรียนสาธิต จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย 1.โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) 2.โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) 3.โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ฝ่ายมัธยม) 4.โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ 5.โรงเรียนสาธิตชุมชนการเรียนรู้สมเด็จย่า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ (สำหรับเด็กชนเผ่าพื้นเมืองปกากะญอ หรือกะเหรี่ยง).

สมาธิชาวบ้าน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99349

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
ภูมิวิปัสสนา 1
การทำสมาธินั้นไม่ง่าย ไม่ยาก เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าจิตจะไปสู่ความเดิมแท้ได้ต้องมีวิธีการพรากจิตออกจากความคิด ซึ่งมีวิธีในการนำไปสู่เครื่องรู้ของจิตแทนการนำความคิดมาเป็นเครื่องรู้ เช่น กำหนดลมหายใจ กำหนดคำภาวนา ภาพนิมิตกสิณ วิธีต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้จิตมีเครื่องรู้ ให้จิตมีเครื่องระลึก แทนที่จะตกอยู่ใต้อำนาจความคิดอันเป็นสมมติบัญญัติ
เมื่อเราให้เครื่องรู้ จิตจะไปยึดกับเครื่องรู้ ยึดแบบไม่พรากจากกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ไปอยู่กับลมหายใจ ความรู้สึกหรือจิตนี้มันอยู่กับลมหายใจ เข้ารู้ ออกรู้ สั้นรู้ ยาวรู้ อยู่อย่างแนบแน่น สนิทกัน ไม่พรากจากกัน เพราะจิตไม่มีจังหวะใดที่จะหลุดไปคิด คือจิตอยู่กับกรรมฐานที่ให้อย่างแนบแน่น จิตจับความรู้สึก จับกับลมหายใจตลอดเวลาไม่พรากจากกัน แต่ช่วงขั้นนี้ผู้ปฏิบัติใหม่จะทำได้ยากหน่อย เพราะบางครั้งต้องใช้เวลา บางคนจะอยู่ได้ระยะหนึ่ง จิตจะพรากออกไปเอง เอาไปคิดซ้าย คิดขวาต่างๆ แต่เมื่อมีสติระลึกได้ จิตจะกลับมาใหม่และเป็นอยู่เช่นนั้น หากไม่นำรวมกันเป็นหนึ่งได้ จิตจะยึดติดกับความคิด เมื่อจิตไม่พรากจากความคิดก็จะไม่รู้สภาวะจิตเดิมแท้ได้
จิตเดิมแท้เป็นอาการของธาตุรู้อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะถูกครอบงำจากความคิดอันเป็นสมมติบัญญัติ เมื่อจิตติดสมมติบัญญัติจะขังอยู่ในกรอบความคิดนั้นๆ ทำให้รู้เฉพาะในสิ่งที่เป็นความคิด ความฝัน กายสังขารเกิดมาจากธาตุรู้ เรียกว่าอวิชชา ยึดมั่นถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จิตไปเกิดในความคิดความฝันของเราเอง มิติของความคิด ความฝัน คิดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นความจริง เพราะจิตที่ไม่ได้ฝึกอบรมมาอยู่ในภาวะไม่รู้ความจริงต่างเกิดมาในความฝัน มีกรรมต่างๆ ผูกพันกัน เกิดในความฝันร่วมกัน ทั้งที่สิ่งที่เราอยู่มันเป็นมิติของความคิดและความฝัน แต่เราแยกไม่ออกว่าแท้จริงแล้วคือความคิดมาปรุงแต่ง รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง ทำให้เวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ หลุดออกไปไม่ได้
พระพุทธเจ้ารู้ว่าความคิดเหล่านี้เป็นมิติของความคิด ซึ่งการจะหลุดพ้นออกจากมิติของความคิดได้ มีทางเดียวคือต้องมีปัญญาพระนิพพาน ถ้าไม่ได้ปัญญาพระนิพพานแล้วย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิด เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในความคิด ความฝันของตัวเราเองนี้ ออกไปไหนไม่ได้
แนวทางการอบรมจิต คือเมื่อเรารวมจิตแล้วเริ่มรู้ความจริง จิตสงบลงด้วยอุบายกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตออกจากความคิดได้ เกิดปัญญาเรียกว่า “ภูมิวิปัสสนา” เกิดขึ้นเมื่อจิตพ้นอำนาจความคิดแล้ว เกิดความรู้ ความจริงต่างๆ ขึ้นมา ผู้ฝึกปฏิบัติเริ่มแรกนานๆ จึงจะเกิดอาการนี้ครั้งหนึ่ง ต่อไปเมื่อสมาธิมันมั่นคงแข็งแรงดี อาการผุดรู้จะเกิดเร็วขึ้น ต่อมาความรู้จะหลั่งไหลเหมือนสายน้ำไม่ขาดตอน ไม่ขาดสาย แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว จิตก็ยังคงมีปัญญาความรู้หลั่งไหลออกมาตลอด เป็นภูมิวิปัสสนาที่จิตพ้นอำนาจครอบงำของความคิดเดิม เกิดภาวะรู้จริง.

วิถีไทย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99350

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
พลิกฟื้น’สามพราน’สู่วิถีเกษตร
จัดงาน’วันสังคมสุขใจ’29-30 พ.ย.
รัฐ-เอกชน-เกษตรกร-องค์กรพัฒนาเอกชน อำเภอสามพราน จ.นครปฐม อบต.17 ตำบล มูลนิธิสังคมสุขใจ สามพรานริเวอร์ไซด์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มหาวิทยาลัย โรงเรียน และเกษตรกรในจังหวัดนครปฐม ผนึกกำลังความร่วมมือ จัดงาน “วันสังคมสุขใจ” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 29-30 พฤศจิกายน ณ สวนสามพราน ระดมพืชผักผลไม้ที่ปลูกและผลิตในระบบอินทรีย์ และเกษตรปลอดภัย จากเกษตรกรในจังหวัดนครปฐม มาให้ผู้บริโภค ชม ช็อปและชิมภายใต้บรรยากาศตลาดน้ำอินทรีย์ย้อนยุค ตลาดบกอินทรีย์โบราณ มั่นใจได้รับการตอบรับสูง หวังพลิกฟื้นและคืนชื่อเสียงอันลือเลื่องของอำเภอสามพราน ว่าเป็นแหล่งปลูกและจำหน่ายพืชผักผลไม้คุณภาพดี
นายมนู สร้อยพลอย อดีตนายอำเภอ อำเภอสามพราน ซึ่งเป็นผู้ร่วมบุกเบิกโครงการสามพรานโมเดล กล่าวว่า อำเภอสามพรานเป็นพื้นที่เพาะปลูกและจำหน่ายผลไม้ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ คุณภาพเป็นที่ยอมรับ แต่ด้วยปัจจัยจากสื่อโฆษณาทำให้เกษตรกรสำคัญผิดในเรื่องของการเพิ่มปริมาณ และคุณภาพผลผลิต ทำให้มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งต้นทุนการผลิตก็สูงตาม
จากปัญหาเหล่านี้ทางอำเภอจึงได้ร่วมกับหน่วยงานราชการ ท้องถิ่น พลังชุมชน เกษตรกร และนักวิชาการ นำองค์ความรู้จากโครงการสามพรานโมเดล มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกษตรกรในอำเภอสามพรานตระหนักถึงความสำคัญ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการทำเกษตรตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นตัวเกษตรกรผู้ปลูก เรื่องดิน น้ำ ผลิตผล รวมถึงระบบการตลาด โดยทำแบบครบวงจร เพื่อหวังเปลี่ยนจากเกษตรกรเคมีสู่วิถีเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน
“การจัดงานวันสังคมสุขใจครั้งนี้มีความสำคัญและมีความหมายมาก เพราะจากมุ่งมั่นพยายามจากทุกภาคส่วน ทำให้วันนี้ อ.สามพราน เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เกษตรกรตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมี หันมาทำการเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น และขยายเครือข่ายกว้างออกไปเรื่อยๆ อีกทั้งทำอย่างจริงจังเป็นระบบ ทำให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ส่งผลให้เกษตรกรจำนวน 30 ราย กำลังจะได้รับการรับรองมาตรฐานอินทรีย์สากล จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.)” นายมนู กล่าว
ด้านนายอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สามพรานริเวอร์ไซด์ และเลขานุการมูลนิธิสังคมสุขใจ ในฐานะประธานจัดงานวันสังคมสุขใจ เปิดเผยว่า เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่มีความพยายามภายใต้โครงการสามพรานโมเดล สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)เพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิถีในการการเกษตรของเกษตรกร ในอำเภอสามพรานและภายในจังหวัดนครปฐม จากการใช้เคมีมาใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ โดยก่อนหน้านี้อำเภอสามพราน ร่วมกับ 40 หน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมลงนามความร่วมมือในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสินค้าอินทรีย์ โดยตั้งเป้าว่าจะพัฒนาอำเภอสามพราน ให้เป็นชุมชนแห่งความสุข ปลอดสารเคมี เป็นแหล่งใหญ่ในการผลิตสินค้าอินทรีย์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
“เพื่อนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าวรวมถึงขยายการทำเกษตรอินทรีย์ และกระตุ้นความต้องการผลผลิตอินทรีย์ของผู้บริโภคให้มากขึ้น จึงได้มีการจัดงานวันสังคมสุขใจในวันที่ 29-30 พฤศจิกายนนี้ที่สวนสามพราน เพื่อนำเสนอคุณค่าของโครงการสามพรานโมเดล และนำผลผลิตอินทรีย์ของเกษตรกร มาโชว์และจำหน่าย พร้อมเปิดตัวเกษตรกรที่กำลังจะได้รับการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ในปี 2557”
สำหรับงานวันสังคมสุขใจ ครั้งที่ 1 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ย้อนสังคมไทย สู่เกษตรอินทรีย์ เพื่อชีวีปลอดภัย โดยได้รับเกียรติจากหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานในวันที่ 29 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. ซึ่งไฮไลต์ของงานจะเป็นการเปิดตลาดน้ำอินทรีย์ย้อนยุค ซึ่งเกษตรกรจะนำผลผลิตอินทรีย์ลงเรือมาจำหน่ายและตลาดบกโบราณอินทรีย์ ที่มีผลผลิตอินทรีย์ สดจากไร่ ตัดใหม่จากสวนของเกษตรกรกว่า 100 ชนิด มาให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อในราคาสบายกระเป๋า
ตัวอย่างกิจกรรม อาทิ ซุ้มกุหลาบมอญอินทรีย์ ไอเดียบ้านดินพอเพียงในฝัน การสอนเทคนิคการทำปุ๋ย การบำรุงดิน การปลูกพืชผักสวนครัวในกระถางและจากวัสดุเหลือใช้ชิมเมนู เช่น นพเก้าน้ำพริกสูตรเด็ด 9 ชนิด พร้อมข้าวหุงหม้อดิน 9 สายพันธุ์ ที่เคียงมากับผักไทยพื้นบ้านสดๆ รวมถึงช็อปผักผลไม้อินทรีย์ และเพื่อฟื้นตำนานข้าวสารขาว ลูกสาวสวย จะมีการประกวดลูกสาวชาวสวน เพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์การจัดงานวันสังคมสุขใจ ในปีต่อๆ ไปด้วย พร้อมเปิดจองข้าวหอมนครชัยศรีอินทรีย์ นาแรกของสวนสามพราน ซึ่งมีจำนวนเพียง 500 กิโลกรัมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Post&Share สำหรับผู้ชอบถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กชิงรางวัลอีกด้วย
“เชื่อว่างานวันสังคมสุขใจ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วน ด้านเกษตรกรก็จะได้เห็นความต้องการของตลาดที่กว้างขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาแปลงปลูกและแผนการจัดการผลผลิต ด้านผู้บริโภคซึ่งได้เจอ ได้พูดคุยกับเกษตรกรโดยตรง ก็จะมีความมั่นใจในสินค้าที่เขาซื้อมากขึ้น ตลอดจนรู้แหล่งสินค้าอินทรีย์ ด้านภาครัฐ-เอกชน และ NGO ก็จะเห็นถึงความตื่นตัวของสังคม และหันมาช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาโซ่อุปทานอินทรีย์ พร้อมนำโครงการสามพรานโมเดลไปขยายผลสู่การสร้างสังคมสุขใจให้กับชุมชนอื่นๆ” นายอรุษ กล่าว

เขาขาม-ภูพนมดี

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99351

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
ที่ภาคอีสานมีจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งแยกตัวมาจากจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ 21 ปีที่ผ่านมา เป็นจังหวัดอันดับที่ 75 ของประเทศ แม้จะเป็นจังหวัดขนาดเล็ก มีประชากรเพียงกว่า 3 แสนคน ทว่า ก็มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง
ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาก็มีพุทธอุทยานประดิษฐาน พระมงคลมิ่งเมือง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอำนาจเจริญและจังหวัดใกล้เคียงเคารพและศรัทธา อยู่ห่างจากตัวเมืองอำนาจเจริญทางทิศใต้ราวๆ 3 กิโลเมตร
พุทธอุทยานบริเวณโดยรอบจะปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด สงบร่มรื่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและประกอบพิธีทางศาสนาในวันสำคัญๆ ของชาวอำนาจเจริญมาช้านาน
นอกจากนี้ ถ้าไปตามถนนอรุณประเสริฐ ทางทิศตะวันออกของจังหวัดอำนาจเจริญประมาณ 15 กิโลเมตร ก็มีถ้ำแสงเพชร ณ ยอดภูเขาขาม เป็นที่ตั้งของเจดีย์ คล้ายกับเจดีย์นครปฐม ภายในเจดีย์จะมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชาที่สมัยก่อนเคยมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ถัดไปก็จะเป็นมหาวิหารหรือศาลาพันห้อง ซึ่งด้านล่างวิหารทำเป็นที่เก็บน้ำฝนให้พระสงฆ์ได้อุปโภคและบริโภคในช่วงฤดูแล้ง เบื้องหน้ามหาวิหารก็จะเป็นที่ประดิษฐานพระนอนขนาดยาว 22 เมตร
หากเดินจากยอดเขาลงไปถ้ำแสงเพชร ระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร ก็จะพบเห็นถ้ำแสงเพชรและถ้ำโคนอน รวมถึงถ้ำพระ ถ้ำค้างคาว โดยเฉพาะระหว่างเดินเท้าลงจากยอดเขาจะได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมเสียงจักจั่น นกนานาชนิดส่งเสียง ทำให้จิตใจสดชื่น
ก่อนถึงถ้ำแสงเพชร ก็ยังมีแหล่งที่สำคัญอีกแห่ง ผู้คนไม่ค่อยรู้จักมากนักซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองอำนาจเจริญประมาณ 25 กิโลเมตร ไปตามถนนอรุณประเสริฐ (ถนนสายหลัก) ทางทิศตะวันออก ถึงบ้านดอนหวายให้เลี้ยวซ้าย เข้าถนนสองรอง ดอนหวาย-ชานุมาน เลยบ้านนาอุดมราวๆ 3 กิโลเมตร ก็จะเห็นเจดีย์หินพันล้านก้อนตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาพนมดีเป็นจุดเด่น สะดุดตา
จากป้ายบอกทางเข้าภูพนมดีสู่ถนนลูกรังคับแคบ รถยนต์สวนกันไม่ได้ ขับลัดเลาะตามไร่ยางพารา ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ที่ปลูกอยู่ 2 ข้างทางไปเรื่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปอย่างช้าๆ ระหว่างขับรถขึ้นเขาจะเห็นกุฏิสงฆ์ตั้งอยู่ในซอกหินเป็นระยะๆ จนถึงยอดเขา
แม้ทางขึ้นจะเป็นลูกรัง มีทางน้ำเซาะผ่านเป็นช่วงๆ ก็ตาม ถือว่าทางขึ้นสะดวกสบายไม่ถึงกับทุลักทุเลมากนัก
เมื่อยืนอยู่บนยอดภูเขาพนมดี ในยามฤดูหนาว แสงแดดอ่อนๆ ประกอบกับกระแสลมฤดูหนาวพัดผ่านเป็นระยะๆ ทำให้เหมาะในการเดินเขาท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เพราะไม่เหนื่อย
บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยใบไม้ ร่มรื่น มีแมกไม้นานาพันธุ์ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ภูพนมดี บ้านนาอุดม ตำบลหนองไฮ อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ มีพระสงฆ์ จำนวน 6 รูป
พระครูธรรมชาติ อตโร เป็นเจ้าอาวาส สังกัดธรรมยุติ มีกุฏิ 6 หลัง ตั้งอยู่ตามถ้ำหรือซอกหิน ศาลาการเปรียญแบบเพิงสังกะสี 1 เพิง ตั้งอยู่บนลานหิน ท่ามกลางแมกไม้สงบร่มรื่น
ภูพนมดีอยู่ในแนวเทือกเขาภูพาน เดิมมีชื่อเรียกว่า ภูแม่หม้าย เนื่องจากบริเวณภูเขาแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จำนวนมาก จึงเป็นแหล่งอาหารชาวบ้านมักจะเข้ามาล่าสัตว์ไปทำอาหารและตัดต้นไม้ทำบ้านเรือนเป็นประจำ
โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เข้ามาล่าสัตว์และตัดต้นไม้ จะเกิดอาถรรพณ์ทำให้ล้มป่วยเสียชีวิต ภรรยาขาดสามี ทำให้เป็นหม้ายทั้งหมู่บ้าน จึงถูกเรียกว่า ภูแม่หม้าย
เชื่อว่าเจ้าป่า เจ้าเขา ที่ปกป้องผืนป่าแห่งนี้แสดงอิทธิฤทธิ์ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าไปตัดไม้ทำลายป่า กระทั่งปัจจุบันเมื่อจะหาของป่าหรือสัตว์ป่าไปทำอาหารต้องขอท่านเจ้าป่าเจ้าเขาเสียก่อนก็จะไม่เกิดอันตราย
ต่อมามีพระกรรมฐานผ่านมาและได้ปักกลดปฏิบัติธรรม เมื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนชื่อจากภูแม่หม้าย เป็นภูพนมดี เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ทางราชการเรียกว่า ภูผาดี
พื้นที่โดยรอบของภูพนมดี ประกอบด้วย 1.ผาดี หน้าผาชมธรรมชาติ 2.หนองหมาจอก 3.ผากล้วยไม้ 4.ป้อมฝรั่งเศส 5.ถ้ำเกีย (ค้างคาว) 6.ถ้ำปู่อังคฮาด 7.ถ้ำแสงแก้ว 8.เจดีย์หินพันล้านก้อน 9.เรือสำเภาราชสีห์ 10.พระศรีรัตนตรัยรัตน์
ประวัติการก่อสร้างเจดีย์หินพันล้านก้อน เล่ากันว่า ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ ชาวตำบลหนองไฮ ห่างจากภูพนมดีประมาณ 5 กิโลเมตร มักจะเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเสมอ
ชาวบ้านจะพบเห็นลำแสงสีเขียวพาดผ่านถ้ำปู่อังคฮาดไปยังถ้ำแสงแก้ว และเชื่อว่า ปู่อังคฮาดแสดงปาฏิหาริย์ปกป้องรักษาบริเวณพื้นป่าและเทือกเขาแห่งนี้ให้อุดมสมบูรณ์ ไม่ให้ตัดไม้ทำลายป่า
ต่อมา พ.ศ. 2530 พระอาจารย์ปัญญา จากวัดสุปัฏวนารามวรวิหาร จังหวัดอุบลราชธานี ได้มาปฏิบัติธรรม ร่วมกับพระอาจารย์เพียว พระอาจารย์โจ พระอาจารย์ปัญญา นิมิตอัศจรรย์ว่าเหล่าเทวดาต้องการให้สร้างสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
จึงนำเรื่องไปปรึกษาญาติโยมสร้างเจดีย์ เพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับพุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วย
ปี พ.ศ. 2529 พระสงฆ์และชาวบ้าน ตำบลหนองไฮ ร่วมกันดำเนินการก่อสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีขาวทั้งองค์บนหน้าผา ชื่อว่า พระศรีรัตนตรัยรัตน์ และสร้างบันได 245 ขั้น เพื่อเป็นทางขึ้นลงของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน
ต่อมา ปี พ.ศ. 2542 พระอาจารย์ปัญญา เจ้าอาวาสองค์แรก ร่วมกับชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ ทำจากหินภูเขาสีขาวที่ชาวบ้านคัดแยกขนาดตามต้องการ ติดกับโครงสร้างรูปร่างเจดีย์นับพันนับล้านก้อน กลายเป็นรูปร่างเจดีย์หินพันล้านก้อนมีความสูง 30 เมตร ฐานกว้าง 20 เมตร
ภายในเจดีย์เป็นที่สำหรับปฏิบัติธรรม ประกอบพิธีทางศาสนา และยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ชั้นนำที่มรณภาพไปแล้ว เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชา และภาพเขียนประวัติพระพุทธเจ้าอย่างสวยงาม
สำหรับเรือสำเภาราชสีห์ อยู่ห่างจากเจดีย์ประมาณ 20 เมตร เดิมสร้างเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในการก่อสร้างเจดีย์ มีลักษณะเป็นรูปเรือสำเภา หัวเป็นราชสีห์ กลางเรือ ภาพแกะสลักรูปพระนอนทอดยาวไปตามเรือสำเภาอย่างสวยงาม สร้างเสร็จเมื่อปี 2547 ใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี
ช่วงฤดูหนาวของทุกปี ระหว่างวันที่ 27-31 ธ.ค. 57 ชาวบ้านนาอุดม ตำบลหนองไฮ อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ จะจัดงานบุญข้าวจี่ขึ้น ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลานับ 100 ปี ด้วยการปิ้งข้าวจี่ถวายพระสงฆ์ เพื่อเป็นสิริมงคลและได้กุศลแรง ผู้ใดสนใจก็ไปร่วมกันได้.
สนธยา ทิพย์อุตร

เปิดเมนูจานเด็ดร้าน ‘กระท้อน’ ไก่ลอยฟ้า ถ.บางนา-ตราด กม.1

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99353

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
ผมเคยได้ยินชื่อเมนู “ไก่ลอยฟ้า” มานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองเลยสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีโอกาสแวะไปกินที่ร้านอาหาร “กระท้อน” ซึ่งเป็นต้นตำรับเมนูพิสดาร “ไก่ลอยฟ้า” นอกจากได้พิสูจน์รสชาติของไก่ร้านนี้แล้ว ยังรู้ว่าที่นี่มีเมนูอาหารอีกมากมาย ซึ่งทั้งอร่อยและไม่เหมือนใคร
ร้านนี้ต้องพาไปกันหลายคน อย่างน้อยประมาณ 3-4 คนถึงได้สั่งเมนูหลากหลาย แต่ที่ต้องมีบนโต๊ะอันดับแรกสุดคือ “ไก่ลอยฟ้า” ที่ว่าเป็นเมนูพิสดาร เพราะจะว่าเป็นไก่ย่างก็ไม่ใช่ ไก่อบก็ไม่เชิง แต่แปลกตรงที่เอาไก่เนื้อน้ำหนักตัว 8 ขีดไปต้มพะโล้ประมาณ 30 นาทีเพื่อให้เครื่องเทศซึมเข้าเนื้อไก่ได้ทั้งรสชาติเข้มข้นกลมกล่อมและมีกลิ่นหอม จากนั้นเอาไปผึ่งจนแห้งแล้วนำไปทอด ขั้นตอนสุดท้ายคือใช้เครื่องยิงให้ลอยแล้วมีคนรับก่อนจะนำไปเสิร์ฟลูกค้า
ส่วนหนังไก่ร้านนี้ต้องบอกว่ากรอบสุดๆ เนื้อข้างในเหนียวนุ่มกำลังดี และต้องกินคู่กับแตงกวา แครอตและหัวไชเท้าดอง คลุกเคล้าน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้านทำเอง ซึ่งมีส่วนประกอบคือ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซอสเปรี้ยว ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย พริกไทย น้ำมันหอยและงาคั่ว นำส่วนผสมทั้งหมดไปต้มให้เดือดก็จะได้น้ำจิ้มรสเด็ดครบทุกรสทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็มและหอม หรือจะลองไปประยุกต์ทำเองที่บ้านก็ได้เช่นกัน
ไก่ลอยฟ้าราคาตัวละ 140 บาท ซึ่งถือว่าถูกและคุ้มค่ากับความอร่อย เพราะแทะกันเพลินจนเหลือแต่กระดูก กินไปก็ดูไก่ลอยฟ้าไป ทั้งสนุกและถูกใจเลยทีเดียว
เมนูอื่นๆ ที่ผมสั่งมากินโดยเลือกที่หากินได้ยาก เช่น “เป็ดแดดเดียว” เลือกใช้เนื้อหน้าอก แล่เป็นชิ้นโตๆ กินเต็มปากเต็มคำ นำไปตากแดดให้เนื้อเป็ดแห้ง (มีมุ้งกางป้องกันแมลงวันตอม) แล้วนำไปหมักกับซอสปรุงรสทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงแล้วนำไปทอดในกระทะน้ำมันเยอะๆ ไฟแรง ทำให้หนังกรอบเนื้อนุ่มอร่อยแปลกลิ้น จานนี้ 170 บาท
“ปอเปี๊ยะสวรรค์” มีส่วนผสมคือ เนื้อกุ้งสับหยาบๆ เม็ดมะม่วงและแฮม คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วใส่ในแผ่นแป้งนำไปทอด กินกับน้ำจิ้มบ๊วย ราคา 150 บาท
“ขนมผักกาดทอด” สูตรแต้จิ๋ว โดยคุณธงชัย รัตนพิภพ เจ้าของร้าน “กระท้อน ไก่ลอยฟ้า” นำมาจากคุณแม่ที่ทำให้กินบ่อยๆ โดยใช้แป้งข้าวเจ้ากับแป้งเท้ายายม่อม มีหัวไชเท้าขูดเป็นเส้นๆ ใส่ถั่วลิสงและกุ้งแห้ง นำไปนึ่งแล้วค่อยทอด อร่อยไม่เหมือนเจ้าอื่นที่อาจจะมีแต่เนื้อแป้งเยอะๆ แต่ร้านนี้กินแล้วได้เคี้ยวกุ้งและถั่วผสมกับแป้งนุ่มๆ ราคา 120 บาท
และปิดท้ายด้วยเมนู “เนื้อปูผัดพริกขี้หนู” ทำง่าย แต่อร่อยสะใจจริงๆ คุณธงชัยบอกขั้นตอนการทำคร่าวๆ ว่า เตรียมเนื้อกรรเชียงปูโดยจะต้องนำไปนึ่งดับกลิ่นคาว ใส่เนื้อปูในภาชนะพร้อมด้วยต้นหอมทั้งต้น ขิงหั่นเป็นแว่นๆ เหล้าจีน เอาไปนึ่งเพิ่มความหอมใช้เวลา 15 นาที
จากนั้นเตรียมเครื่องผัด ประกอบด้วยกระเทียมจีนสับหยาบๆ พริกขี้หนูสวน พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นแว่นเพิ่มสีสัน ต้นหอมหั่นเป็นท่อน หลังจากนึ่งปู 15 นาทีผ่านไป ผึ่งเนื้อปูให้แห้งและสะเด็ดน้ำ ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ผัดกระเทียมและพริกขี้หนู คั่วจนหอมมีกลิ่นฉุนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเหยาะน้ำสต็อกไก่ ใส่เหล้าจีนเล็กน้อย น้ำมันหอย ซอสปรุงรส น้ำตาลทรายและพริกไทยป่นเพิ่มความหอม จากนั้นเทเนื้อปูลงไป กระดกกระทะหลายรอบๆ แล้วใส่ต้นหอมหั่นท่อนเป็นอันเสร็จ ราคาจานละ 300 บาท
ปัจจุบันคุณธงชัยเป็นเจ้าของร้านและมอบให้ลูกชายคือ คุณณัฐเศรษฐ ช่วยดูแลกิจการที่เปิดมายาวนานถึง 26 ปี สถานที่ตั้งอยู่ริมถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 1 ใกล้กับสี่แยกบางนา ตรงข้ามศูนย์ประชุมไบเทค มีที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบาย เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00-01.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร.0-2399-5202, 0-2399-3557, 08-1621-5939.

บทเรียนกรณีน้องไลล่า หมากับการสอบสวนไม่เป็นธรรม : เมธา มาสขาว

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99357

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
มีคนคุยกับผมว่า บทเรียนกรณีน้องไลล่า เหนียวไก่หาย เป็นเรื่องเล็กๆ ของสังคม แต่แท้จริงคือปัญหาของรัฐและกระบวนการยุติธรรมไทย ที่สะท้อนถึงความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ ประชาชนทั่วไปที่เป็นคนเล็กคนน้อยก็คงไม่สามารถเข้าถึงความปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของรัฐได้เช่นกัน
แน่นอน มีปัญหาใหญ่กว่านี้ในสังคมไทยให้รัฐแก้ไข มีเรื่องใหญ่กว่านี้ที่ประชาชนเรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหา และต้องการให้สังคมสนใจมากกว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ที่กลายเป็นกระแส เพราะอัตลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าทุกข์ แต่หลายคนคิดไปถึงขั้นว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถสืบหาตัวผู้กระทำความผิดได้แม้เรื่องเล็กน้อยนี้ แล้วเรื่องใหญ่กว่านี้จะทำได้อย่างไร มันคือความล้มเหลวของระบบ มันคือความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
ขออนุญาตเจาะลึกในเรื่องนี้เพื่อทำให้เห็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะปัญหาในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ซึ่งกำลังมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจในขณะนี้ โดยให้แยกอำนาจสืบสวน-สอบสวนออกจากกัน
บทเรียนกรณีน้องไลล่า เหนียวไก่หาย ก็คือ ภายหลังจากที่ได้โพสต์คลิประบายความคับแค้นใจกรณีเหนียวไก่หายด้วยภาษาปักษ์ใต้แบบบ้านๆ มีผู้คนสนใจเข้าไปดูกว่าล้านวิว จึงเดือดร้อนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ที่มองว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงเข้าไปไกล่เกลี่ย เกลี้ยกล่อม ซื้อเหนียวไก่ไปปลอบขวัญเจ้าทุกข์จนอิ่มแปล้หายอยาก พร้อมถ่ายคลิปขอโทษประชาชนทั้งประเทศที่ระบายอารมณ์รุนแรงต่อคนลักเหนียวไก่ตามประสาคนใต้พูดจากใจตรงไปตรงมา ไม่นึกว่าจะกลายเป็นกระแสและมีผลกระทบมากมายกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตชั่วข้ามคืนจนผู้ว่าฯ มาเยี่ยมถึงบ้านขนาดนี้
แค่ต้องถ่ายคลิปขอโทษที่ระบายอารมณ์ไม่สุภาพ ก็ทำให้น้องไลล่าเครียดเกินพอแล้ว แต่ที่ซ้ำร้ายก็คือได้ถูกผู้บังคับการตำรวจจังหวัดสตูลนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนอย่างเข้มข้นว่าเหนียวไก่หายไป เพราะเหตุใดกันแน่ เกิดจากการกระทำผิดทางอาญาของผู้ใดหรือไม่ จะได้นำตัวมาดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ให้เข็ดหลาบ มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพยานแวดล้อม แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานหรือมีผู้ใดยืนยันว่าเหนียวไก่ห่อนี้หายไปเพราะถูกใครลักขโมย และน้องไลล่าก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเกิดจากการกระทำผิดทางอาญา เพียงแต่สันนิษฐานว่ามันน่าจะถูกคนขโมยเอาไปเท่านั้น เพราะเหนียวไก่วางอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานยนต์ หมาไม่น่าจะมีความสามารถปืนขึ้นมาคาบเอาไปได้ มันจะต้องเป็นคนอย่างแน่นอน แต่ซ้ำร้ายกล้องวงจรปิดดันมาเสียใช้งานไม่ได้ในวันเกิดเหตุเช่นเคย
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายผลการสอบสวนที่กระทำกันอย่างละเอียดรอบด้าน ถูกผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูลสรุปว่า ม.ค.ป.ด. (หมาคาบไป….) โดยอ้างคำให้การของพยานบุคคลแวดล้อมที่ตำรวจสอบปากคำว่าเคยเห็นหมาอยู่ในบริเวณนั้นหลายตัว น่าจะเป็นผู้คาบเอาไป ซึ่งถ้าคนคาบไปถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ ม.ค.ป.ด. ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญาใดๆ เพราะคำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้หมายรวมถึงหมาด้วย จะถือว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายก็คงได้
แต่ปัญหาในเรื่องนี้ก็คือ หมาได้คาบเหนียวไก่ห่อนี้ไปจริงหรือไม่ เหตุใดผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูลจึงสรุปเช่นนั้น ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิดหรือหลักฐานของกลางในปากหมา เป็นธรรมต่อหมาหรือไม่ เนื่องจากตามข้อเท็จจริงได้มีคนโพสต์คลิปในเวลาต่อมา โดยคลุมหน้ารับสารภาพว่าเป็นคนลักเหนียวไก่ห่อนั้นไปจริง พร้อมขอโทษผู้เสียหายที่หยิบฉวยไป เพราะเหนียวไก่หอมชวนกินอดใจไม่ไหว ซึ่งนั่นหมายถึงกรณีมีเบาะแสว่าบุคคลเป็นผู้กระทำผิดฐานลักทรัพย์และถ่ายคลิปรับสารภาพเป็นหลักฐาน แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด ก็เป็นหน้าที่ของผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจะต้องระดมทีมสืบสวนหาหลักฐาน ว่าผู้ชายที่คลุมหน้าถ่ายคลิปนั้นเป็นใคร เพื่อสอบสวนแจ้งข้อหาดำเนินคดีฐานลักทรัพย์
แต่ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า เจ้าหน้าที่กลับละเลยไม่สืบสวนสอบสวนตามเบาะแสดังกล่าว สรุปการสอบสวนอย่างรวบรัดว่า ม.ค.ป.ด. ซึ่งเป็นการสอบสวนแบบยัดข้อหาหมา ซึ่งไม่มีทางต่อสู้แสดงพยานหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง เพราะพูดภาษาคนไม่ได้ และไม่มีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาจากตำรวจให้ถ้อยคำต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม
การสอบสวนแบบยัดข้อหาหมานี้ ได้ทำให้น้องไลล่าเครียดขึ้นเป็นทวีคูณ มีคนโพสต์ไปด่ามากมาย กลายเป็นว่าตนพูดจาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าเหนียวไก่ถูกคนลักขโมย ทั้งที่เหตุเกิดจากหมา รวมทั้งอีกด้านหนึ่งอาจทำให้คนต่อว่าได้ว่าเป็นต้นเหตุให้หมาถูกกลั่นแกล้ง ยัดข้อหาเพื่อปิดคดีรักษาภาพลักษณ์ของจังหวัด จนหลายคนสงสารหมาจับใจ แต่ก็จำเป็นต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับตำรวจ เพื่อเป็นการปิดคดียืนยันว่าจังหวัดไม่ได้มีปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ถึงขนาดเหนียวไก่ราคาเพียง 30 บาท ใส่ไว้หน้าในตะกร้าหน้ารถยังถูกลักขโมย ผู้คนจะพากันรังเกียจไม่มาเที่ยวในฤดูกาลที่จะมาถึง
เรื่องนี้ด้านหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดมีความเข้มแข็งต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างยิ่ง เหนียวไก่เพียง 30 บาทหาย ก็ยังใส่ใจสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย ทั้งที่น้องไลล่าไม่ได้แจ้งความหรือร้องทุกข์ เพราะถือว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ต้องรอผู้เสียหายให้เสียเวลา
เสียแต่ก็ว่า การสอบสวนไม่ได้ดำเนินการจนสิ้นกระแสความ ไม่สืบสวนหาตัวผู้โพสต์คลิปรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ลักขโมย ซึ่งถือเป็นเบาะแสสำคัญ แต่รีบสรุปปิดโดยคดีสันนิษฐานว่า ม.ค.ป.ด. ทั้งที่ไม่พยานหลักฐานแน่ชัด นี่คือปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องอำนาจการสืบสวน-สอบสวนที่ทับซ้อนกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ วงสนทนาของผมสรุปว่า นี่ถือเป็นการสอบสวนที่ไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อหมาอย่างยิ่ง! (ฮา)
นอกจากหมาแล้ว ผมนึกถึงคดีเกาะเต่า และแพะในคดีอื่นๆ.

โทงเทง หยุดการอักเสบในลำคอ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99360

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
ไปเดินดูผลไม้ในห้างสรรพสินค้า สะดุดตากับผลไม้ที่ใส่กล่องใสไว้ หยิบดูก็รู้เป็นโทงเทง เพียงแต่สงสัยว่าทำไมลูกใหญ่จัง พอพลิกดูชื่อข้างกล่องเขียนไว้ว่า “เคปกูสเบอรี่” แสดงว่าต้องเป็นพืชพันธุ์ต่างประเทศแน่นอน ลองไปค้นข้อมูลก็พบว่า เจ้าผลไม้ที่ว่า เขาเรียกโทงเทงฝรั่ง ก็ถึงบางอ้อ!
สำหรับเจ้าโทงเทงฝรั่งนี้จัดเป็นพืชในตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ พิทูเนีย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้แถบประเทศเปรู ชิลี มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physalis Peruviana L. เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติป้องกันไข้หวัด ภูมิแพ้ วิตามินเอป้องกันอาการตาบอดในที่มืด ทำให้สายตาดี ผิวพรรณสวย ผมสวยดกดำ ตอนนี้มีการนำมาปลูกเป็นผลไม้เมืองหนาวขายกันแล้ว ทราบว่าในเมืองไทยแถวดอยอินทนนท์ก็มีการปลูกเพื่อจำหน่ายเหมือนกัน
พอหันกลับมาดูโทงเทงไทย จะพบเห็นขึ้นอยู่ตามข้างทางทั่วไป จัดเป็นพวกวัชพืชที่ไม่ใคร่มีใครรู้คุณค่า เคยพบข้างทางเดินกลับบ้าน เล็งไว้แล้วว่าลูกใกล้สุกเมื่อไหร่เธอเสร็จฉันแน่ แต่พอวันใหม่กะว่าจะไปเมียงมองดูว่ายังอยู่สบายดีหรือเปล่า กลับไม่พบต้นหญ้าและเจ้าโทงเทงแถวนั้นสักตนเลย..เลียบเตียน..สวยงามและสะอาด ต้องปรบมือให้กับความขยันของเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดของเขตที่ขยัน แต่มันกลับทำให้เจ้าต้นโทงเทงของฉันหายวับไปหมด
ครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสลูกโทงเทงต้องยอมรับว่ารสชาติดีมาก อร่อยและหอมด้วย ที่สำคัญโทงเทงจัดเป็นยาสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ชาวจีนจะปลูกยาตัวนี้เก็บไว้ใช้ประโยชน์ แต่สำหรับหมอไทยก็เก็บเอาจากที่รกชัฏข้างทางไปใช้ได้เพราะมีขึ้นเยอะแยะ แต่พักหลังพวกวัชพืชมักถูกทำลายไปมากจึงไม่ค่อยได้พบโทงเทงมากเท่าไหร่
ประโยชน์ที่สำคัญของโทงเทงคือ ใช้รักษาอาการทอนซิลอักเสบ หมอพื้นบ้านใช้ทั้งต้นตำให้แหลกละลายกับสุรา เอาสำลีชุบเอาน้ำยาใช้อมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านลำคอทีละนิด แก้ทอนซิลอักเสบ หรือที่เรียกว่าต่อมน้ำลายอักเสบ แก้ฝีในคอ ใช้แก้อาการอักเสบในลำคอได้ดี หรือคนที่แพ้แอลกอฮอล์ก็ใช้ละลายกับน้ำส้มสายชูแทน ใช้ภายในแก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ภายนอกแก้ฟกบวมอักเสบทำให้เย็น
โทงเทงมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น อาทิ โทงเทง โคมจีน เผาะแผะ ทุ้งทิ้ง มะก่องเช้า ตุ้งติ้ง ต็งอั้งเช้า ทุงทิง โคมญี่ปุ่น ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ คือ Physalis minima Linn. วงศ์ Solanaceae เป็นสมุนไพรเล็กๆ จำพวกหญ้า ต้นสูงประมาณครึ่งฟุตถึง 2 ฟุต ใบกลมคล้ายใบพิมเสน แต่เล็กกว่าและบางกว่ามาก ดอกสีเหลือง ผลกลมพองเหมือนโคมจีนปลายแหลม โตประมาณเท่าลูกพุทราเขื่องๆ งามน่าดู มีขึ้นอยู่ตามที่ชุ่มชื้น และรกร้างว่างเปล่าทั่วๆ ไป
พอค้นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มีรายงานทางคลินิกของโทงเทง พบว่า
– แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ใช้ทั้งต้นแห้งหนัก 500 กรัม ผสมน้ำเชื่อมให้มีปริมาณ 500 ซีซี รับประทานครั้งละ 50 ซีซี วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร 10 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา กินติดต่อกัน 3 รอบ แต่ละรอบพัก 3 วัน จากการรักษาคนไข้ 50 ราย ได้ผล 39 ราย อาการดีขึ้น 10 ราย ไม่เห็นผล 1 รายจากการรักษาโรคไอมีเสมหะ หอบ หืด ได้ผลค่อนข้างดี ระยะเวลาของการรักษาโดยเฉลี่ย 3-6 วัน ยกเว้น 1 ราย ที่รักษาถึง 20 วัน ในระหว่างการรักษาคนไข้บางคน มีอาการรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี อึดอัด เวียนหัว นอนไม่หลับ เหล่านี้เป็นอาการข้างเคียงของยานี้ หลังจากรักษา 1-5 วัน อาการเหล่านี้ก็จะหายไปเอง มีคนไข้รายหนึ่งกินต้นนี้สดๆ หนัก 750 กรัมในเวลา 2 วัน ก็ไม่ปรากฏอาการเป็นพิษแต่อย่างใด
– แก้ดีซ่าน ใช้ทั้งต้น 2 ต้น ต้มน้ำ คั้นเอาน้ำข้นๆ มาผสมน้ำตาลพอสมควร ให้รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง บางคนรับประทาน 10-15 ครั้ง ก็หายตัวเหลือง
– แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ใช้ต้นนี้สดๆ (หรืออย่างแห้งก็ใช้ได้) 3 หัว แผ่น ฝักชุบน้ำตาล 2 แผ่น ใส่น้ำ 1 ถ้วย ต้มให้เหลือครึ่งถ้วย รับประทานครั้งเดียวหมด เด็กก็รับประทานลดลงตามส่วน จากการรักษาคนไข้ร้อยกว่าราย บางคนรับประทาน 4-10 ครั้งก็หาย บางคนรับประทานติดต่อกันถึง 2 เดือนจึงหาย
ในตำรายาสมุนไพรไทยได้บันทึกสรรพคุณโทงเทงไว้ว่า มีสรรพคุณแก้โรคเบาหวาน แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับปัสสาวะ แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้บิดมีตัว แก้พิษ ขับพยาธิในลำไส้ แก้ฟกช้ำ แก้ปวดหู แก้บวมน้ำ ยาระบาย ใช้ทั้งต้น รักษาดีซ่าน ไอหืดเรื้อรัง แผลมีหนอง เจ็บคอ ส่วนราก ใช้ขับพยาธิ รักษาโรคเบาหวาน
ช่วงนี้อากาศทางภาคเหนือและอีสานกำลังเดินเข้าสู่ความหนาวเย็น ตามโรงพยาบาลแน่นขนัดด้วยคนไข้ที่มีอาการโรคไข้หวัด โรคภูมิแพ้ เรียกว่าโรคในระบบทางเดินหายใจนำหน้ามาลิ่วเพื่อช่วยลดภาระของแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เราทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่น รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยผัก-ผลไม้ที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและครอบครัวที่มีเด็กและผู้สูงวัยต้องใส่ใจใกล้ชิดให้มากขึ้นนะคะ.

“บางแสน ไทยแลนด์ สปีด เฟสติวัล”สู่มาตรฐานโลกระดับFIA

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/tabloid/231114/99361

สาระน่ารู้
Sunday, 23 November, 2014 – 00:00
.
7 พันธมิตรใหม่ จับมือกันอีกครั้ง ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย กับมหกรรมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการใหญ่แห่งปี ยกระดับของวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย พร้อมประเดิม Bangsaen Criterium ครั้งแรกในสนามแข่งรถ เอาใจคอจักรยาน
ปรีดา ตันเต็มทรัพย์ ผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน Thailand Super Series เปิดเผยว่า 7 พันธมิตร อันประกอบด้วย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดชลบุรี, องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เทศบาลเมืองแสนสุขจังหวัดชลบุรี และราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมน์ (ร.ย.ส.ท.) ผนึกกำลังร่วมกันสานต่อการเติบโตพร้อมยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย เนรมิตชายหาดบางแสน แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ให้กลายเป็นสนามแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ความยาว 3,700 เมตร เพื่อรองรับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่รวมนักแข่งชั้นนำของเมืองไทยไว้อย่างคับคั่ง
บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ผู้จัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบชิงถ้วยพระราชทาน ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร โดยการรับรองจากราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมน์ (ร.ย.ส.ท.) ภายใต้ชื่อรายการ Thailand Super Series โดย ฯพณฯ ท่านสนธยา คุณปลื้ม ประธานจัดการแข่งขัน มาตรฐานนักแข่ง ทีมแข่งรถ รถแข่ง รวมถึงกิจกรรมต่างๆ รอบสนาม เพื่อให้เป็น Motorsport Festival ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถมาร่วมสนุกกันได้
“Bangsaen Thailand Speed Festival” ถือเป็นรายการแข่งขันที่มีจำนวนรถเข้าร่วมแข่งขันมากที่สุดในประเทศ โดยเน้นถึง ความปลอดภัย และความยุติธรรมของผู้เข้าร่วมแข่งขันเป็นหลัก ผู้จัดการแข่งขันใช้มาตรฐานการจัดการแข่งขันเทียบเท่าระดับสากลตามกฎสมาพันธ์แข่งขันรถยนต์นานาชาติ (International Sporting Code of F.I.A.) โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาการแข่งขันให้เทียบเท่าระดับสากล และเปิดโอกาสให้นักแข่ง ทีมแข่ง จากต่างประเทศเข้ามาร่วมการแข่งขันด้วยความเสมอภาค
นอกจากนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขัน Thailand Super Series ได้ลงนามความร่วมมือกับ Motor Sport Asia เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขันรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ผู้จัดการแข่งขันรายการดังอย่าง GT Asia Series , Porsche Cerrera Cup Asia และอีกหลายรายการเข้ามาเป็นที่ปรึกษา และร่วมกันพัฒนาการจัดการแข่งขันรายการ Thailand Super Series เพื่อยกมาตรฐานด้านกฎกติกาต่างๆ รวมถึงเทคนิคด้านตัวรถแข่ง ให้เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งในอีกไม่ช้า แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยคงได้เห็นการแข่งขัน GT Asia Series เข้ามาร่วมแข่งขันในประเทศไทย
การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ถือได้ว่าเป็นการแข่งขันรถยนต์ที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุด มีนักแข่งชั้นนำมากมายลงชิงชัยเพื่อความเป็นหนึ่ง ในการได้มาต้องประกอบด้วยความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของนักแข่ง ทีมเซอร์วิส เครื่องยนต์ที่ทรงสมรรถนะ การปกป้อง และหล่อลื่นทุกชิ้นส่วนรถยนต์ เพื่อเค้นสมรรถนะสูงสุด เพื่อเป็นการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย ให้ก้าวสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้เป็นอย่างดี
ปีนี้ ทางบริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ได้รับมอบหมายจากเทศบาลเมืองแสนสุข ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแข่งขัน รายการ Bangsaen Thailand Speed Festival 2014 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 10–14 ธันวาคม ศกนี้ ณ ชายหาดบางแสน แหลมแท่น เขาสามมุข นับเป็นรายการที่มีรถแข่งเข้าร่วมการแข่งขันมากที่สุดในประเทศไทย กว่า 300 คัน แบ่งเป็นรุ่นการแข่งขัน จากรายการ Thailand Super Series ดังนี้ คือ
1.Thailand Super Car Championship (TSCC)
2.Thailand Super Pickup Championship (TSPC)
3.Thailand Super 2000
4.Thailand Super 1500
5.Thailand Super Production
6.Thailand Super ECO
และมีรายการเข้าร่วมการแข่งขัน คือ
1 Toyota One Make Race
2 Lotus Cup Thailand
3 Touring Car Series in Asia by IMSP (TCSA)
4 HK Mini
จากความสำเร็จของ Bangsaen Thailand Speed Festival ซึ่งจัดขึ้นในปี 2007 เป็นครั้งแรก กระทั่งถึงปี 2014 นี้ นับเป็นครั้งที่ 8 ซึ่งยังคงได้รับกระแสตอบรับจากผู้ชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตเป็นอย่างดี นั่นคือ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จได้เป็นอย่างดี กับการจัดการแข่งขันรถยนต์ในรูปแบบสนามเฉพาะกิจแบบปิดเมือง ที่เพียบพร้อมด้วยศักยภาพในหลายๆ ด้านของเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี ที่สามารถประกอบกันเป็นสนามแข่งขันแบบปิดเมืองที่เป็นที่รู้จักในระดับภูมิภาค ด้วยระยะทาง 3.7 กิโลเมตร นับเป็นเส้นทางที่ดีให้กับกีฬามอเตอร์สปอร์ตของไทยได้ก้าวสู่ระดับสากล ที่ตั้งอยู่บนมาตรฐานความปลอดภัยในระดับนานาชาติ อันถือเป็นพื้นฐานของการจัดการแข่งขัน
อีกทั้งยังเป็นการสานต่อความฝันของคนไทย และผู้ที่อยู่ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตประเทศไทย ที่จะได้มีการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบทิ่ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นมา
รายการแข่งขัน Thailand Super Series อันเป็นรายการที่นิยมของเมืองไทย ซึ่งรวมบรรดารถแข่งสายพันธุ์ซูเปอร์คาร์ที่มีมูลค่ารวมกว่าหลายร้อยล้านบาท และนักแข่งชั้นแนวหน้าของไทยพร้อมที่จะมาสร้างสีสันความตื่นเต้น เร้าใจ และความมันส์ในเกมการแข่งขัน รวมไปถึงส่วนของการแข่งขันรายการ Toyota One Make Race รายการที่สร้างโอกาสให้กับนักแข่งหน้าใหม่ได้สามารถก้าวเข้ามาสู่โลกของเกมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบได้ และรายการ RATT Bangsaen Endurance by Toyota ที่จะมาร่วมขบวนสร้างสีสันเป็นการเก็บคะแนนสนามสุดท้ายกันภายในงานนี้ นอกเหนือจากการแข่งขันในสามรายการข้างต้นแล้ว ซึ่งในปีนี้เราจะได้พบกับประสบการณ์ความมันส์ในแบบอินเตอร์ จากกลุ่มรถแข่งต่างแดนที่จะมาสร้างสีสันให้การแข่งขันด้วยการยกระดับความตื่นเต้นเร้าใจขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีโชว์รถดริฟท์จากกระทิงแดง ดริฟท์โชว์ ขบวนพาเหรดตระการตา และโชว์ LFA จากโตโยต้า และ F1 มาร่วมสร้างความประทับใจให้ผู้ชมโดยรอบสนาม เหนืออื่นใด นอกจากความมันส์และความตื่นเต้นที่จะเกิดขึ้นตลอดการแข่งขันทั้ง 3 วันแล้ว จุดสำคัญบริเวณแหลมแท่นยังมีลานกิจกรรมใหม่ที่สามารถรองรับผู้ชมได้กว่า 15,000 คน รวมถึงแหล่งช็อปปิ้งจากการออกบูธจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และสินค้าต่างๆ อีกมากมาย ที่พร้อมใจกันมาจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษให้แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตได้เลือกช็อปกันเป็นพิเศษเฉพาะในงาน
ปิดท้ายในแต่ละวันในช่วงเย็นถึงค่ำ กับกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ ในบริเวณเลียบชายหาดที่จะหนาแน่นไปด้วยกลุ่มรถสวยงามที่จะพร้อมใจกันมาอวดโฉมโชว์ความอลังการของบรรดารถแต่งสวยงามจากชมรมต่างๆ ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร่วมสร้างสีสัน ซึ่งจะจัดขึ้นเพื่อต้อนรับแฟนวงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเรา และจะเริ่มต้นความมันส์กันตั้งแต่ช่วงเย็นวันพฤหัสบดีเป็นต้นไป
และในวันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2557 เตรียมพบกับกิจกรรมไฮไลต์เอาใจคนรักจักรยาน ในกิจกรรมการแข่งขันจักรยานรูปแบบ Criterium (Spirit of Teamwork) ในสนามแข่งรถยนต์ ครั้งแรกในประเทศไทย พบกับ 30 ทีมน่องเหล็ก จากทั่วประเทศ ภายใต้การกิจกรรมการแข่งขัน Bangsaen Critirium ในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับอาเซียน Thailand Super Series บนสนามการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบเฉพาะกิจแบบปิดเมืองรายการ Bangsaen Thailand Speed Festival ณ ชายหาดบางแสน แหลมแท่น เขาสามมุข จังหวัดชลบุรี ติดตามรายละเอียดทีมผู้เข้าร่วมแข่งขันได้ทาง http://www.thaimtb.com และ http://www.thailandsuperseries.net
เตรียมตัวกันให้พร้อม!!! ธงตราหมากรุกกำลังจะโบกสะบัดขึ้นอีกครั้ง ณ ชายหาดบางแสน แหลมแท่น เขาสามมุข จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 10-14 ธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่องาน Bangsaen Thailand Speed Festival 2014 โดยตั้งเป้าผู้ชมเข้าร่วมชมการแข่งขัน ณ สนามเฉพาะกิจ แบบปิดเมืองบางแสน จ.ชลบุรี ครั้งนี้กว่า 5 แสนคน ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ Thailand Super Series โอ 09-0954-5596 email : paracids@gmail.com, thailandpr@hotmail.com นุ้ย 08-0559-7786 email : nui_pr@yahoo.com …..