ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05048010858&srcday=2015-08-01&search=no
วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 604 |
รายงานพิเศษ ครอบครัวชาวนาตัวอย่าง 4 ภาค
ณัชชา เต็นภูษา
นาข้าวคุณภาพ สู่วีถีแห่งความยั่งยืน ที่ นครศรีธรรมราช
“ปลูกข้าวเพื่อคนที่เรารัก ดูแลเอาใจใส่ดุจคนในครัวเรือน เพื่อย้ำเตือนสรรพคุณทางยาที่สมบูรณ์ เพิ่มมูลค่าการจำหน่าย” นี่คือประโยคแรกที่เราได้ยินหลังจากได้เข้าไปพูดคุยกับ คุณบุญเรือน ทองจำรัส เกษตรกรที่ได้รับรางวัลครอบครัวชาวนาตัวอย่างภาคใต้ จากนั้นเราก็ไม่รอช้า เริ่มซักถามถึงความเป็นมาของรางวัลนี้กันเสียหน่อย
โครงการนี้เป็นโครงการดีๆ ของมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ต้องการสนับสนุนให้ชาวนาไทยทั้งรายเก่าและรายใหม่มีการทำนาอย่างยั่งยืน สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ และมีการสานต่ออาชีพนี้ต่อไป เพราะเป็นอาชีพหลักๆ ของคนไทยมายาวนาน
คุณบุญเรือน เป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ได้รับรางวัลเป็นตัวแทนชาวนาดีเด่น ที่ได้รางวัลนี้คุณบุญเรือน บอกว่า น่าจะมาจากการที่ดูแลเอาใจใส่ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าว เริ่มตั้งแต่การปรับสภาพดินเพื่อเตรียมปลูกกันเลยทีเดียว
แต่ก่อนที่จะเล่า ก็ขอเท้าความพอเป็นสังเขปว่า แต่ก่อนนั้นคุณบุญเรือนยังไม่ได้คิดที่จะทำนา ถึงจะเป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว ตนเองเดินทางเข้ามาทำงานที่โรงงานย้อมสีผ้า จังหวัดนครปฐม และหลังจากนั้นคิดที่จะกลับมาดูแลแม่ ประกอบกับจำคำพูดของพ่อได้ว่า “ไม่มีอาชีพใดที่เหมาะกับเราเท่ากับการทำนา เพราะเป็นอาชีพที่มีพระแม่โพสพคุ้มครอง และเราเป็นชาวนา” จากนั้นก็กลับมาเรียนจนจบ ปวช. ด้านจิตวิทยาการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ
หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2531 คุณบุญเรือนกับสามีจึงเริ่มทำนา โดยทำตามกระแสนิยมตามๆ กัน เขาใช้ปุ๋ยอะไร ใช้อย่างไร ก็ทำตามนั้น จากนั้นการทำนาก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนเมื่อปี พ.ศ. 2550 ต้องเจอภัยธรรมชาติคือน้ำท่วม ข้าวที่ปลูกไว้เสียหายหมด ต้นทุนก็เลยจมหายไปกับข้าวด้วย จึงต้องจำใจนำเอาข้าวที่เก็บไว้กินเองมาทำเมล็ดพันธุ์ ส่วนปุ๋ยก็ไม่มีเงินซื้อ เลยนำมูลสัตว์มาใส่ในนาข้าวแทน แต่จะนำไปหมักก่อนประมาณ 3 เดือน ให้วัชพืชตายให้หมดจึงจะนำมาใช้ได้
“เราเรียนรู้มาจากการที่เราหมดตัวแล้ว เราไม่มีอะไรเลย เลยลองดูว่าอะไรที่ใช้ได้ก็เอามาใช้ ส่วนหนึ่งก็อ่านหนังสือเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าถ้าเราอยากรู้อะไรก็ต้องทำให้ได้” คุณบุญเรือน กล่าว
จึงทำให้ตนเองพยายามหาความรู้จากสิ่งใกล้ตัวก่อน โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุน ปรากฏว่าสิ่งที่ทำได้ผล ก็เลยเริ่มปรับสภาพดินที่ได้รับปุ๋ยเคมีมานานและปลูกข้าว โดยข้าวที่ปลูกขายหลักๆ จะเป็นข้าวปทุมธานี
เริ่มปลูกข้าว 1 แปลง 1 ไร่ เพื่อคนที่เรารัก
เนื่องจากอยากให้คนในครอบครัวได้กินข้าวดีๆ ที่ได้รับการดูแลที่ดี และสามีมีปัญหาด้านสุขภาพ เลยอยากจะดูแลเรื่องอาหารการกินไปพร้อมๆ กับการได้รับการรักษาโดยแพทย์ จึงปลูกข้าวที่มีประโยชน์ด้วย 1 แปลง จากจำนวนข้าวทั้งหมด เมื่อคนในบ้านเริ่มมีสุขภาพดีมากขึ้นก็อยากที่จะส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับผู้บริโภคบ้าง
จากนั้นจึงเริ่มขยายการปลูกข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีประโยชน์ ในปัจจุบัน ทำนา 34 ไร่ ของตัวเอง 27 ไร่ ที่เหลือเป็นที่เช่า ปลูกข้าวสังข์หยด จำนวน 5 ไร่ ข้าวปทุมธานี จำนวน 5 ไร่ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ จำนวน 5 ไร่ และข้าวเล็บนก จำนวน 5 ไร่ ส่วนที่เหลือปลูกเป็นข้าวปทุมธานีหมดเลย เพื่อขายเป็นต้นทุนการผลิต
การปลูกข้าวจะใช้วิธีหว่านกับใช้วิธีโยนกล้า แปลงที่ปลูกเพื่อนำมาทำเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่จะใช้วิธีโยนกล้าข้าวที่เพาะมาแล้วลงไปในแปลงนา เนื่องจากวิธีนี้เราสามารถควบคุมและลดปริมาณวัชพืชและข้าววัชพืชได้ดีกว่า กล่าวคือเข้าไปดูแลสะดวกกว่านั่นเอง
คุณบุญเรือนจะปลูกข้าวให้เก็บเกี่ยวพร้อมกันได้ อย่างข้าวสังข์หยดที่มีอายุ 150 วัน จะมีอายุมากกว่าข้าวชนิดอื่น ต้องปลูกก่อนประมาณ 1 เดือน ก็จะเพาะกล้าไว้ก่อน 1 เดือน เพื่อรอปลูกพร้อมข้าวพันธุ์อื่นๆ เพราะหากปลูกพร้อมข้าวอื่น อายุเก็บเกี่ยวจะไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าทิ้งไว้เก็บเกี่ยวทีหลังจะมีปัญหานก หนู มาทำลาย
การปลูกจะดูน้ำในคลองเป็นหลัก ถ้าในคลองน้ำน้อยก็จะไม่ปลูกข้าว เพราะเป็นปีที่น้ำแล้ง ถ้าหว่านข้าวจะเสียหาย ต้องปลูกพืชอายุสั้น เช่น ถั่วเขียว ถ้าน้ำอุดมสมบูรณ์ก็ปลูกข้าวได้ ไม่ขาดทุน
การดูแล และการจัดการ
การดูแลข้าวนอกเหนือจากการบำรุงโดยให้ปุ๋ยมูลสัตว์ที่หมักเองแล้ว ยังมีการจัดการโดยการควบคุมระบบน้ำ น้ำที่ใช้เป็นระบบชลประทานที่อาศัยลำคลอง จะใช้วิธีเปิดประตูให้น้ำเข้านา เมื่อข้าวอายุ 15 วัน ก็เปิดน้ำให้เกือบถึงยอดต้นข้าว 2-3 วัน น้ำจะค่อยๆ แห้งลงมา วัชพืชที่จมใต้น้ำจะตาย ส่วนต้นข้าวจะยืดหนีน้ำ แรกๆ ก็ทดลองทำในกระถางก่อน แล้วจึงนำมาทำในที่นาจริง วิธีการนี้เรียนรู้มาจากการอ่านหนังสือและการสังเกตว่าวัชพืชจะไม่งอกหนีน้ำ ซึ่งต่างจากต้นข้าวที่งอกหนีน้ำ
พอน้ำแห้งก็ควบคุมระดับน้ำได้ ในระยะแรกจะให้น้ำระดับครึ่งต้นในข้าวต้นเล็ก เพราะถ้าให้น้ำเยอะเกินไป ข้าวจะไม่แตกกอ พอข้าวโตประมาณ 35-40 วัน ข้าวจะกำลังแตกกอ จะให้น้ำเยอะไม่ได้ ถ้าน้ำเสมอโคนจะแตกกอได้แขนงเยอะ บางต้นออกรวงได้ 50-70 รวง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหว่านข้าวด้วย ถ้าหว่านแน่นเกินไปข้าวก็จะไม่แตกกอ
ผลผลิตข้าวที่ได้ ข้าวปทุมธานีประมาณ 750-800 กิโลกรัม ต่อไร่ สังข์หยด 400-450 กิโลกรัม ต่อไร่ การปลูก ปลูกไม่เกิน 7 เดือน เพราะอาศัยน้ำในคลองชลประทาน
ส่วนข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วก็จะสีเอง เมื่อก่อนที่ยังไม่มีเงินซื้อเครื่องสีข้าวไฟฟ้าก็จะใช้เครื่องสีข้าวด้วยมือ แต่ตอนนี้มีเครื่องสีข้าวไฟฟ้าเป็นของตนเองแล้ว พอมีคนออกไปทำนาจะต้องมีคนอยู่บ้านเพื่อสีข้าวทั้งของตนเองและที่รับจ้างมา และแพ็กข้าว ข้าวของตนเองอาทิตย์หนึ่งจะสีแค่ 1 ครั้ง เพราะไม่อยากเก็บไว้นาน
เลี้ยงเป็ดกำจัดศัตรูพืช
การจัดการศัตรูข้าวตัวฉกาจอย่างหอยเชอรี่ที่มากัดกินต้นข้าวเสียหาย บางรายหาวิธีกำจัดหอยเชอรี่ด้วยการใช้สารเคมี ซึ่งถือว่าเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์แรง มีราคาแพง เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจมีสารพิษตกค้างในข้าว ด้วยการที่คุณบุญเรือนเป็นคนชอบหาความรู้รอบตัวอยู่เสมอ จึงได้ไปเจอวิธีการเลี้ยงเป็ดเพื่อกำจัดหอยเชอรี่ จึงซื้อเป็ดตัวเล็กๆ มาอนุบาลไว้ก่อน พอเริ่มโตก็ปล่อยลงในนาข้าวเมื่อข้าวอายุได้ 20 วัน จนข้าวมีอายุได้ 75 วัน
“เขาเสียเงินซื้อยาเคมี ป้าเก็บไข่เป็ดไปกิน ไปขาย ได้เงินอีกด้วย” คุณบุญเรือน เสริม
การเลี้ยงเป็ดจะทำคอกไว้ที่คันนา เช้าก็ปล่อยเป็ดลงในนาข้าว เป็ดก็จะไปกินหอยเชอรี่เป็นอาหาร 4 โมงเย็น เป็ดก็จะมาเข้าคอก
จากวิธีนี้ไม่เคยพบว่าเป็ดทำให้ต้นข้าวเสียหาย เนื่องจากเป็ดลอยตัวอยู่ในน้ำและไม่ได้กัดกินต้นข้าวเป็นอาหารจึงไม่มีผลกระทบอะไร ผลที่ตามมาคือไม่มีศัตรูพืช และไม่ต้องให้อาหารเป็ด ทั้งยังได้กินไข่เป็ดที่ปลอดสารและมีเหลือพอที่จะนำไปขายด้วย เพราะเก็บไข่เป็ดได้วันละ 300 ฟอง เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้ชาวนารายอื่นทำวิธีนี้ด้วย ประมาณ 14-15 ราย มีการทำเป็นโครงการ โดยจะมีการจ่ายเป็ดให้นำไปเลี้ยงต่อ ในปัจจุบันจ่ายไป 60 รายแล้ว รายละ 20 ตัว เป็ดที่ทำเรื่องขอมาจะนำมาอนุบาลไว้ที่บ้านก่อน และให้กินรำจากโรงสีที่บ้านเป็นอาหาร พอโตหน่อยจึงค่อยแจกจ่าย ถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
คุณบุญเรือน เสริมอีกว่า ตั้งแต่เปลี่ยนมาทำอินทรีย์ ดินก็ดีขึ้นมาก เพราะมีการฟื้นฟู ปรับสภาพดิน และดูแลดินอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็เป็นผลดีในระยะยาวทั้งในด้านสุขภาพของชาวนาที่ไม่ต้องเจอกับสารเคมี และในด้านเศรษฐกิจ
“ที่นาจะไม่เคยมีการเผาฟางข้าว แต่จะใช้วิธีฉีดฟางข้าวด้วยน้ำหมักและนำไปหมักต่อเพื่อใช้เป็นปุ๋ย แต่บางครั้งการหมักปุ๋ยเองก็ทำไม่ทัน เลยมีการซื้อปุ๋ยอินทรีย์ใช้บ้าง แต่ในแปลงนาส่วนของลูกชายที่เน้นขายผลผลิตก็จะมีการใช้ปุ๋ยทั่วไปบ้าง” คุณบุญเรือน กล่าว และยังให้ข้อมูลอีกว่า รวมแล้วต้นทุนต่อไร่ รวมค่าแรงด้วยแล้ว ประมาณ 2,100 บาท เท่านั้น
วิธีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์
การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกร นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนในส่วนที่ต้องเสียไปกับค่าเมล็ดพันธุ์แล้ว เกษตรกรยังมั่นใจว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ที่ดีเพราะมีการเพาะและเก็บเกี่ยวเอง
ที่นาของคุณบุญเรือน จะมีข้าวส่วนหนึ่งที่ปลูกไว้เพื่อนำมาเป็นเมล็ดพันธุ์ในการปลูกข้าวครั้งต่อไป ในส่วนนี้จะมีการดูแลอย่างดี เข้าไปกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะใช้แกระเกี่ยวเพื่อลดความเสียหาย ให้เมล็ดพันธุ์ที่ได้มีความบริสุทธิ์ที่สุด
ในส่วนของเมล็ดพันธุ์ ถ้ามีเพื่อนบ้านมาขอแบ่งซื้อก็จะขายให้บ้าง แต่ไม่ขายทีละเยอะๆ เพราะจะเก็บไว้ปลูกต่อเป็นหลัก
ข้าวที่ปลูกได้ ขายที่ไหน อย่างไร?
คุณบุญเรือน บอกว่า เมื่อก่อนขายแบบนำไปตั้งขาย ไปกับกลุ่มแม่บ้าน แพ็กเองขายเอง เริ่มพัฒนาจากใส่ถุงมัดเชือกเป็นถุงซิปและเป็นสุญญากาศในปัจจุบัน มีสติ๊กเกอร์ภาษาไทย อังกฤษ จีน เพื่อต้อนรับ AEC
ปัจจุบันจะขายเป็นข้าวเปลือกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นไรซ์เบอร์รี่กับสังข์หยดจะไม่ขายเป็นข้าวเปลือก จะสีเอง แปรรูปเอง คัดเองหมดเลย
“ข้าวสารที่ขาย ถ้าไม่แพ็ก ขายกิโลละ 50 บาท ถ้าแพ็กสุญญากาศ กิโลละ 60 บาท บวกค่าแรงงาน ค่าถุงเรานิดหน่อย เพราะเราทำเองทั้งหมดเลย” คุณบุญเรือน กล่าว โดยการขายนี้จะขายเองโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ถ้าอยากซื้อ ไม่ว่าจะซื้อปลีกหรือนำไปขายต่อก็สามารถติดต่อไปโดยตรงได้เลย คิดราคาเท่ากันทั่วประเทศ แต่ต้องเสียเงินค่าขนส่งเองเท่านั้น
สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
มีลูกชวนลูก มีหลาน…ก็ชวนมาด้วย
ปัจจุบัน คุณบุญเรือนและครอบครัวมีความพึงพอใจในสิ่งที่ทำมาก เพราะสามารถมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ และคนในครอบครัวยังมีสุขภาพดีขึ้น
ส่วนในเรื่องของแรงจูงใจที่อยากให้ลูกหลานทำนา เริ่มจากการปลูกฝังลูกตั้งแต่เด็ก โดยแบ่งที่นาให้ลูกทำคนละนิดหน่อย โดยตนเองจะเป็นผู้ลงทุนให้ พอข้าวในส่วนนั้นขายได้เงินก็ให้ลูกไป ทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการทำนา เป็นวิธีที่แม่ของคุณบุญเรือนเคยใช้มาตั้งแต่คุณบุญเรือนเด็กๆ จึงนำมาใช้ต่อในรุ่นของตนเอง
นอกจากนี้ คุณบุญเรือนยังให้ความรู้ลูกมาเสมอว่า เราปลูกข้าวพันธุ์อะไร ข้าวนี้เป็นแบบไหน และปัจจุบันตนเองก็ชอบส่งเสริมให้ลูกไปฟังอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้อยู่ตลอด
คุณบุญเรือน บอกว่า ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยได้พักมากนัก เพราะนอกจากการทำนาของตนเอง ยังรับจ้างหว่านข้าว ไถนา เกี่ยวข้าวด้วย โดยเป็นนายหน้ารถเกี่ยวให้ บางครั้งก็ถูกรับเชิญไปเป็นวิทยากรตามที่ต่างๆ ส่วนลูกชายอีก 2 คน ก็ช่วยทำในส่วนนี้ด้วย
แปรรูปผลผลิต เพิ่มรายได้
ในด้านของการแปรรูปผลผลิต คุณบุญเรือน บอกว่า นำรำข้าวละเอียดมาแปรรูปเป็นจมูกข้าวพร้อมดื่ม เพราะสะอาดและมีประโยชน์ นำมาทำผงขัดหน้าจากจมูกข้าว และทำเป็นสบู่
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ คุณบุญเรือนบอกทั้งกินเองใช้เองและนำไปขายเพื่อเพิ่มรายได้ด้วย เพราะมั่นใจในวัตถุดิบคุณภาพและกรรมวิธีผลิตที่สะอาด ปลอดภัย
ตอนนี้ลูกค้าจะสนใจสบู่มากเป็นพิเศษ เป็นสบู่จากจมูกข้าว หัวผักกาดขาวและสับปะรด ถ้ามีคนสนใจอยากซื้อก็สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ด้วย ขายในราคาไม่แพง เพียงก้อนละ 20 บาท เท่านั้น
การดำเนินชีวิตที่ยึดหลักคุณธรรม
จริยธรรมที่ได้รับการยอมรับในชุมชน
ในปัจจุบัน คุณบุญเรือนมีเครื่องสีข้าวแบบไฟฟ้าขนาดกลางไว้ใช้เอง แต่เครื่องสีข้าวด้วยมือเครื่องเก่าก็ไม่ได้ตั้งทิ้งไว้ให้เสียประโยชน์ ได้นำไปไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้ที่ทำไว้บนที่นาของตนเองเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการศึกษา ศูนย์การเรียนรู้นี้เปิดให้เข้าชมเมื่อปี พ.ศ. 2553 และเมื่อปี พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ เยือนที่ศูนย์ จึงเกิดความตื้นตันใจ อยากที่จะทดแทนบุญคุณแผ่นดิน จึงยกพื้นที่ของตัวเองเป็นศูนย์การเรียนรู้ มีเนื้อที่ประมาณเกือบๆ 4 ไร่ ให้มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน เพราะอยู่ในเขตจัดรูปที่ดิน
นอกจากนี้ คุณบุญเรือนยังได้รับรางวัลในด้านต่างๆ มากมาย อาทิ ประกาศเกียรติคุณ โดยท่านหญิง (หม่อมเจ้า) ประภาพันธุ์ ภาณุพันธุ์ กรโกสียกาจ ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2557 ประกาศเกียรติคุณจากมูลนิธิจำเนียร สาระนาค โล่เชิดชูเกียรติเป็นสตรีดีเด่นที่ดำรงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง จากจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
จากรางวัลเชิดชูเกียรติที่ได้รับจำนวนมาก จึงเชื่อได้ว่า คุณบุญเรือนเป็นที่ยอมรับจากชุมชนอย่างแท้จริง และดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอมา
เห็นอย่างนี้แล้ว หลายๆ ท่านคงจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปไม่มากก็น้อย ทั้งการปลูกข้าวที่ต้องใส่ใจถึงระบบน้ำที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ต้องดูแลสภาพดิน ไม่พึ่งสารเคมีมากจนเกินไป เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังดำรงตนตามพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง คือ มีกินมีใช้ ไม่ฟุ่มเฟือย เหลือเก็บออมในยามฉุกเฉินบ้าง คงเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้การทำนาของคุณบุญเรือนและครอบครัวเป็นไปได้อย่างราบรื่น และมีความยั่งยืน ผู้เขียนมั่นใจเหลือเกินว่า ถ้าหากชาวนาไทยส่วนใหญ่หันมาทำนาโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม สุขภาพของตนเองและผู้บริโภคแล้ว อาชีพชาวนาไทยจะต้องดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง และชาวนาจะต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนใครที่ต้องการสอบถามในด้านของผลิตภัณฑ์ หรือต้องการจะเข้าไปเยี่ยมชมที่ศูนย์การเรียนรู้ ก็สามารถติดต่อไปได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ (089) 872-9687 คุณบุญเรือน ทองจำรัส หรือที่ บ้านเลขที่ 185 หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตรอ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช 80290