‘เทรนด์อาชีพ’ ปีใหม่ 2558 ยุค ‘บูมดิจิตอล-ก่อเกิดเออีซี’

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ 4 มกราคม 2558 เวลา 01:22 น.

ปี 2558 แล้ว…อาชีพ-ธุรกิจของหลาย ๆ คนอาจมีการปรับเปลี่ยน ยิ่งยุคนี้ที่เป็นยุค “ดิจิตอล-ออนไลน์” ก็จะมีผลต่ออาชีพ-ต่อธุรกิจ ของแต่ละคนไม่มากก็น้อย และปีนี้ยังเป็นปีที่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ “เออีซี” จะเริ่มเดินเครื่องแล้วในช่วงปลายปี ซึ่งนี่ก็จะยิ่งมีผลต่อเรื่องอาชีพ เรื่องธุรกิจ รวมถึงระดับเอสเอ็มอี (SMEs) ทั้งนี้ หน้า “ช่องทางทำกิน” รับปีใหม่ 2558 ในวันอาทิตย์ที่ 4 ม.ค. นี้ เราลองมาดูการวิเคราะห์ “เทรนด์อาชีพ ปี 2558 ” จากผู้เชี่ยวชาญกันหน่อยเป็นไร…..

“ปี 2558 จะเป็นปีทองธุรกิจดิจิตอล”…นี่เป็นการระบุของ ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการเอ็มบีเอออนไลน์ (การจัดการ) คณะบริหาร ธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถึง “แนวโน้ม-ทิศทางอาชีพ” ปีนี้ โดยผู้สันทัดกรณีท่านนี้วิเคราะห์และระบุอีกว่า…คนทำอาชีพต่าง ๆ “จะต้องจับกระแส” และ “ปรับรูปแบบ” ให้สอดคล้องเทรนด์ตลาดปีนี้ โดย “อาชีพ-ธุรกิจที่น่าสนใจ” ปีนี้ ได้แก่ “ตัวกลางซื้อ-ขาย” บนอินเทอร์เน็ต-สื่อออนไลน์ ที่จะมีฐานลูกค้ากว้างขึ้น จะดีมาก ๆ ในปี 2558

อีกกลุ่มคือ “กลุ่มสินค้าเทคโนโลยี” ที่มีแนวโน้มตลาดดีต่อเนื่อง เพราะจำนวนผู้ใช้งานอุปกรณ์ รวมถึงการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย ที่เพิ่มขึ้น ทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีความต้องการสูง รวมถึง “อาชีพที่เกี่ยวกับการคิด-การสร้างแอพพลิเคชั่น” ต่าง ๆ ก็จะดี ส่วน “เทรนด์ค้าขาย” นั้น ให้โฟกัสที่ “ตลาดการค้าชายแดน” เป็นพิเศษ เพราะจะมีการเติบโตสูงขึ้น

ขณะที่ “อาชีพเสี่ยง” รวมถึงที่น่าจะเหนื่อยนั้น ได้แก่ อาชีพหรือธุรกิจที่มีคู่แข่งขันเพิ่มขึ้น เช่น ร้านกาแฟ-ร้านอาหาร-ร้านสปา ที่นอกจากจะมีคู่แข่งรายเดิมในตลาด ก็ยังจะต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ที่กระโดดลงมาเล่นในตลาดนี้อีกด้วย ทำให้ต้องปรับตัวมาก และต้องเร่งปรับ ปรุงคุณภาพสินค้า ต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ลูกค้าจดจำได้เร็ว-ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ อาชีพการเกษตร ก็เป็นอีกอาชีพที่อาจต้องเหนื่อยและเสี่ยง ทั้งจากภัยแล้ง-ภัยธรรมชาติ และการแข่งขันในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น

“ทางที่ดีควรมองหาตลาดใหม่ไว้บ้าง และควรปรับรูปแบบการค้า จากที่เคยนั่งรอลูกค้า ก็ควรวิ่งออกไปหาตลาดกับลูกค้าเอง” …เป็นคำแนะนำที่ทาง ดร.ภูษิต ระบุ เกี่ยวกับ “อาชีพรุ่ง-อาชีพร่วง” ปี 2558 ที่ต่างก็ต้องรีบปรับตัว

ทางด้าน ดร.ธนภูมิ อติเวทิน อาจารย์ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) วิเคราะห์ “เทรนด์อาชีพ ปี 2558” โดยอิงกับ “เออีซี” ไว้ว่า…จะทำให้เกิดมูลค่าทางการค้ามหาศาล มีการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลทำให้ “อาชีพ” รวมถึง “ธุรกิจ” อาจ “เจอทั้งโอกาสและความเสี่ยง”

ที่ต้องเหนื่อยนั้น… “อาชีพเกษตรกรรม” เป็นอาชีพแรกที่นักวิชาการรายนี้ระบุถึง ด้วยผลจากภัยธรรมชาติ-ภัยแล้ง ที่ทำให้ผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้า แต่ก็แนะนำว่า… ระหว่างนี้ควรมองหา “พืชเศรษฐกิจ” ชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะ “พืชที่ทนแล้งดี” มาปลูกทดแทน เพื่อให้มีรายได้ รวมถึงควรเน้นการผลิตเชิงคุณภาพ สร้างมูลค่าจากคุณภาพ จะดีกว่าแข่งขันในเชิงปริมาณอย่างเดียว

ส่วนที่น่าจะรุ่ง ได้แก่ “อาชีพขับรถ” หรือที่เกี่ยวกับยานพาหนะ-ขนส่ง เพราะหลังเปิดเออีซี จะทำให้มีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย-ขนส่ง ทั้งคนและสินค้า ไป-มาระหว่างประเทศ ทำให้อาชีพนี้น่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เป็นที่ต้องการของตลาดมาก

“คนอาชีพนี้ก็ควรจะเพิ่มพูนทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ภาษาต่างประเทศ ภาษาท้องถิ่น รวมถึงปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับ”

ขณะที่อีกอาชีพที่น่าสนใจ ได้แก่ “แปรรูปสมุนไพร-พืชพื้นบ้าน” ที่มีแนวโน้มจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็ควรจะพัฒนามาตรฐาน ทั้งความสะอาดและคุณภาพของสินค้า รวมถึงปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูทันสมัยมากขึ้น ซึ่งหากทำได้ก็น่าจะสามารถทำตลาด-สร้างโอกาสได้ไม่ยาก

นอกจากนี้ “อาชีพนวดแผนไทย” กับ “ร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง” ก็มีแนวโน้มที่ดีในยุคเออีซี

“เพราะจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น”

…นี่ก็เป็น “แนวโน้มอาชีพ” ที่น่าสนใจ-ที่น่าเป็นห่วง ในปี 2558 นี้ จากมุมมองของนักวิชาการอย่าง ดร.ธนภูมิ ซึ่งข้อมูลการวิเคราะห์นี้ ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน ทำธุรกิจ-เป็นเอสเอ็มอีด้านใด ก็น่าศึกษาและตระหนักกันไว้

ขณะที่ ดร.วิทวัส รุ่งเรืองผล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้วิเคราะห์ถึง “ทิศทางอาชีพ” ในปี 2558 นี้ ว่า…เมื่อเออีซีเปิดแล้ว ย่อมจะมีผลกับธุรกิจและอาชีพต่าง ๆ ซึ่งต้องปรับตัวไม่มากก็น้อย เพราะทุก ๆ อาชีพ “มีความเสี่ยง-มีโอกาส” เท่า ๆ กัน อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับ “ทิศทางอาชีพ” ที่น่า สนใจในปีนี้ ทาง ดร.วิทวัส วิเคราะห์ว่า… “อาชีพล่าม” ทั้งล่ามภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่น “อาชีพนักบัญชี” ที่มีความรู้ระบบบัญชีมาตรฐาน ระบบบัญชีต่างประเทศ “อาชีพนักกฎหมาย” ที่รู้เรื่องกฎหมายการค้า กฎหมายระหว่างประเทศ และสัญญาการค้าประเภทต่าง ๆ เป็นอาชีพที่ “จะได้เปรียบ และเป็นที่ต้องการ” ของตลาดมาก เรียกว่า…“มีแนวโน้มจะรุ่งสูง”

สำหรับอาชีพ-ธุรกิจ “ที่ต้องปรับตัวสูง-ต้องขยับตัวมาก” ในปี 2558 คือ อาชีพหรือธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการแบบระบบครอบครัว รวมถึงการค้าขายระดับท้องถิ่น ที่ต้องปรับตัวสูง “ต้องตอบสนองให้ไว” และ “ต้องยกระดับการค้าให้สูงขึ้น” ด้วยการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และรูปแบบ ซึ่งถ้ารู้ “เทรนด์ตลาด-เทรนด์ธุรกิจ” แล้วยังนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยา
ใด ๆ นี่ก็น่าเป็นห่วง

“ถ้ารู้แล้วนิ่งไม่ปรับตัว ก็จะคล้ายกับทฤษฎีกบในหม้อ ถ้าเราจับกบใส่ลงในหม้อที่น้ำเดือด แน่นอนกบจะต้องกระโดดหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ถ้าเราใส่ลงในน้ำธรรมดา แล้วค่อย ๆ ปรับไฟให้น้ำร้อนขึ้น กบก็จะไม่รู้สึก กว่าจะรู้ว่าร้อนก็สายไปแล้ว”…เป็นตัวอย่างที่ ดร.วิทวัส ยกขึ้นเปรียบเทียบ เพื่อย้ำถึงความสำคัญในการปรับตัวให้อาชีพ-ธุรกิจ…อยู่รอด

…..ทั้งนี้ นี่ก็เป็นข้อมูลโดยสังเขป กับการวิเคราะห์“เทรนด์อาชีพ ปีใหม่ 2558” ซึ่งเน้นการวิเคราะห์โดย “อิงยุคก่อเกิดเออีซี-อิงยุคบูมดิจิตอล” โดยนักวิชาการ-ผู้เชี่ยว ชาญทางด้านการตลาด ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” นำมาเสนอไว้เป็นข้อมูล เพื่อพิจารณานำไปปรับใช้ ซึ่งไม่จะเป็นการทำอาชีพ การทำธุรกิจใด ๆ จากหลักการสำคัญดังที่ว่ามาข้างต้นก็นับว่าน่าสนใจ…

กับการพัฒนา “ช่องทางทำกิน”.

ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน

‘ดวงอาชีพ’ ปีมะแม 2558 12 นักษัตรกับเกณฑ์ ‘เซ็งลี้ฮ่อ’

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ 3 มกราคม 2558 เวลา 04:01 น.

หน้า “ช่องทางทำกิน” เสาร์แรกของปีใหม่ ’ปีมะแม-ปีแพะ ปี พ.ศ. 2558“ นี้ เราประเดิมกันด้วยเรื่อง ’ดวงอาชีพ ปี 2558“ ดังที่ได้มีการแจ้งให้ทราบไว้ล่วงหน้า โดยเป็นการทำนายโดยหลักโหราศาสตร์แบบจีน โดย ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ชี้แนะเรื่องดวงอาชีพให้กับท่านผู้อ่าน ร่วมกับอาจารย์หญิงของสถาบันฯ คือ อาจารย์สุวิมล พันธุ์วิชาติกุล ผ่านคอลัมน์ “ดวง-ฮวงจุ้ย-โหงวเฮ้ง…เซ็งลี้ฮ่อ” หน้า “ช่องทางทำกิน” หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” มาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้ทั้ง 2 ท่านก็มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับดวงที่น่าสนใจ ร่วมกับอีกหนึ่งอาจารย์ของสถาบัน คือ อาจารย์คมสัน พันธุ์วิชาติกุล อาทิ ลิขิตฟ้าชะตาคน ประจำปี พ.ศ. 2558, ไขรหัสชีวิต ประจำปี พ.ศ. 2558-2560 ทั้งนี้ สำหรับ ณ ที่นี้ในวันนี้ เรามาดูข้อมูล ’ดวงอาชีพของผู้ที่เกิดปีนักษัตรต่าง ๆ ทั้ง 12 นักษัตร“ ในปี 2558 โดยสังเขป ดังนี้…..

ชาวปีนักษัตรชวด

ธุรกิจ การงาน อาชีพ ปี 2558 นี้ต้องรอบคอบรัดกุม ที่ทำงานกินเงินเดือน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ อาจมีการปรับเปลี่ยนดีขึ้น แต่ไม่ควรลุยขยายงาน ขยายอาชีพใหญ่โตจนเกินกำลัง ควรเตรียมพร้อมลุยในปี 2559 ที่เป็นปีวอกที่สมพงศ์จะดีกว่า

ชาวปีนักษัตรฉลู

มีโอกาสเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพ หรือต้องรับภาระที่หนักขึ้น ที่ทำงานประจำระวังอาจถูกภาคทัณฑ์ พักงาน ตัดเงินเดือน โดยคาดไม่ถึง ธุรกิจการงานที่แข่งขันสูงควรเบรกไว้ก่อน หรือปรึกษาผู้ใหญ่ให้ดี เพราะปีนี้มีโอกาสตัดสินใจผิดพลาดมาก

ชาวปีนักษัตรขาล

อาชีพ การงาน จะสำเร็จได้ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย ผู้ใหญ่ที่คอยเกื้อหนุนถูกโยกย้ายหรือหมดอำนาจ ควรทำงาน ธุรกิจ อาชีพ ด้วยความพอดี อย่าลุยเสี่ยงทำอะไรที่เกินตัวไป อาจจะเหนื่อยเปล่า แต่ถ้ามีการเตรียมการดี ภาพรวมก็ยังถือว่าพอไปได้

ชาวปีนักษัตรเถาะ

มีโอกาสรับผลดีจากสิ่งที่เคยทุ่มเทไว้ มีธุรกิจใหม่ ๆ ให้ทำแบบมีความสุข การลงทุนมีทิศทางที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ที่ทำงานกินเงินเดือน ข้าราชการประจำ มีเกณฑ์จะมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงปรับเปลี่ยนในด้านที่ดี จนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก

ชาวปีนักษัตรมะโรง

จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านธุรกิจ อาชีพ แต่คนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ อาจจะเริ่มย่ำอยู่กับที่ ให้รอจนเมื่อพ้นปีไม่เกื้อหนุน เข้าสู่ปีที่สมพงศ์ในปี 2559 และปีที่เกื้อหนุนในปี 2560 จึงจะเป็นทีของเราบ้าง

ชาวปีนักษัตรมะเส็ง

มีการพลิกผันในทางที่ดีขึ้น คนที่ติดต่อค้าขาย ทำธุรกิจ จะได้รับความศรัทธาเชื่อถือ มีคนมาสนับสนุนจนผ่านพ้นวิกฤติได้ ส่งผลให้ธุรกิจ อาชีพ โดดเด่นขึ้น แต่ถ้าจะทำอะไรกับโครงการที่มีความเสี่ยงต้องรอบคอบเป็นพิเศษ รออีก 1-2 ปีจะดีกว่า

ชาวปีนักษัตรมะเมีย

ปี 2558 นี้จะมีความรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุก ๆ เรื่อง จึงควรจะใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ เหมาะขยับขยายกิจการ ขยายสาขา ขยายแฟรนไชส์ หรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ส่วนคนที่ทำงานกินเงินเดือน ข้าราชการประจำ ก็จะมีผลงานที่โดดเด่นดีขึ้น

ชาวปีนักษัตรมะแม

มีเกณฑ์รุ่งเรืองชนิดก้าวกระโดดได้ ธุรกิจการงานอาชีพจะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาชนิดไม่คิดไม่ฝัน อะไรที่เคยเป็นปัญหาก็จะมีคนช่วยเคลียร์ ให้ จะมีการเริ่มต้นใหม่ ๆ มีการขยับขยายธุรกิจ ที่ทำงานประจำกินเงินเดือนก็จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

ชาวปีนักษัตรวอก

จะมีอุปสรรคทำให้ธุรกิจ อาชีพ มีปัญหาต้องแก้ไข คนที่ทำงานประจำ ข้าราชการ อาจจะเจอคนอิจฉาริษยา หรือขัดขวางไม่ให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แต่ก็อย่าเพิ่งถอดใจไป เพราะในปี 2559 จะเป็นปีวอกที่สมพงศ์ ใครจะมาเบรกก็ไม่ได้แล้ว

ชาวปีนักษัตรระกา

การงานมีความสำเร็จในระดับหนึ่ง อาชีพ ธุรกิจส่วนตัว หรือทำงานกินเงินเดือนประจำ ก็ขอให้ทำเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ อาชีพ หรืองานที่มีความเสี่ยงสูง ก็จะมีการแข่งขันสูง การประชุมหรือเสนอโปรเจคท์ระวังทำให้คนขัดใจได้

ชาวปีนักษัตรจอ

ธุรกิจ การงาน อาชีพ จะเกิดสะดุดติดขัดไม่ราบรื่น ที่ทำงานกินเงินเดือน ข้าราชการประจำ ขอให้ทำใจไว้บ้าง ตั้งรับกับความผิดหวังไว้บ้าง เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อย มีโอกาสจะถูกกลั่นแกล้ง อิจฉาริษยา หรือไปขวางทางคนอื่นโดยไม่เจตนา

ชาวปีนักษัตรกุน

ปี 2558 นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเกือบทุกด้าน การทำอาชีพหรือทำธุรกิจการงานเป็นช่วงที่ดี จะมีคนเข้ามาส่งเสริมสนับสนุน มีโอกาสสำเร็จสมหวัง ได้ขยายงานใหม่ ที่เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กินเงินเดือนประจำ ก็มีเกณฑ์ดีขึ้น

…..ทั้งนี้ นี่ก็เป็นข้อมูล ’ดวงอาชีพของผู้ที่เกิดปีนักษัตรต่าง ๆ ทั้ง 12 นักษัตร“ ในปี 2558 นี้ โดยสังเขป ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” นำเสนอคำทำนายนี้ก็หวังให้ท่านที่สนใจเรื่องดวงได้ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัว-เตรียมพร้อม เพื่อวางแผนจัดการกับธุรกิจ-การงาน-อาชีพ และก็ขอเน้นย้ำไว้ว่า… ในการประกอบอาชีพนั้น ถ้าขยัน อดทน ตั้งใจ ไม่ประมาท ก็ย่อมจะดี

มีโอกาส ’เซ็งลี้ฮ่อ” ทุกปีนักษัตร!!!.

……………………………………………………………………………………….

อาชีพเหมาะตามปีนักษัตร

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรชวด อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ มัคคุเทศก์ นักออกแบบแฟชั่น นักพัฒนา วิศวกร แพทย์ นักธุรกิจ ครูอาจารย์ ขายหนังสือ นักประพันธ์ นักแสดง นักพูด นักการเมือง นักทดลอง นักค้นคว้า นักวิจัย

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรฉลู
อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักวิชาการ ครูอาจารย์ นักอนุรักษ์ นักทดลอง นักบิน ทำอาชีพอิสระที่บ้าน บอดี้การ์ด องครักษ์ นักมวย เลขานุการ นักกีฬา นักประชาสัมพันธ์ นักการเมือง อาสาสมัคร

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรขาล อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ ธุรกิจส่วนตัว นักสำรวจ นักข่าว นักการเมือง ตำรวจสายปราบปราม ทหารประจำหน่วยรบ ดารา นักร้อง นักวิจารณ์ นักกีฬาทุกประเภท แพทย์ ข้าราชการสายปกครอง

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรเถาะ อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักการทูต พ่อค้า นายหน้า จิตรกร นักประพันธ์ นักร้อง นักจัดรายการวิทยุ นักพากย์ แพทย์ หมอดู นักออกแบบ ดีไซเนอร์ ทำธุรกิจทางด้านความสวยความงาม

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรมะโรง อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักสังคมสงเคราะห์ นักการเมือง ครู อาจารย์ วิทยากร ตัวแทนฝ่ายขาย ตัวแทนฝ่ายการตลาด ผู้พิพากษา หรืออัยการ ศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักพยากรณ์

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรมะเส็ง อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักพยากรณ์ นักจิตวิทยา-จิตแพทย์ นักสืบ นักวิจัย นักร้อง นักแสดง ฝ่ายบุคคล ที่ปรึกษาองค์กร ฝ่ายบัญชี การเงิน ผู้ตรวจสอบรายได้ นักเขียน นักประพันธ์

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรมะเมีย อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักการเมือง นักธุรกิจ ตำรวจ นักสำรวจเส้นทาง นายแบบ-นางแบบ นายธนาคาร นายหน้า ฝ่ายขาย นักพูด นักกีฬา งานที่มีการผจญภัย นักเขียน นักประพันธ์

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรมะแม อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักพูด นักวิชาการ แพทย์ พยาบาล นักการเมือง ศิลปินต่าง ๆ เลขานุการ ประชาสัมพันธ์ ร้านอาหาร โรงแรม โรงภาพยนตร์

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรวอก อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักการเมือง นักกฎหมาย นักประชาสัมพันธ์ ฝ่ายการตลาด นักข่าว นักวิจารณ์ นักเขียน นักประดิษฐ์คิดค้น นักการทูต นักธุรกิจ ครู อาจารย์ วิทยากรประจำสถาบัน

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรระกา อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ นักบัญชี นักสถิติ นักพูด นักจัดรายการทีวี-วิทยุ นักออกแบบ ตัดเย็บเสื้อผ้า ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ผู้จัดการบริษัท นักคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ นักร้อง นักแสดง

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรจอ อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ ตำรวจ ทหาร ทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย นักสังคมสงเคราะห์ งานบริการผู้ป่วย-คนชรา นักการเมือง ครู อาจารย์ นักการศึกษา ช่างเสริมสวย นายช่าง สถาปนิก

ผู้ที่เกิดปีนักษัตรกุน อาชีพการงานที่เหมาะสมคือ สถาปนิก มัณฑนากร ดีไซเนอร์ ตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเทคนิค ช่างอิเล็กทรอนิกส์ พ่อครัว-แม่ครัว ผู้จัดการโรงแรม เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา นายทหาร งานโรงพยาบาล.

ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน

‘เมนูอาหาร-ขนมเด่น’ ปี 57 กุญแจความสำเร็จ…‘มีจุดขาย’

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ 28 ธันวาคม 2557 เวลา 00:37 น.

ในรอบปี 2557 นี้ “อาชีพขายอาหาร-ขายขนม” ยังมีผู้สนใจทำ ทั้งทำต่อเนื่องจากเดิม และเริ่มทำใหม่ มากมายเหมือนเช่นเคย ซึ่งปี 2557 นอกจากเรื่องรสชาติ-ความสะอาดแล้ว ที่เด่น ๆ ที่เน้นกันเป็นพิเศษ จากที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้นำเสนอไป คือเรื่องการ “สร้างจุดขาย” การทำ “เมนูผสม” รวมถึง “ดัดแปลง-พลิกแพลง” จนเกิดเป็นอาหารคาว-หวานที่โดดเด่นหลากหลาย ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ก็ได้นำกรณีตัวอย่างที่เด่น ๆ มาประมวล ในโอกาสที่จัดทำ “หน้าพิเศษ” ส่งท้ายปีเก่า ในวันนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า… ทำอาหารทำขนมขายก็ต้องมี “จุดขาย-จุดเด่น” ซึ่งรายที่เราประมวลมาให้ดูอีกครั้งนั้น โดยสังเขปมีดังนี้…

“ข้าวเหนียวหมูทอด”

เมนูทานง่ายขายคล่อง โดย 2 พี่น้อง นชนาฏ-นุชจรีย์ ศุภเตชนาถ (โทร.08-9679-7878, 08-9742-3435) มีจุดขายอยู่ที่การไม่ใส่สารกันบูด แต่สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานราว1 สัปดาห์ โดยเมื่อนำออกมาอุ่นทานคุณภาพก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ที่สำคัญยังทำการค้าขายแบบทันยุค เพราะขายผ่านทางเฟซบุ๊กด้วย คือที่ http://www.facebook.com/neawmoogroup

“ข้าวยำทะเล”

เมนูอาหารทะเลจากชุมชนสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งแห่งประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดย ขจี ขำละม้าย (โทร. 08-1481-8988) ประธานชุมชน กับสมาชิก คิดสูตรเมนูนี้ขึ้นมาทำขายเพื่อเพิ่มรายได้ให้ชุมชน จุดขายเด่นของเมนูนี้อยู่ที่ความครบรสชาติ และความสดของอาหารทะเล ที่ถูกนำมายำ-นำมาปรุงครบเครื่อง 3 รส เผ็ด เปรี้ยว หวาน จนโดนใจกลุ่มลูกค้าที่รับประทาน

“หมูพันผัก”

เมนูปิ้งย่างสไตล์ ญี่ปุ่น โดย 3 พี่น้อง เทอดชัย, สมปอง และ รัชดา รัตนศิรินิมิตร (โทร. 08-1428-5239, 08-6565-5388, 09-0961-3718) นำอาหารแนวปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ปัจจุบันคนไทยก็ให้ความนิยมไม่น้อย มาประยุกต์โดยการนำผักชนิดต่าง ๆ มาพันหมูเสียบไม้ย่าง จนกลายเป็นเมนูที่แปลกใหม่ และยังขายได้ดีกับกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ-ดูแลสุขภาพ

“ขนมบ้าบิ่นสด”

เมนูขนมไทยโบราณ เมนูนี้ทาง ณรงค์ ปันสังข์ ร้านขนมบ้าบิ่นสด คลองลัดมะยม (โทร. 08-9244-1685) ทำขายโดยมีจุดขายอยู่ที่สูตรแป้งสดที่ใช้ในการทำขนม และการใช้มะพร้าวน้ำหอมนำมาเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งทำให้เนื้อขนมไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป เมื่อย่างหรือจี่จนสุกแล้ว ขนมจะกรอบนอก นุ่มใน และมีรสชาติที่หอมด้วยกลิ่นของมะพร้าวเป็นอีกจุดขายที่ดี

“ขนมเสน่ห์จันทร์”

เมนูขนมไทยโบราณ ที่ นวลฉวี สังขะเวส ร้านบ้านขนมไทยรวมโชค (โทร. 0-2514-2168, 08-9895-9071) ทำขายนั้น เน้นขายความเป็นขนมไทยสูตรชาววังดั้งเดิม ที่พิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกวัตถุดิบ และไม่ใส่สารกันบูด โดยทำขายแบบวันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประทานขนมไทยกันแบบสดใหม่ ทุก ๆ วัน ซึ่งการอนุรักษ์สูตรดั้งเดิมนั้นก็เป็นจุดขายได้

“เค้กหม้อดิน”

เมนูขนมที่ ทอฝัน หอมชื่น (โทร. 08-1616-1580, 08-3037-4517) ทำขาย เป็นการนำหม้อดินที่มีรูปแบบต่าง ๆ อาทิ รูปผลไม้, รูปเรือ, รูปสัตว์, รูปถ้วยไอศกรีม, รูปรถบรรทุก, รูปรถตุ๊กตุ๊ก ฯลฯ มาเป็นจุดขาย มาใช้เป็นภาชนะสำหรับใส่เค้ก ซึ่งก็ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้ามาก ทำให้แวะเวียนชิมกันไม่ขาดสาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพขายขนมที่ใช้การพลิกแพลงช่วยเพิ่มมูลค่า

“ขนมตะโก้ชาววัง”

เมนูนี้สูตรของ ณัฏฐณิกานต์ มากคล้าย กับ ณัฏฐพัชร์ ชัยสัตย์ ร้านขนมปุญญาณัฏฐ์ ขนมตะโก้ชาววัง (โทร. 08-7828-9798) เป็นสูตรของรุ่นคุณย่าที่นำมาปรับปรุงสูตรให้โดดเด่นมากขึ้น เน้นจุดขายที่รสชาติหวานน้อย แต่หอมมัน กลมกล่อม พร้อมทั้งปรับภาชนะใส่ขนมมาเป็นถ้วยพลาสติกใส เพื่อโชว์ไส้ขนมที่อยู่ด้านล่าง ดูสวยงาม น่ารับประทานยิ่งขึ้น

“ทับทิมกรอบ”

เมนูนี้ทาง พรภัส ระจิตดำรงค์ เจ้าของสูตรทับทิมกรอบธนวัน จ.ชลบุรี (โทร.08-7007-1053) ได้คิดสูตรทับทิมกรอบขึ้นเอง จนกลายเป็นสูตรเฉพาะ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ความเหนียวหนึบของแป้ง และความกรอบอร่อย รสชาติจะไม่หวานมาก และยังหอมกะทิสด ที่สำคัญยังเน้นทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะไม่ทำทิ้งไว้ค้างคืน เหล่านี้ก็เป็นจุดเด่น-จุดขายที่น่าสนใจ

“ข้าวอบเผือก”

เมนูทำเงินดีของ เกศินี สาขำ ร้านบ้านขนมพลอยลดา (โทร.0-2413-3419, 08-6985-1455) ใช้สูตรการทำแบบเดียวกับ “บ๊ะจ่าง” แต่มีการพลิกแพลงเล็กน้อย คือการที่ไม่ห่อเหมือนบ๊ะจ่าง ทำให้ผู้ซื้อได้เห็นอาหารชัดเจนว่ามีความสดใหม่ ดูน่ารับประทาน ซึ่งจุดขายจุดนี้สามารถจะเป็นจุดเด่นที่ใช้ดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี

“กุนเชียงปลาสลิด”

เมนูแปรรูป โดย สมพงษ์-รุ่งทิพย์ ศรีศักดา ประธานกลุ่มสหกรณ์วัดลาดปลาเค้า จ.สุพรรณบุรี (โทร.08-6761-1601 ,08-9915-2566) เป็นการนำเนื้อปลาสลิดมาแปรรูปทำเป็นกุนเชียง จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และก็นับเป็นอีกหนึ่งเมนูทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพที่ชอบทานปลา ที่สำคัญสำหรับคนทำขายคือ สามารถเพิ่มมูลค่า-สร้างราคาได้อย่างน่าสนใจ

…และทั้งหมดที่ว่ามานี้ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งจาก “อาชีพขายอาหาร-ขายขนมเด่น” ในปี 2557 จากที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้นำเสนอไป โดยได้คัดเลือกบางส่วนมาประมวลให้ดูกันชัด ๆ อีกครั้งโดยสังเขป เพื่อจะเน้นให้เห็นว่า…ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่อาชีพที่เกี่ยวกับการขายอาหารและขนม การทำเมนูคาวหวานให้สามารถขายได้ ขายดี ขายรุ่ง…

ต้องรู้จักสร้างจุดขาย !!!.

ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน

‘งานฝีมือ-ประดิษฐ์เด่น’ ปี 57 ทำเงินมิใช่เล่น…‘เน้นต่อยอด’

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ 27 ธันวาคม 2557 เวลา 03:35 น.

หน้า “ช่องทางทำกิน” เสาร์นี้ ทางทีมงานเราเริ่มจัดทำเป็น “หน้าพิเศษ” ส่งท้ายปีเก่า โดยประมวลอาชีพเด่น ๆ ที่มีการนำเสนอไปในรอบปี 2557 ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่ ’งานฝีมือ-งานประดิษฐ์“ ยังมีรูปแบบใหม่ ๆ ทยอยออกมาสู่ท้องตลาดอยู่เรื่อย ๆ โดยชิ้นงานที่เกิดขึ้นโดยใช้หลัก ’การต่อยอด-การผสมผสาน“ เพื่อสร้างมูลค่า-เพิ่มมูลค่า ก็ยังคงได้รับความนิยม สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างดี ดังที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้นำมาไล่เรียง ประมวลมาให้เห็นกันชัด ๆ โดยสังเขป ดังต่อไปนี้…

“จัดสวนในโหลแก้ว”

ผลงานของ บดินทร์ อ่าวนุช และ พิมพร สุข สวัสดิ์ (โทร. 09-5959-4615, 08-7472-2640) เป็นการนำธรรมชาติมาจำลองไว้ขวดโหลแก้วรูปทรงแปลกตา จับกลุ่มคนเมืองซึ่งมีพื้นที่อยู่อาศัยไม่มากนัก จัดเป็นกลุ่มสินค้าตกแต่งที่มาแรงและตอบโจทย์ให้กับวิถีชีวิตผู้คนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยสวนในขวดโหลนี้ขายผ่านเฟซบุ๊ก คือ http://www.facebook.com/partnerpast

“การ์ดกระดาษทำมือ”

ผลงานของ หนึ่งนุช ครุฑกุล (โทร. 08-6565-1222) เป็นงานฝีมือที่ใช้ทุนไม่สูง แต่โดดเด่นที่ไอเดียกับเทคนิคที่ใช้สร้างสรรค์ จนเกิดเป็นการ์ดอวยพรรูปแบบสะดุดตา เน้นจุดขายที่ความเซอร์ไพร้ส์ของผู้ที่ได้รับ โดยขายผ่านเฟซบุ๊ก http://www.facebook.com/HandMade Papermania

“งานศิลป์ม้วนกระดาษ”

ผลงานของ อภิชาต วรวุฒิวิมล (โทร.08-0645-2772) เป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการทำงานฝีมือ ที่นำวัสดุกระดาษมาสร้างสรรค์ร่วมกับเทคนิคการม้วน เกิดเป็นชิ้นงานแปลกตา ก่อนนำไปประยุกต์ใช้กับสินค้าอื่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเจ้าของชิ้นงานขายชิ้นงานผ่านทาง เฟซบุ๊ก คือ http://www.facebook.com/apichart.wo เป็นหลัก

“งานผ้าไทยใส่ไอเดีย”

ผลงานของ ฐิติมา ลักษมีวณิชย์ และ สาธิต พุทธเชน (โทร.08-3984-4429) ชิ้นงานประดิษฐ์จากวัสดุผ้า ที่นำความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของผ้าขาวม้ามาต่อยอด จนเกิดเป็นสินค้ากลุ่มของใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ผ้าอารมณ์ไทย ๆ กลาย เป็นสินค้าทำเงินได้อย่างน่าสนใจ โดยมีช่องทางให้ผู้สนใจเข้าไปชมงานได้ที่ http://www.facebook.com/N0 B0dyPerfect

“หมวกปักกระดุม”

ผลงานของ ชาคริต เพ็ชรวงษ์ (โทร. 08-9033-5598) เพิ่มมูลค่าให้หมวกด้วยการนำเทคนิคงานปักมาใช้ โดยนำกระดุมหลากหลายสีสันมาตกแต่งประดับประดาลงบนหมวก จนชิ้นงานโดดเด่น-ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้า นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของการต่อยอด-การผสมผสาน ที่น่าสนใจ โดยมีช่องทางให้ชมสินค้าได้ที่ http://www.facebook.com/kritcaps

“งานการ์ตูนดินปั้น”

ผลงานของ อลงกต สกุลอารีย์มิตร (โทร. 08-7700-0945) เป็นการนำเอาดินไทยกับดินญี่ปุ่นมาสร้างสรรค์ กับเทคนิคการปั้นตัวการ์ตูนแนวน่ารัก ๆ ก่อนนำชิ้นงานไปตกแต่งกับเครื่องประดับ ซึ่งไม่เพียงทำให้ชิ้นงานโดดเด่น แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วย โดยมีช่องทางให้ชมสินค้าได้ที่ http://www.facebook.com/PhicicoDoll

“เคสมือถือเคลือบเรซิ่น”

ผลงานของ พรจิรา ปุญญาอิศวะ แม้เคสโทรศัพท์มือถือจะมีมากมายหลายคนที่ทำขาย แต่ก็ยังมีคนต่อยอดออกมาได้อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งสำหรับงานของกรณีศึกษารายนี้ เจ้าของชิ้นงานนำเทคนิคการเคลือบเรซิ่นมาสร้างสรรค์ เน้นรูปแบบน่ารัก ๆ ที่โดนใจกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมาก โดยมี http://www.facebook.com/winkcaseshop เป็นช่องทางการติดต่อ และให้ผู้ที่สนใจเข้าชมสินค้า

“หมวกกันน็อกเพนท์”

ผลงานของ ยุทธจักร ทั่งกลาง (โทร. 08-6393-6413, 08-3081-9741) เป็นงานฝีมือที่นำเอาเรื่องของทักษะทางศิลปะกับไอเดียออกแบบมาปรับใช้ ทำให้หมวกกันน็อกธรรมดา กลายเป็นชิ้นงานน่าสนใจ แถมยังเพิ่มมูลค่าให้ชิ้นงานได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ทำเงินได้ด้วยฝีมือ โดยมีช่องทางขายสินค้าคือ http://www.facebook.com/ppdesign.th

“แหวนไม้เพนท์”

ผลงานของ เอื้อมพร วัชรวรรณเรศ (โทร.08-6936-5948) ที่นำวัสดุไม้มาต่อยอด-พลิกแพลง ทำเป็นเครื่องประดับได้หลายรูปแบบ และ ยังสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคนิคการวาด-เพนท์สีกับลวดลายลงไป เพื่อใช้ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้า ซึ่งงานแหวนไม้เพนท์นี้ขายผ่านทางเฟซบุ๊ก คือ http://www.facebook.com/woodtanks

“ตุ๊กตาพินโบว์ลิ่ง”

ผลงานของ สิปปะ ตันตระโชติ (โทร. 08-0995-1789) ที่ใช้เทคนิคการเพนท์-การวาดรูป ลงบนพินโบว์ลิ่ง ทำให้เป็นตุ๊กตาลายไทย และรูปนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง รวมถึงยังรับทำตามแบบที่ลูกค้าสั่ง ซึ่งตุ๊กตาพินโบว์ลิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น น่าสนใจ โดยมีช่องทางให้ชมสินค้าที่ http://www.facebook.com/pages/Sippa-Shop

“แหวนลูกบอลแก้ว”

ผลงานของ นันทวัน ศักดิ์ชลาธร (โทร. 08-9890-6196) ที่ตกแต่งภายในลูกบอลแก้วด้วยดอกไม้-ดอกกุหลาบ รวม ถึงวัสดุตกแต่งอื่น ๆ ให้สวยงาม ก่อนนำ มาประกอบเข้ากับเครื่องประดับ อย่างเช่นแหวน ทำให้แหวนเรียบ ๆ มีลูกเล่นน่าสนใจ จนโดนใจกลุ่มลูกค้า และมีช่องทางให้ผู้สนใจเข้าชมสินค้าได้ที่ http://www.facebook.com/ladymanashop

“โคมไฟงานปั้นจิ๋ว”

ผลงานของ สุชิน หิรัญประเสริฐสุข (โทร. 08-1314-5301) นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่เด่นชัดเรื่องการต่อยอด-การผสมผสาน โดยได้นำเอางานปั้นมาประยุกต์เข้ากับโคมไฟ และสร้างจุดเด่นด้วยรูปแบบร้านค้าจำลอง ซึ่งนอกจากจะเป็นสินค้ากลุ่มของใช้แล้ว ก็ยังขายได้ในกลุ่มของตกแต่งด้วย โดยใช้ http://www.facebook.com/mini happybox เป็นช่องทางให้ผู้สนใจชมสินค้า

…ทั้งนี้ นี่ก็เป็นบางส่วนจากการประมวลมาเล่าสู่กันโดยสังเขปอีกครั้ง ของทีม “ช่องทางทำกิน” กับ “งานฝีมือ-งานประดิษฐ์เด่น” ปี 2557 ซึ่งจริง ๆ ชิ้นงานอื่น ๆ ที่เคยนำเสนอไปก็ใช่ว่าจะไม่เด่น ณ ที่นี้ก็เพียงหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง และก็ขอเน้นอีกประเด็นสำคัญคือ…ปีนี้ สินค้ากลุ่มนี้ยังคงคึกคักมากใน ’ตลาดออนไลน์“ โดยมีเจ้าของชิ้นงานหน้าใหม่ ๆ แจ้งเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหล่านี้ก็สะท้อนว่า…ถ้ารู้จัก พัฒนาสินค้า ปรับตัว-ปรับรูปแบบ แสวงหาโอกาส ใหม่ ๆ ทางการตลาด…

ไม่ว่าจะปีไหน…ก็มีโอกาสรุ่งได้!!!.

ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน

‘ปลาเผาเกลือ’ เมนูสุขภาพทำเงินงาม

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ 21 ธันวาคม 2557 เวลา 02:24 น.

“อาหารทะเล” หรือ “ซีฟู้ด” อาหารจำพวกกุ้ง ปู ปลา หอย นำมาลวก นึ่ง ปิ้ง ย่าง ฯลฯ ปัจจุบันมีการเปิดร้านขายอยู่ทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่ตลาดน้ำ องค์ประกอบที่ทำให้ร้านประสบผลสำเร็จ นอกจากอาหารสด ๆ และฝีมือในการทำแล้ว ต้องรู้จักพลิกแพลงปรับโฉมอาหารให้มีความหลากหลาย มีประโยชน์ถูกใจคนรักสุขภาพ และนอกจากปลาทะเล แล้วยังนำปลาน้ำจืดมาขายได้ด้วย ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ปลาเผาเกลือ” ที่มีอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มานำเสนอ…

เปิ้ล-ศลิษา วงศ์ศิริ และ มะเฟือง-เสาวภักดิ์ วงศ์ศิริ สองพี่น้องเจ้าของร้าน “See’d Seafood ซี๊ด ซีฟู้ด” ตลาดน้ำขวัญ-เรียม เล่าว่า ชีวิตของพวกเธอผูกพันมากับอาหารมาตั้งแต่เด็ก เพราะตั้งแต่คุณย่า คุณยาย จนมาถึงรุ่นคุณพ่อคุณแม่ของพวกเธอชอบทำกับข้าวมาก ซึ่งทุกครั้งพวกเธอก็จะลงไปเป็นลูกมือช่วยคุณแม่ทำกับข้าวเสมอมา ประกอบกับคุณพ่อมาทำธุรกิจร้านอาหาร พวกเธอจึงมาช่วยงานที่ร้านตลอด แต่ตอนหลังธุรกิจมีปัญหาจึงต้องปิดร้านไปโดยปริยาย

“หลังเรียนจบไม่ได้ทำงานประจำที่ไหน พวกเราก็อยากทำงานอิสระ หรือไม่ก็เป็นธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำมาหากินตามที่ตัวเองถนัด ซึ่งก็ไม่พ้นอาชีพเกี่ยวกับอาหาร พอดีตลาดน้ำขวัญเรียมเพิ่งเปิด พี่เปิ้ล ก็มาขายอาหารทะเลนำร่องก่อน ปรากฏว่าขายดีมาก เรือขายของไม่สามารถรองรับกับจำนวนของลูกค้าได้ ต้องการขยายร้านต่อเป็นแพ จึงชวนตนมาร่วมหุ้นด้วย และช่วยคิดเมนูอาหารให้มีความหลากหลาย เพราะเรียนจบด้านคหกรรม อย่างปลาเผาเกลือธรรมดา ก็ปรับเป็นกึ่งเมี่ยงปลาเผา กระแสตอบรับดีเกินคาด”

อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี เตาสำหรับย่าง, ถาดหรือกระบะอะลูมิเนียม, กะละมัง, คีมคีบถ่าน และถ่าน ขณะที่วัตถุดิบหลัก ๆ คือ ปลาช่อน, ปลาทับทิม, เกลือป่น และตะไคร้

เครื่องเคียงที่กินคู่กับปลา ก็ประกอบด้วย เส้นขนมจีนเส้นสด, มะเขือยาว, ผักกาดหอม, ผักกาดขาว และใบชะพลู ส่วนผักแกล้ม ก็มีใบสะระแหน่, โหระพา และแครอท เป็นต้น

หัวใจสำคัญของอาหารชนิดนี้ เรียกว่า อยู่ที่ “น้ำจิ้มรสเด็ด” จะมีทั้งน้ำจิ้มเผ็ด หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม จัดจ้านแซ่บสะใจ และน้ำจิ้มแจ่ว รสกลมกล่อม หวานอมเปรี้ยว

ขั้นตอนการทำ “ปลาเผาเกลือ”

เริ่มจากนำปลาช่อนสด ปลาทับทิม มาล้างทำความสะอาด ผ่าท้องควักไส้ แต่ไม่ต้องขอดเกล็ด ล้างให้สะอาดอีกครั้ง พักพอสะเด็ดน้ำ นำตะไคร้มาตัดโคนให้แหลมนิดหน่อย แล้วทุบพอแตก ยัดเข้าไปในพุงปลา เพื่อดับกลิ่นคาว นำเกลือป่นที่เตรียมไว้มาเทใส่กระบะหรือถาด เอาเกลือทวนเกล็ดจากหางไปทางหัวปลา พยายามกดให้แน่น ๆ ให้เกลือแทรกเข้าไปในเกล็ดปลา แล้วพอกเกลือให้หนาและมิดตัวปลา (เกลือจะช่วยให้โปรตีนในเนื้อปลาอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ไหลออกมา ทำให้เนื้อปลานุ่มหวานอร่อย)

นำเหล็กแหลมหรือไม้แหลมที่ใช้ย่างปลามาเสียบตัวปลา ทิ้งไว้ 20 นาที ก่อนจะนำไปย่างกับเตาถ่าน ที่ไฟร้อนกรุ่น ๆ อยู่ด้านล่าง เวลาย่างปลาต้องคอยกลับไปมา ประมาณ 30 นาที ปลาก็จะสุกสม่ำเสมอกันดี มีสีสัน กลิ่นหอมชวนรับประทาน

ผักเครื่องเคียงและผักแกล้ม นำมาล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แครอทให้ปอกเปลือก หั่นเป็นแท่ง ๆ เตรียมไว้ ส่วนมะเขือยาวก็นำมาเผาไฟให้สุก ลอกเปลือกออกตอนร้อน ๆ ใช้กรรไกรตัดเป็นท่อน ๆ เสิร์ฟคู่กับปลา

น้ำจิ้มรสเด็ด ถ้าเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ด ส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูสวนสีเขียวสด, รากผักชี, กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก, โหระพา, มะนาว, เกลือ, น้ำตาลทราย นำน้ำกับน้ำตาลทรายไปต้มเป็นน้ำเชื่อม แล้วทิ้งไว้ให้เย็น ปั่นกระเทียม ใบโหระพา รากผักชี, พริกขี้หนูทั้งหมดให้ละเอียด เทใส่ในชาม เติมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำมะนาว คนให้เกลือละลาย ปรุงรสให้แซ่บสะใจ เปรี้ยว เค็ม หวาน

ถ้าเป็นน้ำจิ้มแจ่ว ใช้หอมแดง พริกชี้ฟ้า กระเทียม มะนาว น้ำปลาร้า น้ำปลา และน้ำต้มสุก โดยนำพริก หอม กระเทียม มาย่างไฟให้พอหอม ลอกเปลือกออก แล้วนำมาตำในครกให้ละเอียด ใส่น้ำปลาร้า น้ำปลา น้ำสะอาดที่ต้มสุกแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากัน เติมรสเปรี้ยวด้วยการบีบมะนาวลงไป คลุกเคล้าอีกทีให้เข้ากัน แค่นี้ก็ได้น้ำจิ้มแจ่วรสจัดจ้านแล้ว

การเสิร์ฟ-ขาย จะขายพร้อมกับผักเครื่องเคียงและผักแกล้ม เส้นขนมจีน น้ำจิ้มรสเด็ด 2 ชนิด นอกจากนี้ที่ร้านนี้ยังมีอาหารตามสั่ง และอาหารทะเลสด ๆ พร้อมปรุงให้ตามที่ต้องการ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก และแมงดาทะเล ไว้บริการด้วย

ส่วนราคาขายปลาเผาเกลือ ขนาดน้ำหนัก 1 กก. กว่า ๆ ปลาช่อน ชุดละ 320 บาท ปลาทับทิม ชุดละ 280 บาท

“ปลาเผาเกลือ” เจ้านี้ขายอยู่ที่ตลาดน้ำขวัญ-เรียม ขายบนแพ ฝั่งวัดบำเพ็ญเหนือ เข้าทางถนนเสรีไทย ซอย 60 หรือเข้าทางถนนรามคำแหง 187 ก็ได้ ซึ่งนอกจากขายประจำที่นี่แล้ว ยังรับออกร้านนอกสถานที่ตามงานต่าง ๆ และถ้าใครต้องการติดต่อเจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็ติดต่อเปิ้ลและมะเฟือง ได้ที่ โทร. 08-5361-4666, 08-2235-2959

ถ้ารู้จักพลิกแพลงการทำกิน อาหารย่างรูปแบบนี้ก็สามารถทำเงินต่อไปได้แบบไม่มีสะดุด!!.

……………………………………………………………………….

คู่มือลงทุน…ปลาเผาเกลือ

ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับขนาด-รูปแบบร้าน
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา
รายได้ ราคาขาย 280-320 บาท/ชุด
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ตลาดน้ำ, ชุมชน
จุดน่าสนใจ เมนูปลาเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / วรพรรณพันธุ์ เลอสิทธิศักดิ์ : ภาพ

‘เลี้ยงปลากดคัง’ ตัวยิ่งใหญ่..ยิ่งได้เงินดี!

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ 20 ธันวาคม 2557 เวลา 06:07 น.

“เลี้ยงปลากดคัง” ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรได้ เพราะปลากดคังเป็นปลาน้ำจืดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เลี้ยงขายได้ราคาดี และมีรสชาติเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ทั้งนี้ เกษตรกรอย่าง “ชัยพร โชคภรณ์ประเสริฐ” ซึ่งเลี้ยงปลาชนิดนี้มานานกว่า 10 ปี ได้มาให้ข้อมูลกับทีม “ช่องทางทำกิน” เผื่อจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ที่ทำอาชีพเกษตร..

ชัยพร เจ้าของโชคภรณ์ประเสริฐฟาร์ม ต.บางขาม อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี เล่าว่า… เดิมมีอาชีพเลี้ยงกุ้ง แต่มาเจออุปสรรคเรื่องราคาตกต่ำ จึงหันมาเลี้ยงปลาเบญจพรรณ พร้อมกับศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงปลากดคังควบคู่ไปด้วย โดยที่หันมาสนใจเลี้ยงปลาชนิดนี้ เพราะเป็นปลาเศรษฐกิจน่าสนใจ แต่ยังมีผู้สนใจเลี้ยงน้อย อีกทั้งปลาคังธรรมชาติก็เริ่มหายาก และใกล้สูญพันธุ์ หลังจากตัดสินใจจะลงทุนทำบ่อเลี้ยงปลากดคัง ก็ได้ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาช่วยสนับสนุนเรื่องเงินทุน โดยเริ่มทดลองเลี้ยงจาก 1 บ่อ ขนาดพื้นที่ 12 ไร่ ซึ่งใช้พันธุ์ปลาทั้งหมดประมาณ 10,000 ตัว และคัดเฉพาะลูกปลากดคังขนาด 3-4 นิ้ว จากนั้นก็ใช้เวลาเลี้ยงอยู่ประมาณ 2 ปี 8 เดือน จึงได้ปลาน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม

’ถ้าเป็นปลาไซซ์นี้จะชั่งขายได้กิโลกรัมละประมาณ 180 บาท“ …เจ้าของฟาร์มกล่าวถึงเรื่องราคาปลาและขนาดปลา

สำหรับการเลี้ยงนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ “ขั้นตอนการอนุบาลปลา” โดยก่อนจะปล่อยลูกปลา ก็ต้องจัดเตรียมบ่ออนุบาลปลาไว้ก่อน เริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นที่บ่อ ตากบ่อ โรยปูนขาว ใส่ปุ๋ยคอก เช่น ขี้ไก่ เพื่อปรับสภาพดินให้มีความเป็นกลาง จากนั้นจึงใส่น้ำลงบ่อ เพื่อปรับสภาพน้ำให้ได้ค่า PH ประมาณ 6.5-8 เมื่อได้บ่อสำหรับอนุบาลลูกปลาแล้ว ให้นำลูกปลากดคังอายุประมาณ 1 อาทิตย์ทำการปล่อยลงบ่อ โดยให้อาหาร 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น ต่อมาหลังจากที่เลี้ยงลูกปลาได้ประมาณ 1-2 เดือน ลูกปลากดคังก็จะโตขึ้น จากนั้นให้เกษตรกรทำการจับปลาโดยเลือกปลากดคังที่มีขนาดตัวประมาณ 3-4 นิ้ว คัดแยกไปลงบ่ออนุบาลอีกรอบ ซึ่งการเตรียมบ่ออนุบาลก็จะทำเหมือนเดิม แต่จะเปลี่ยนมาให้อาหารเพียงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น คือ เช้าและเย็น

’ในการให้อาหารนั้น ช่วงแรก ๆ จะเน้นให้อาหารลอยจำพวกอาหารเม็ดก่อน เพื่อให้ปลาขึ้นมากินที่ผิวน้ำเป็น จากนั้นจะเริ่มให้อาหารสด จำพวกกุ้งหรือปลาทะเล โดยจะเลี้ยงต่อไปอีกประมาณ 2-3 เดือน ก็ลดอาหารมาเหลือให้เพียงวันละ 1 ครั้ง คือ ช่วงเย็นมื้อเดียว ซึ่งจะนำอาหารเม็ดมาโม่ผสมกับปลาทะเล เพื่อนำมาทำเป็นอาหารปลา ใช้เลี้ยงปลากดคังในช่วงนี้“ …เป็นคำแนะนำจากผู้เลี้ยงรายนี้ เกี่ยวกับการเลี้ยงปลากดคัง

เจ้าของฟาร์มปลากล่าวว่า… สำหรับ “บ่อเลี้ยง” นั้น ต้องขุดบ่อให้มีความลึกประมาณ 2-3 เมตร โดยขั้นตอนการเตรียมบ่อเลี้ยงก็เหมือนกับการเตรียมบ่ออนุบาล แต่ในบ่อเลี้ยงมีข้อควรระวัง คือไม่ควรใส่ปลาจำนวนเยอะเกินไป และควรให้ปลามีพื้นที่ในบ่อมาก ๆ เพื่อปลาจะได้มีการเคลื่อนไหว อีกทั้ง ขนาดของตัวปลาก็จะมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยปลาลงเยอะไปอาจทำให้เกิดความคับแคบได้ ซึ่งแนะนำว่า… ควรเลี้ยงปลากดคังประมาณ 500 ตัวต่อไร่ และให้อาหารเพียงวันละ 1 มื้อในช่วงเย็น

เกี่ยวกับ “ระยะเวลาเลี้ยงปลากดคัง” นั้น เจ้าของฟาร์มปลาอธิบายว่า… เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 ปี นับตั้งแต่การเลี้ยงปลาในบ่ออนุบาลจนถึงบ่อเลี้ยง โดยถ้าใช้เวลาเลี้ยงเท่านี้จะได้ปลากดคังขนาดตัวละประมาณ 1.5 กิโลกรัม ซึ่งปลาขนาดนี้ในปัจจุบันจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 150-160 บาท แต่ถ้าเลี้ยง 3 ปีก็จะได้ปลาขนาดประมาณ 3 กิโลกรัมต่อตัว โดยถ้าเป็นปลาขนาดนี้ ก็จะขายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 180 บาท…

’ปลากดคังไม่มีข้อจำกัดในเรื่องราคาหรือขนาดเหมือน ปลาน้ำจืดชนิดอื่น เพราะปลายิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น“…เป็นคำแนะนำสำหรับผู้สนใจ “เลี้ยงปลากดคัง” ที่นับเป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

ทั้งนี้ ในการลงทุน “เลี้ยงปลากดคัง” นั้น สำหรับฟาร์มปลาของชัยพรจะใช้ ทุนเบื้องต้นประมาณ 60,000 บาทต่อไร่ ทุนการเลี้ยง ที่ส่วนใหญ่เป็น “ค่าอาหารปลา” อยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท ต่อไร่-ต่อเดือน และใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 2 ปี โดย รายได้ จากการจับปลาขาย เฉลี่ยจะได้ประมาณ 70,000-80,000 บาทต่อไร่

อย่างไรก็ตาม เจ้าของฟาร์มปลาคนเดิม ได้กล่าวแนะนำสำหรับ “มือใหม่” ที่จะหัดเลี้ยงว่า…ควรเริ่มจากการเลี้ยงปลาที่มีขนาดใหญ่ประมาณตัวละ 1 กิโลกรัม เพื่อฝึกฝนทักษะและเพิ่มความชำนาญในการเลี้ยงก่อนจะดีที่สุด เพราะปลาขนาดนี้จะเลี้ยงง่ายกว่า มีโอกาสรอดสูง ทำให้ไม่ต้องรับความเสี่ยงที่ปลาจะตายมากเกินไป

ใครที่สนใจสามารถสอบถามได้ที่ โทร.09-8296-4363 และนี่ก็เป็นกรณีศึกษา การ เลี้ยงปลากดคัง ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก “ช่องทางทำกิน” ให้กับผู้ที่มีอาชีพด้านการเกษตร เพราะสามารถจะสร้างรายได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นปลาเศรษฐกิจ ขายได้ราคาดี …ณ ที่นี้ก็นำข้อมูลมาให้ลองพิจารณากันดู.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน

กรณีศึกษา‘ธุรกิจไม้ล้อม’ – ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ 20 ธันวาคม 2557 เวลา 04:05 น.

เมื่อได้ยินคำว่า “อาชีพเกษตร” หลายคนอาจนึกถึงอาชีพที่รายได้ต่ำ ต้องลงทุนลงแรง และได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า แต่ในทางตรงกันข้าม “เกษตรกร” หลายคนก็สามารถทำให้อาชีพนี้ กลายเป็นธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่า และมีโอกาสจะ ’รุ่ง“ ได้ หากผู้ที่ทำมีแนวคิดแบบ ’เกษตรกรยุคใหม่“ ดังเช่น ’กรณีศึกษา“ ซึ่ง ณ ที่นี้มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณา…

’ธุรกิจไม้ล้อมนั้น เกษตรกรสามารถกำหนดราคาของไม้ได้เอง ไม่ต้องอิงกับราคาตลาดมากเหมือนกับพืชผลการเกษตรอื่น ๆ ที่สำคัญยังมีตลาดรองรับ มีเท่าไหร่ก็ขายได้หมด“ …เป็นคำยืนยันจาก สมเดช สีดา ประธานศูนย์การเรียนรู้บ้านหนองปื๊ด ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ที่เล่าถึงความน่าสนใจเกี่ยวกับ ’ธุรกิจไม้ล้อม“ นี้ พร้อมกล่าวย้ำอีกว่า… ที่ชุมชนบ้านหนองปื๊ดชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีอาชีพทำนา-ทำสวน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดทุนแทบทุกปี จนเมื่อมีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ขึ้น ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับ “การปลูกไม้ล้อมขาย” โดยได้รับการสนับสนุนจากทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้เข้ามาให้ความรู้ทั้งเรื่องการสนับสนุนเงินทุน การบริหารจัดการ รวมถึงพาไปดูงาน ทำให้ชาวบ้านสนใจหันมาประกอบอาชีพนี้มาก โดยปัจจุบัน 80% ของคนที่นี่ปลูกไม้ล้อมควบคู่กับการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่ง ณ จุดนี้ชาวบ้านแฮปปี้มาก ๆ เพราะมีรายได้เกิดขึ้นทุกวัน ไม่ต้องรอขายผลผลิตตามฤดูกาลเหมือนก่อน

’มีรายได้แน่ ๆ เฉลี่ยวันละประมาณ 1,000 บาทต่อครัวเรือน ขอแค่ขยันและอดทน รับประกันว่า… มีเงินแน่ ๆ“...เป็นคำยืนยันจากประธานศูนย์การเรียนรู้ พร้อมแนะนำอีกว่า… ยิ่งถ้าเกษตรกรสามารถรวมกลุ่มกันได้มาก ๆ ก็ยิ่งทำให้มีโอกาส เพราะจะสามารถกำหนดราคา-ตั้งราคาขาย “ไม้ล้อม” ซึ่งนี่ก็นับเป็น “เคล็ดไม่ลับ” ของธุรกิจนี้…

กลยุทธ์สำคัญอีกประการที่ชุมชนใช้ คือ “การลดต้นทุนการผลิต” โดยทุกอย่างต้องเน้นปลูกเอง ทำเอง และเกษตรกรควรปลูกพันธุ์ไม้ให้มีสายพันธุ์ที่หลากหลาย และปลูกให้เยอะ ๆ ให้มีต้นไม้หลาย ๆ รุ่น หลาย ๆ ขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ โดยเน้นใช้พื้นที่ทั้งหมดให้มีประโยชน์มากที่สุด ขณะที่เรื่องของ “ตลาด” การจะทำให้ไม้ล้อมของสวนติดตลาดต้องเริ่มจากการวิ่งหาตลาดก่อน เพื่อให้คนรู้จักสวนของเรา หรือแม้แต่ช่องทางอินเทอร์เน็ตก็ใช้ได้ เพื่อที่จะทำให้ชื่อสวนไม้ล้อม ติดหู-คุ้นหู

’เคล็ดลับอีกอย่างในการทำธุรกิจนี้ ควรมีการรับประกันหลังการขายไม้ล้อมด้วย คือประมาณ 1 ปี กรณีถ้าต้นไม้ตายก็จะเปลี่ยนให้ใหม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าไม้ที่ได้ไปเป็นไม้มีคุณภาพ ซึ่งนอกจากรายได้จากการขายต้นไม้แล้ว อาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการดูแลต้นไม้ให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่ง“ …ประธานศูนย์เรียนรู้รายนี้กล่าว

…นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “กรณีศึกษาอาชีพด้านเกษตร” พร้อม “เคล็ดไม่ลับ” ที่เกษตรกรหลายคนน่าลองพิจารณาดู.

‘หมูกรอบผัดพริกขิง’ ขายออนไลน์..ก็ได้เงิน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ 14 ธันวาคม 2557 เวลา 02:33 น.

การค้าออนไลน์ในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะสะดวก และประหยัดต้นทุนในการทำธุรกิจได้มาก จึงมีสินค้าหลายประเภทพากันไปค้าขายในโลกไซเบอร์กันมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัว เครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ขนมหวาน เบเกอรี่ ฯลฯ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารไทย ๆ อย่าง “หมูกรอบผัดพริกขิง” ก็มีการค้าขายในโลกออนไลน์เช่นกัน ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้…

สุกัญญา สันตินิเวศน์ หรือ เก๋ เจ้าของหมูกรอบผัดพริกขิง “แม่พรโภชนา” เล่าว่า หมูกรอบผัดพริกขิงนี้เป็นอาหารที่ทานประจำ และในช่วงที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลานาน ๆ มักจะแพ็กใส่ถุงหิ้วไปทาน และฝากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ จนกลายเป็นของโปรด และได้รับการร้องขอจากเพื่อน ๆ ประจำ จนกระทั่งได้กลับมาทำงานที่เมืองไทย จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้เพื่อน ๆ ได้ทานอาหารนี้เหมือนเดิม และเห็นว่าปัจจุบันการค้าออนไลน์กำลังได้รับความนิยม จึงได้ทดลองทำดู ปรากฏว่าได้รับการตอบรับมาก จึงได้เปิดรับออร์เดอร์เรื่อยมา และตอนนี้ได้เพิ่มอาหารประเภทอื่น ๆ เสริมขึ้นมา อย่างปลาทูผัดสมุนไพร และไข่เค็มรสต่าง ๆ

อุปกรณ์ในการทำหมูกรอบผัดพริกขิง หลัก ๆ มี เตาแก๊ส-กระทะ, หม้อสเตนเลส, มีด-เขียง, ตะแกรง และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ในครัว

วัตถุดิบในการทำหมูกรอบผัดพริกขิง หลัก ๆ มี หมูสามชั้น 1 กก., กากหมูทอดกรอบ 100 กรัม, พริกแกงแดง 200 กรัม, กระเทียมไทยตำละเอียด 100 กรัม และใบมะกรูดหั่นฝอยพอประมาณ

วิธีทำ เริ่มที่หั่นหมูสามชั้นให้แต่ละชิ้นมีขนาดยาว 12 ซม., กว้าง 2 ซม. และหนา 1.5 ซม. เตรียมไว้ โดยหมูสามชั้น 1 กก. จะหั่นได้หมูตามขนาดดังกล่าวประมาณ 10 ชิ้น

ก่อนที่จะทอดหมูกรอบนั้น สุกัญญาแนะว่าควรจะต้มหมูสามชั้นก่อน โดยจะต้มประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ไม่ต้องต้มให้สุกมาก เพราะจะต้องนำไปทอดให้กรอบอีกรอบหนึ่ง

จากนั้น นำหมูสามชั้นที่ต้มแล้วไปคลุกกับเกลือป่นพอประมาณอีกครั้งหนึ่ง แล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็น

วิธีการทอดหมูกรอบ

ตั้งกระทะ เทน้ำมันท่วม รอจนกระทั่งน้ำมันร้อน ค่อย ๆ เรียงหมูสามชั้นที่ต้มแล้วลงไปในกระทะตามแนวตั้งของหมู เสร็จแล้วปิดฝา เร่งใฟให้ร้อนปานกลาง ทอดไปประมาณ 10 นาที ดูว่าหมูนั้นออกสีเหลืองทอง แล้วให้พลิกหมูอีกด้านขึ้นมา ปิดฝา รอไปอีกประมาณ 5-7 นาที ก่อนที่หมูกรอบจะสุกใช้ได้ ให้เร่งไฟให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย โดยหมูกรอบที่สุกใช้ได้จะมีสีเหลืองทอง แห้ง และกรอบ

เมื่อทอดหมูกรอบสุกได้ที่แล้ว ให้ตักขึ้นมาพักสะเด็ดน้ำมัน ตั้งทิ้งให้เย็น แล้วหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ เตรียมไว้ วิธีการผัดหมูกรอบผัดพริกขิง เริ่มที่ตั้งกระทะ เทน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำมันร้อนใช้ได้แล้วใส่กระเทียมตำลงไปผัดให้เหลืองกรอบ จากนั้นใส่พริกแกงแดงลงไปผัดกับกระเทียมให้เข้ากัน ใส่หมูกรอบ ตามด้วยกากหมูทอด ปรุงรสด้วยผงปรุงรส, ซอสปรุงรส และน้ำตาลทราย ผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ระหว่างผัดคอยหมั่นดูไฟด้วย อย่าให้ร้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำตาลไหม้ได้ เมื่อผัดใกล้เสร็จ ให้ใส่ใบมะกรูดหั่นเป็นฝอยลงไป แล้วผัดให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ชิมรสให้ตามที่ต้องการ โดยรสชาติหมูกรอบผัดพริกขิงที่ดีจะต้องมีรสหวานนำ เผ็ดเล็กน้อย เสร็จแล้วปิดแก๊ส

พักหมูกรอบผัดพริกขิงให้เย็น แล้วบรรจุใส่ถุงถุงละ 150 กรัม ขายในราคาถุงละ 100 บาท

หมูกรอบผัดพริกขิงนี้ หากเก็บไว้อุณหภูมิที่พอเหมาะจะเก็บได้นานเกิน 1 สัปดาห์

เมนูอีกอย่างที่ได้รับความนิยมไม่แพ้หมูกรอบผัดพริกขิง คือ ปลาทูคั่วสมุนไพร

วิธีทำ ปลาทูคั่วสมุนไพร เริ่มที่ เตรียมเนื้อปลาทูนึ่ง 500 กรัม

นำใบกะเพรา 100-150 กรัมไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วทอดในน้ำมันที่ร้อนปานกลางให้กรอบ นำขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน

เตรียมกระเทียมไทยตำละเอียด 100 กรัม, รากผักชีตำละเอียด 7-10 ราก, พริกขี้หนูสวนตำละเอียดพอประมาณ และใบมะกรูดหั่นชิ้นเล็ก ๆ พอประมาณเช่นกัน

วิธีผัดปลาทูคั่วสมุนไพร ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชพอประมาณ พอน้ำมันร้อนได้ที่ ใส่กระเทียมบดลงไปผัดให้เหลือง จากนั้นใส่รากผักชี และพริกขี้หนูตำลงไปคั่วให้ส่วนผสมในกระทะเข้ากันดี จากนั้นใส่เนื้อปลาทูนึ่งลงไปคั่วให้เข้ากัน หมั่นดูไฟอย่าให้แรงเกินไป เพราะเนื้อปลาทูจะไหม้

ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส, ผงปรุงรส, น้ำตาลปี๊บ, ลูกผักชียี่หร่าคั่วและบดละเอียด แล้วโรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่น และใบกะเพราทอดกรอบ เสร็จแล้วคั่วไปเรื่อย ๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเท่านี้ก็ใช้ได้

โดยปลาทูคั่วสมุนไพรที่ใช้ได้จะมีสีเหลืองเข้ม มีรสเค็มนำ เผ็ดเล็กน้อย ที่สำคัญต้องแห้งกรอบ ซึ่งหากเก็บไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นานถึง 3 เดือน

บรรจุใส่กระปุกกระปุกละ 50 กรัม ก่อนจะปิดฝาให้โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นอีกครั้งหนึ่ง จำหน่ายเป็นชุด ๆ ราคาชุดละ 100 บาท (1ชุด มี 3 กระปุก)

ใครสนใจ “หมูกรอบผัดพริกขิง” และ “ปลาทูคั่วสมุนไพร” ต้องการติดต่อ สุกัญญา เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-6557-1809 หรือที่ http://www.facebook.com/แม่พรโภชนา.

…………………………………………………………………………………………………..

คู่มือลงทุน…หมูกรอบผัดพริกขิง

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 100 บาท/150 กรัม
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ขายทางออนไลน์
จุดที่น่าสนใจ ออนไลน์เป็นช่องทางการขายที่ดี

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล/สุรางค์รัตน์ เจนการ : รายงาน
ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

‘ดอกไม้สบู่’ หอมสวย-ใส่โหลทำเงิน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ 13 ธันวาคม 2557 เวลา 01:17 น.

“งานประดิษฐ์จากสบู่” ยังมีคนช่างคิดที่สามารถนำมาประดิษฐ์ดัดแปลง จนเกิดเป็นชิ้นงานได้อยู่เรื่อย ๆ จุดเด่นที่มีกลิ่นหอม เมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับงานฝีมือแล้ว ไม่เพียงจะเพิ่มมูลค่าให้ แต่ยังมี “จุดขาย-จุดเด่น” ที่ช่วยสร้างความน่าสนใจได้อย่างดี อย่างเช่นงาน “ดอกไม้สบู่” ของ “สุพร จันทร์โภคาไพบูลย์” ที่วันนี้ทางคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาให้พิจารณา

สุพร เจ้าของชิ้นงานดอกไม้สบู่ เล่าว่า… เริ่มทำงานดอกไม้สบู่ เนื่องจากมีเพื่อนที่รู้จักกันทำงานประเภทนี้อยู่แล้ว โดยหลังจากที่ฝึกหัดทำ จึงคิดว่า… น่าจะเสริมในเรื่องของ “ความอ่อนช้อย” กับ “รายละเอียด” ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งได้นำเอาข้อคิดเห็น-ข้อติชมจากลูกค้าหลาย ๆ คน นำมาปรับใช้ให้เข้ากับชิ้นงานที่ทำขึ้นจนลงตัว และได้รูปแบบดอกไม้สบู่ตามที่คิดไว้ จากนั้นจึงยึดเป็นอาชีพเรื่อยมา ถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทั้งนี้ เธอบอกว่า… ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศกับตลาดต่างประเทศ นี่ก็นับว่า… ไม่ธรรมดาสำหรับ “ดอกไม้สบู่” งานฝีมือนี้

’งานดอกไม้สบู่เป็นงานฝีมือ 100% เพราะทุกอย่างต้องใช้มือทำทั้งหมด ดังนั้น คุณสมบัติของคนทำงานฝีมือนี้ จะต้องใจเย็นกับต้องอดทนมาก ๆ เพราะเป็นงานที่ใช้เวลา“ …เจ้าของชิ้นงานกล่าว โดยระบุถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของคนที่คิดทำงานฝีมือนี้

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 บาท ทุนวัสดุ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคา ซึ่งราคาขายเริ่มต้นที่ 50-1,000 บาท ขึ้นกับรูปแบบและขนาดของโหลแก้ว วัสดุอุปกรณ์ ที่จำเป็น ประกอบด้วย สบู่, แป้งข้าวโพด, กาวลาเท็กซ์, มีด, ลวด, ฟลอร่าเทปสีเขียว, สีผสมอาหาร, โหลแก้ว, กระดาษดอลลี่ (กระดาษรองเค้ก), พิมพ์ใบ, หม้อ, ทัพพี

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำสบู่มา 1 ก้อน จากนั้นใช้มีดหั่นสบู่เป็นชิ้นเล็ก ๆ จนหมดก้อน นำสบู่ที่หั่นเสร็จไปละลายนํ้าแช่ทิ้งไว้ 1 คืน ก็จะได้สบู่ที่มีเนื้อเหลว นำหม้อตั้งบนเตาแก๊ส เปิดไฟอ่อน ๆ แล้วนำเนื้อสบู่ที่ละลายนํ้าเสร็จแล้ว เทใส่ลงในหม้อ จากนั้นเทกาวลาเท็กซ์ปริมาณ 500 กรัม ใส่หม้อ ใช้ทัพพีคนผสมเพื่อให้เข้ากัน โดยคนไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30 นาทีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำการปิดเตาแก๊ส เทเนื้อสบู่ลงในภาชนะ ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ทั้งนี้ในขณะที่เนื้อสบู่ยังคงความเหลว ให้นำแป้งข้าวโพด ประมาณ 1 กิโลกรัม เทผสมลงไปแล้วนวดแป้งให้เข้ากับสบู่ จากนั้นเทสีผสมอาหารเติมลงไปเล็กน้อย แล้วนวดต่อจนเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง

สำหรับการผสมสีนี้อาจแบ่งสบู่เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ 1 เพื่อผสมสีต่าง ๆ ใช้ทำเป็นดอกกุหลาบ ส่วนที่ 2 แบ่งผสมสีเขียว เพื่อใช้ทำใบกุหลาบ โดยเมื่อผสมสีเสร็จแล้วก็นำมาปั้นเป็นรูปดอกกุหลาบ เริ่มจากปั้นกลีบกุหลาบก่อน ให้ได้กลีบประมาณ 13-15 กลีบ จากนั้นนำลวดมาตัดให้ได้ความยาว 2 นิ้ว เพื่อทำเป็นก้านกุหลาบ นำฟลอร่าเทปพันให้รอบลวด จากนั้นนำกลีบดอกกุหลาบทีละ 1 กลีบมาทำการจัดเรียงจนครบ 15 กลีบ ก็จะได้ดอกกุหลาบ 1 ดอก แล้วปล่อยดอกกุหลาบทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 1 อาทิตย์ ส่วนขั้นตอนการทำใบกุหลาบนั้น เริ่มจากการปั้นสบู่ที่ผสมสีเขียวไว้ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม 1 แผ่น บาง ๆ และนำพิมพ์ใบกุหลาบมากดทับ ก็จะได้ใบกุหลาบสำเร็จรูปออกมาตามต้องการ ปล่อยทิ้งให้แห้งประมาณ 1 อาทิตย์ เช่นเดียวกัน

ขั้นตอนต่อมา นำโหลแก้วมาทำความสะอาด จากนั้นนำกระดาษดอลลี่ 1 แผ่น แปะกาวเล็กน้อยแล้วใส่ไว้ภายในขวดโหล ตามด้วยปั้นสบู่เป็นก้อนกลม 1 ก้อนใส่ไว้ในโหลแก้วเพื่อยึดเป็นฐาน แล้วนำดอกกุหลาบที่ปั้นเสร็จ 1 ดอก โดยให้นำก้านดอกจุ่มกาวลาเท็กซ์แล้วนำไปเสียบบนก้อนวงกลมที่อยู่ด้านในของโหล นำดอกกุหลาบมาปักตกแต่งตามต้องการทีละ 1 ดอกจนเต็มโหลแก้ว แล้วใช้ใบดอกกุหลาบตกแต่งแซมตามช่อ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิทประมาณ 1 อาทิตย์จึงปิดฝาขวดโหล …เป็นอันเสร็จขั้นตอน

’การปั้นดอกกุหลาบกับการจัดเข้าช่อนั้น ต้องมีทั้งดอกตูมและดอกบานผสมกัน เวลาเข้าช่อจะได้สวยงาม ทั้งนี้ สบู่เป็นวัสดุที่ใช้ทำเป็นดอกกุหลาบได้สวยที่สุด เนื่องจากปั้นง่าย เนื้อสบู่ไม่แข็งตัวเร็ว ซึ่งเมื่อเข้าช่อแล้วจะสวยเหมือนจริงและ มีกลิ่นหอม“ …เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่สนใจงาน “ดอกไม้สบู่” ซึ่งนี่เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” จาก “สบู่” ที่น่าสนใจ ที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการทำเพื่อเสริมรายได้…

สนใจงาน “ดอกไม้สบู่” ติดต่อได้ที่ โทร. 0- 2924-3001-2 หรือที่อีเมล ptlco2000@yahoo.com และนี่เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ใช้เพื่อเป็นอาชีพทางเลือก เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูง อีกทั้งยังต่อยอดได้เรื่อย ๆ.

…………………………………………………………………………………………………………………

คู่มือลงทุน…ทำดอกไม้สบู่

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 2,000 บาท
ทุนวัสดุ ประมาณ 50% จากราคา
รายได้ ราคา 50-1,000 บาทต่อชิ้น
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด กลุ่มของตกแต่ง, ของชำร่วย
จุดน่าสนใจ ลงทุนไม่สูง เหมาะทำอาชีพเสริม

สุรางค์รัตน์ เจนการ : รายงาน

‘คุกกี้ออนไลน์’ สร้างธุรกิจตลาดไฮเทค

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ 7 ธันวาคม 2557 เวลา 13:50 น.

ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ต เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับวิถีชีวิตของคนทั่วโลก ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการสื่อสารรูปแบบเดิม ๆ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ได้เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการได้ทุกที่ ทุกเวลา ใช้เงินลงทุนต่ำ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สามารถเปิดร้านได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมีคนเฝ้าร้าน ถือเป็นช่องทางการทำธุรกิจที่สะดวกและประหยัด คนรุ่นใหม่หันมาสนใจทำกันอย่างแพร่หลาย ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” นำข้อมูลมาแนะนำ…

คนที่จะมาให้ข้อมูลเป็นผู้ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจออนไลน์ “เจณศิลป์ อดทน” หรือ “คุณโฮป” เจ้าของธุรกิจเบเกอรี่ “Hopeby Hobby” เล่าให้ฟังว่า ก่อนนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านเสริมสวยมาก่อน พอดีคุณแม่ที่ป่วยมาจากไป ทำให้คุณพ่อเครียดจนต้องล้มป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ เธอเป็นลูกคนเดียว จึงตัดสินใจทิ้งธุรกิจที่สร้างรายได้หลักเพื่อมาดูแลคุณพ่อ เพราะคิดถึงสมัยยังเป็นเด็ก ท่านทั้งสองคอยดูให้ความรักและเอาใจใส่เป็นอย่างดี จึงถือโอกาสนี้ตอบแทนบุญคุณ

“โฮปคิดว่าทำอย่างไรถึงจะหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน พร้อมกับได้ดูแลคุณพ่อไปด้วย ด้วยเป็นคนชอบกิน และมีทักษะความรู้ในการทำเบเกอรี่ เพราะเคยทำขนมขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงตัดสินใจทำขนมขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต เริ่มจากจำนวนไม่มาก ทำตามออร์เดอร์จนเป็นที่รู้จัก หัวใจสำคัญที่จะช่วยมัดใจลูกค้าให้เลือกซื้อกับเราอีกในครั้งต่อไปคือรสชาติและคุณภาพ ที่ต้องให้ได้มาตรฐาน”

“โฮป” บอกว่าหน้าร้านของเธอมีเพียงแห่งเดียว คือ บนโลกออนไลน์ ผ่าน Facebook และ IG สินค้าเด่นของร้านเธอ ก็คือ คุกกี้ เพราะเป็นเบเกอรี่ ที่สามารถส่งของได้สะดวก และสามารถเก็บไว้ได้นาน

อุปกรณ์ที่ใช้ทำหลัก ๆ ก็มี…เตาอบไฟฟ้า, อ่างผสมขนาด 2 ลิตร, ที่ร่อนแป้ง, พายยาง, มีดฟันเลื่อย, ถ้วยตวงของแห้ง, ที่ตักไอศกรีม ช้อนตวง, ตาชั่ง, กระดาษไข, ถ้วยตวง, ถาดอบคุกกี้ และเครื่องตีแป้ง

วัตถุดิบที่ใช้ทำคุกกี้รวมรส ตามสูตรมีดังนี้…เนยสด 150 กรัม, น้ำตาลไอซิ่ง 135 กรัม, แป้งอเนกประสงค์ 250 กรัม, ไข่ไก่ 2 ฟอง, ผงฟู 4 กรัม, โซดาผง 2.5 กรัม, เกลือ 2.5 กรัม, ลูกเกดสับหยาบ 87.5 กรัม, เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 125 กรัม, คอนเฟล็กซ์ 200 กรัม, และช็อกโกแลตชิพ (แท้) 150 กรัม

ขั้นตอนการทำ “คุกกี้รวมรส”

เริ่มจากเปิดเตาอบ เปิดไฟบน-ไฟล่าง ให้อยู่ที่อุณหภูมิ 150 องศา เพื่อเป็นการวอร์มเตาให้ร้อนพร้อมใช้งาน ระหว่างนั้นก็มาเตรียมวัตถุดิบ เริ่มจากการนำแป้งอเนกประสงค์, ผงฟู, โซดาผง และเกลือ ผสมรวมกันเทใส่ลงบนที่ร่อนแป้ง แล้วร่อนส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในกะละมัง พักไว้ก่อน

นำเนยสดใส่ลงอ่างผสม ตีด้วยเครื่องความเร็วปานกลางจนเนยนุ่ม ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไปทีละน้อยจนหมด ปาดส่วนผสมที่อยู่ตามขอบด้านในให้อยู่ตรงกลาง แล้วเปิดเครื่องตีต่อ 5 นาที ปิดเครื่องพักไว้ก่อน

ตอกไข่ใส่ภาชนะเตรียมไว้ ค่อย ๆ เปิดเครื่องไล่ความเร็วจากเบอร์ 1 ไปจนถึงเบอร์ 3 ตีไปประมาณ 1 นาที แล้วจึงใส่ไข่ฟองแรกผสมลงไป ตีต่อไปอีก 1 นาที จึงใส่ไข่ฟองที่สอง ตีต่ออีก 1 นาที แล้วก็ปิดเครื่อง

จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่ร่อนเตรียมไว้ มาใส่รวมกัน เปิดเครื่องตีต่อ 5 นาที ปิดเครื่อง ปาดส่วนผสมให้มาอยู่ตรงกลาง ลดความเร็วเครื่องลง นำลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ คอนเฟล็กซ์ และช็อกโกแลตชิพ ตีพอเข้ากัน จึงปิดเครื่อง

เมื่อส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดีแล้วจะมีความเหนียวไม่ติดมือ ใช้ที่ตักไอศกรีมตักส่วนผสม วางลงบนถาดที่รองด้วยกระดาษไขเป็นก้อน ใช้ช้อนส้อมกดให้สวยงาม แต่งหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพ นำเข้าเตาอบ 15-20 นาที หรือจนกว่าจะเหลืองทอง แล้วนำออกมาวางพักไว้ให้เย็น แพ็กใส่พลาสติกอย่างดีเป็นชิ้น ๆ กันอากาศเข้า คุกกี้กรุบกรอบอร่อย และสะดวกในการรับประทาน

โฮป บอกว่าการขายผ่านออนไลน์ อาจจะแตกต่างจากการขายทั่วไป ลูกค้าก็ต้องทำใจที่ต้องสั่งล่วงหน้า แต่มีข้อดีทำให้สามารถวางแผนการทำขนมในแต่ละวันได้ และลูกค้าจะได้คุกกี้ที่เราทำสดใหม่ทุกวันถ้าไม่มีออร์เดอร์ก็จะไม่ทำทิ้งไว้ การส่ง ถ้าไม่ไกลมากจัดส่งให้ โดยคิดค่าส่งตามจริง หรือจะมารับเองก็ได้

ราคาขายคุกกี้รวมรส จะขายเป็น กก. ๆ ละ 400 บาท ถ้าลูกค้าต้อง การแพ็กเกจจิ้ง บวกค่าแพ็กเกจจิ้งเพิ่มตามราคา

ใครสนใจคุกกี้รวมรส-ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ “Hopeby Hobby” ติดต่อโฮป เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-4154-3933, http://www.facebook.com/hopeby hobby

ทั้งนี้ การทำธุรกิจเบเกอรี่-คุกกี้ของเจ้านี้ ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / จักรพงศ์ ก้องกาญจน์ภาศ : ภาพ

……………………………………………………………………………

คู่มือลงทุน…คุกกี้ออนไลน์

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ 400 บาท / 1 กก.
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ชุมชน, ร้านเบเกอรี่, ฝากขาย
จุดน่าสนใจ ขายเบเกอรี่ผ่านออนไลน์