ท็อปส์หัวใส!! จัดทำ “ชุดไหว้เจ้าโชคลาภ” โกยเงินทองตลอดปี

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/478825

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 ก.พ. 2558 05:45

อ.ช้าง-ทศพร ศรีตุลา และภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ชวนเสริมมงคลและโชคลาภรับปีแพะ.

ฉลองเทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของจีนที่จะมาถึงในวันที่ 19 ก.พ.นี้ ซึ่งตามประเพณีจะต้องมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ก่อน 1 วัน เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยปีนี้ ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ได้รวบรวมสุดยอดของเซ่นไหว้มาบริการอย่างครบครัน ซึ่ง ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้บริหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ จัดเต็มโดยสรรหาเมนูอาหารจีนเลื่องชื่อระดับภัตตาคารมาให้เลือกสรร ทั้งชุดไหว้ตรุษจีน สูตรพิเศษเฉพาะจากห้องอาหารเชฟแมน, เป็ดย่างและไก่จากภัตตาคารโฟร์ซีซั่น, ขนมผักกาด, ขนมแท่งทองและแป้งทอดไส้หมูสับ จากภัตตาคารตั้งใจอยู่, นอกจากนี้ ยังมีอาหารจากร้านดังเยาวราช อาทิ ขนมอิ่วก๊วย เจ๊เกียว ในซอยข้างวัดเล่งเน่ยยี่, ลูกชิ้นกุ้งมังกร, ยำเกี่ยมฉ่ายสูตรเด็ดน้ำมะนาว น้ำมันงา จากร้านเจ๊แดง เป็นต้น พร้อมกันนี้ชุดไหว้ทั้งชุดจักรพรรดิ, ชุดไหว้อาหารทะเลพรีเม่ียม, หยี่ซังสลัดปลาดิบ พรีเม่ียมจากสิงคโปร์ ฯลฯ

ผู้บริหารเซ็นทรัลฟู้ด ฮอลล์ กล่าวว่า อีกหนึ่งความพิเศษในปีนี้ เราได้ร่วมกับอาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา จัดทำ “ชุดไหว้เจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยมงคล” แบบเอ็กซ์-คลูซีฟจำนวน 495 ชุดเท่านั้น ในราคาชุดละ 888 บาท ประกอบไปด้วย เครื่องสักการบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภ พร้อมคู่มือการไหว้ โดยจัดทำเป็นแผนผังการไหว้อย่างถูกต้อง เมื่อไหว้เสร็จแล้วยังสามารถนำองค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยที่เราไหว้ไปบูชาต่อได้ เช่น ใครที่ทำงานก็เอาไปตั้งไว้บนตู้เซฟ, เป็นเจ้าของร้านก็นำไปไว้ตรงแคชเชียร์ ลิ้นชัก หรือตั้งบริเวณที่องค์ท่านหันไปทางประตู และนำเทียนที่ดับแล้วไปเก็บไว้ในตู้เก็บเงินของเรา เพื่อให้มีเงิน มีทอง มีโชค มีลาภ ตลอดทั้งปี โดยจะจำหน่ายเฉพาะที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และชิดลม, ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขา ปิ่นเกล้า บางนา และลาดพร้าว เพียงสาขาละ 99 ชุดเท่านั้น และร่วมสัมผัสสุดยอดสารพันของไหว้และอาหารจีนเลิศรส ได้ที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, ท็อปส์ ซูเปอร์, ท็อปส์ เดลี่, ท็อปส์ ซูเปอร์คุ้ม และท็อปส์ ซูเปอร์คุ้มขายส่ง ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 11-18 ก.พ.

ชุดไหว้เจ้าโชคลาภ

อ.ช้าง-ทศพร ยังได้แนะอีกว่า สำหรับการไหว้ในปีนี้ ทิศมงคลในการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ คือ ทิศตะวันตก จึงควรหันหน้าไปทางทิศนั้นเพื่อรับโชค เวลาในการไหว้ ต้องเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 น.ของคืนวันที่ 18 ก.พ. ถึงเวลา 01.00 น.ของวันที่ 19 ก.พ. สำหรับของไหว้ที่นิยมคงแล้วแต่ประเพณีนิยม ถ้าเป็นอาหารหวาน เช่น ขนมบัวลอยหรือขนมอี๋, ผลไม้ เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิ้ล สับปะรด องุ่น, กระดาษเงินกระดาษทอง ล้วนแล้วแต่สื่อความหมายของคำว่า มงคลแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ ต้องมี อาหารเจ 5 อย่าง (เจฉ่าย) ประกอบด้วย เห็ดหอม เห็ดหูหนู วุ้นเส้น ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน และสิ่งที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติม คือ การนำตัวแทนของโชคลาภเงินทองไปวางบนโต๊ะของไหว้ด้วย เช่น กระเป๋าเงิน, สมุดบัญชีเงินฝาก เพื่อเป็นการเรียกทรัพย์ เสริมความเฮง และหลังจากไหว้ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว อย่าลืมนำกระดาษเงิน กระดาษทองมาเผาตามไปด้วย.

 

มงคลโภชนา เมนูเสริมเฮงรับตรุษจีน

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/478827

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 ก.พ. 2558 05:30

อ.วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ และเชฟชาน ก๊กคิน แนะซุปมงคลรับความเฮงตลอดปีแพะทอง.

กูรูศาสตร์จีนทำนายว่า ปีแพะปีนี้ เป็นปีที่ดีในการเริ่มต้นทำกิจกรรมที่เสริมมงคลตั้งแต่ต้นปี เพราะจะทำให้ชีวิตเฮง เฮง เฮงไปตลอดทั้งปี เพื่อให้ตรุษจีนปีนี้มีความหมายมากขึ้น ผลิตภัณฑ์คนอร์ซุปก้อนได้ชวน อ.วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ กูรูด้านศาสตร์จีน และ เชฟชาน ก๊กคิน เชฟใหญ่จากคนอร์ มาร่วมกันคิดค้นสุดยอดเมนู 8 ซุปมงคล “เสริมเฮงรับตรุษจีน” พร้อมแนะนำเคล็ดการรับประทานอาหารเสริมมงคลรับตรุษจีนปีแพะทอง เพราะคนจีนเชื่อว่า หากเริ่มต้นดีแล้ว ก็จะมีแต่สิ่งดีๆ ตามมาตลอดทั้งปี

ซุปกระดูกหมูลูกชิ้นปลา
ซุปหัวปลา

อ.วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ กูรูด้านศาสตร์จีน กล่าวถึงการเสริมเฮงรับตรุษจีนว่า วันตรุษจีนถือเป็นเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่สำหรับคนจีน โดยเฉพาะคนจีนที่นับถือศาสนาพุทธ จะถือเคล็ดเฮงรับตรุษจีน เริ่มต้นตั้งแต่เช้า ไหว้พระพุทธ ไหว้เทวดา ไหว้เจ้าที่ในบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ หลังจากไหว้เสริมเฮงกันแล้ว ตกเย็นก็จะนัดรวมญาติรับประทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งเมนูอาหารมักจะเป็นเมนูพิเศษที่ไม่ได้รับประทานทั่วไป เรียกว่าเป็น มงคลโภชนา คือส่วนผสมจะต้องมีความหมายที่เป็นมงคล ทั้งเรื่องของสุขภาพ การงาน และเงินทองตลอดทั้งปี โดยมี 8 ซุปมงคลเป็นเมนูแนะนำ

แกงจืดวุ้นเส้นใส่ดอกไม้จีน
ซุปเกี๊ยวน้ำก้ามปู
ซุปไก่ตุ๋นยาจีน
ซุปกุ้ง

เริ่มจาก ซุปเฮงเฮง หรือซุปเกี๊ยวน้ำก้ามปู มีส่วนผสมหลักอย่างเกี๊ยว ที่ไส้อัดแน่นด้วยหมูบด หอยเชลล์ และกุ้งสด คนจีนเชื่อว่า การรับประทานเกี๊ยวจะส่งต่อความโชคดีข้ามปี ซุปมั่งมี หรือซุปไก่ตุ๋นยาจีนใส่สาหร่ายเส้นผม ความพิเศษอยู่ที่ใช้ไก่ทั้งตัว แสดงถึงความเจริญในหน้าที่การงาน นำมาตุ๋นกับยาจีน แล้วใส่สาหร่ายเส้นผม ที่หมายถึงความร่ำรวยอีกด้วย อายุยืน หรือแกงจืดวุ้นเส้นใส่ดอกไม้จีน สำหรับอวยพรญาติผู้ใหญ่ในบ้าน เพราะคนจีนเชื่อว่าวุ้นเส้นมีลักษณะยาว สื่อถึงชีวิตคน ยิ่งยาวยิ่งอายุยืน ซุปเฟื่องฟู หรือซุป 3 ไข่ กับวัตถุดิบหลักไข่ 3 ชนิดทั้งไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า และไข่น้ำ รับประทานแล้วจะเฟื่องฟูเงินทอง ลูกหลานเต็มบ้าน ซุปกลมเกลียว หรือซุปกระดูกหมูลูกชิ้นปลา น้ำซุปซดคล่องคอ ลูกชิ้นสื่อถึงความกลมเกลียว แน่นแฟ้น กระดูกหมู และตับหมูแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีผักปวยเล้ง พุทราจีน และเม็ดแปะก๊วยช่วยทำให้ซุปชามนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซุปเกียรติยศ หรือ ซุปหัวปลา หากลูกหลานจะสอบเอ็นทรานซ์ต้องรับประทานซุปชามนี้ เพราะคนจีนเชื่อว่า หัวปลาแสดงถึงการเป็นเจ้าคนนายคน ทำให้เจริญในหน้าที่การงาน การเรียน ซุปรวยมิตร หรือซุปกุ้ง การรับประทานกุ้งที่มีขาเยอะในวันตรุษจีน เป็นสัญลักษณ์ของการมีบริวารที่ดี หรือหากทำการค้าก็จะมีลูกค้าเยอะแยะ ซุปอุดมทรัพย์ หรือซุปกระดูกหมูรากบัว
ใส่ฟองเต้าหู้ ส่วนผสมมงคลอย่างหมูและฟองเต้าหู้ หากรับประทานไปแล้วจะอุดมสมบูรณ์ กินอิ่มนอนหลับ สบายใจ มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย.

 

อร่อยโบราณระดับตำนาน! ครัวไทยสู่ครัวโลก…“สวนบัว”

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/478829

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 ก.พ. 2558 16:05

สวนบัว ห้องอาหารไทยที่เปิดตัวพร้อมกับโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว มายาวนานมากกว่า 30 ปี แน่นอนว่าทุกวันนี้ยังคงเอกลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยแบบดั้งเดิมเอาไว้ ที่สำคัญยังต่อยอดให้ก้าวไปอีกขั้นกับการใช้เป็นต้นแบบเพื่อนำครัวไทยออกสู่ครัวโลก…

เชฟสันติภาพ เพชรว่าว หัวหน้าเชฟของห้องอาหาร เล่าให้ฟังว่า เชฟได้รับหน้าที่คิดสูตรอาหาร และสูตรซอส โดยใช้ห้องอาหารสวนบัว กรุงเทพฯ เป็นต้นแบบของสวนบัวทั่วโลก ซึ่งตอนนี้เชฟได้เดินทางไปช่วยดูห้องอาหารสวนบัว 2 แห่ง คือ เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ต และวิลล่า หัวหิน และเซ็นทาราแกรนด์ไอส์แลนด์รีสอร์ตและสปา มัลดีฟส์ เป็นที่เรียบร้อย

บรรยากาศร้าน

เชฟเล่าถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทยว่าต้องไม่หวาน กลมกล่อม และสมดุลแต่ละรส เชฟให้เริ่มชิม กุ้งโสร่ง ใช้เส้นหมี่ภูเก็ตที่ค่อนข้างเล็กพันรอบตัวกุ้งแล้วทอด เสียบด้วยก้านตะไคร้ให้กลิ่นรสเข้าไปในตัวกุ้ง ราดด้วยน้ำจิ้มบ๊วยดองผสมรากผักชี พริก และกระเทียม เพิ่มรสหวานหอมด้วยมะม่วงสุก ตามติดด้วยอาหารยอดนิยมของชาวต่างชาติ ยำส้มโอ เสิร์ฟมาในผลส้มโอเพิ่มกลิ่นหอมของส้มโอ ใส่พริกเผาไม่มาก เน้นรสชาติของส้มโอและกุ้งลวกที่คลุกเคล้ากับน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขาม พริกขี้หนูสด หอมสด หอมเจียว และมะพร้าวคั่วชิ้นใหญ่ๆ เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสให้ยำ

ยำส้มโอ

2 จานแรกเรียกน้ำย่อยได้ไม่น้อย สั่งข้าวสังข์หยดพร้อมอาหารหนักท้องอย่างกุ้งซอสมะขาม กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่มีมันเต็มหัวกุ้งชุบไข่และเกล็ดขนมปังให้ดูดซอสมะขามขึ้นมา ต่อด้วยปลาทับทิมสมุนไพร เลาะเอาแต่เนื้อออกแล้วทอดกรอบ ราดด้วยยำที่มีขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม มะนาว พริกขี้หนูสด และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รสจัดเผ็ดร้อน

กุ้งซอสมะขาม

ปิดท้ายด้วยแกงป่าลูกชิ้นปลากราย จานนี้ชอบที่สุด รสจัด ครบเครื่องทั้งกลิ่นรสของสมุนไพรเครื่องแกงกับลูกชิ้นเนื้อเนียน แต่ส่วนตัวขอเปลี่ยนเป็นเนื้อสับจะดีมาก

พิกัดความอร่อย : Centara Grand at Central Plaza Ladprao Bangkok ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เปิดบริการ 11.30-14.30 น. และ 18.00-22.30 น. โทร.0-2541-1234 ต่อ 4068 ราคา 210-1,500 บาท

ข้อมูล : กูร์เมต์แอนด์คูซีน 

 

“ปากหม้อเจ๊กี่” หรอยนี้ที่ “เมืองตรัง”

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/478220

โดย อาเหม่ง 1 ก.พ. 2558 05:01

“ปากหม้อตัวใหญ่” 3 ตัว 20 บาท.

แป๊บๆก็ขึ้นเดือนใหม่แล้ว ใครตั้งใจว่าปีใหม่จะทำนั่น ทำนี่ ได้เริ่มหรือยัง? มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เรารู้ว่าเกิดมาแล้วกี่วัน แต่ไม่รู้ว่าเหลือเวลาอีกกี่วัน!!” เพราะฉะนั้นอะไรที่ยังคั่งค้างอยู่ในชีวิต ทำเหอะ…อาเหม่งขอร้อง…

อาเหม่งตั้งใจว่าปีนี้จะพักผ่อน หาเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ปีที่แล้วตะบี้ตะบันทำงานเยอะไปหน่อย (เชื่อมั้ย?) จะพักแค่วันหยุด ไม่ได้คิดพักตลอดไปนะ…เจ้านาย…ตั้งแต่ ต้นปีตระเวนไปต่างจังหวัดหลายที่ ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ละที่อาหารพื้นถิ่นก็เลอค่า อย่างที่ จ.ตรัง เมืองนี้คอนเฟิร์มเรื่องของอร่อย หลายคนรู้จักแค่หมูย่างเมืองตรัง กับเค้กเมืองตรังเท่านั้น จริงๆแล้ว มีของอร่อยเยอะกว่านั้นมาก…กกกก ติ่มซำก็เริ่ด หมูสะเต๊ะก็ไม่ธรรมดา ขนมเปี๊ยะของฝากก็อร่อยล้ำ แม้กระทั้งในตลาดสดก็มีของอร่อยอย่างหนึ่งที่ชาวตรังนิยมหม่ำ คิดว่าที่อื่นไม่น่ามีขาย (หรือถ้าที่ไหนมีขาย กระซิบบอกอาเหม่งที จะได้ตามไปกิน!)

ทำสดๆ ขายสดๆ.
“ปากหม้อเมืองตรัง” หน้าตาแบบนี้.

อาหารที่ว่านั่นก็คือ… แต่น แต๊น…“ปากหม้อ” อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี ปากหม้อที่ไหนก็มีกิน แต่ปากหม้อเมืองตรังไม่เหมือนใคร เริ่มที่ขนาดอันใหญ่มาก ใหญ่ขนาดฝ่ามือสาวๆได้ ส่วนไส้ทำจากมันแกว หมูสับ และกุ้งแห้งผัดรวมกัน ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยซีอิ๊วขาว เกลือ และน้ำตาลก่อนเสิร์ฟราดด้วยน้ำส้มเจื้อง อ่ะ…งงล่ะสิ ว่าคืออะไร “น้ำส้มเจื้อง” เป็นน้ำส้มที่มีรสชาติและวิธีการทำเฉพาะ มีโรงงานทำอยู่ที่เมืองตรัง น้ำส้มเจื้องถูกนำไปเป็นส่วนประกอบการทำอาหารจีนสไตล์เมืองตรังหลายชนิด และปากหม้อก็เป็นหนึ่งในนั้น

“เจ๊กี่” แม่ค้าคนสวยบอกว่า รับน้ำส้มเจื้องจากโรงงานมา ซึ่งเขาทำข้นเหมือนซอสมะเขือเทศมีรสเปรี้ยวนำ เจ๊กี่นำมาผสมรวมกับน้ำตาล กระเทียม หัวหอม พริกสดและเกลือ จนได้รสหวานเปรี้ยวเข้มข้นราดไปบนปากหม้อร้อนๆ ตบท้ายด้วยหัวกะทิสดราดซ้ำอีกที ทำให้ได้ปากหม้อเมืองตรังหอม ครบรสเปรี้ยว หวาน มัน เผ็ดนิดหน่อย บอกตรงๆเป็นรสชาติที่อาเหม่งไม่เคยหม่ำมาก่อน แต่มันเลอค่ามาก แป้งนุ่มนวล ห่อไส้รสกลมกล่อม เจอกับน้ำส้มเจื้องเข้มข้น ที่สำคัญได้หัวกะทิเพิ่มความหอมมัน เด็ดดวงที่สุด ปากหม้อขายจานละ 20 บาทเท่านั้น มีปากหม้อชิ้นโตให้ 3 ชิ้น

“ร้านเจ๊กี่” ร้านเล็กในตลาดอยู่คู่ตรังมา 30 กว่าปี.
น้ำส้มเจื้องและหัวกะทิราดบนปากหม้อ.

ลูกค้าเจ๊กี่ส่วนใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป น้า ลุง ป้า ย่า ยายเพียบ บางคนกินปากหม้อ บางคนกินหัวหมูผักบุ้ง! ไม่ต้องงง ฉงน หรือสนเท่ห์แต่อย่างใด “หัวหมูผักบุ้ง” ก็เป็นอีกเมนูที่ชาวตรังมักหม่ำเป็นอาหารเช้า เจ๊กี่ต้มหัวหมูวันละ 2 หัวกับผงพะโล้ กระเทียม ดอกไม้หอม ต้มรวมกับปอดและไส้กว่า 1 ชั่วโมง หั่นเป็นชิ้นพอดีคำวางบนผักบุ้ง เจ๊กี่อบผักบุ้งบนหม้อที่ทำปากหม้อ คล้ายอบไอน้ำ ปิดฝาไว้แป๊บหนึ่ง ผักบุ้งนุ่มอ่อนตัว ตัดให้เป็นท่อนๆ ใส่ไปในจานหัวหมูแล้วราดน้ำส้มเจื้อง ตบท้ายด้วยกะทิสดอีกที

ขาหมูผักบุ้งเด็ดมาก หัวหมูต้มกำลังดี ถ้าเคี้ยวโดนหูหมูก็กรอบกรึบๆ ผักบุ้งสดอร่อยกรอบไม่แห้ง กินเข้ากับขาหมูและน้ำส้มเจื้องรสเข้มข้นได้เป็นอย่างดี ขาหมูผักบุ้งจานละ 30 บาท เป็นอีกหนึ่งมื้อที่สะท้อนให้เห็นความรังสรรค์ด้านอาหารของชาวตรัง แม้มีอาหารใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ชาวตรังก็ไม่ละทิ้งอาหารดั้งเดิมเก่าแก่ที่กินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ

“หมูย่างเมืองตรังโกเภา” คนรุมทุกวัน.
น่ากินมั้ย? หมูย่างเมืองตรัง.

เจ๊กี่เล่าว่าเมนูนี้ขายมาตั้งแต่รุ่นแม่ ปีนี้เจ๊กี่อายุ 57 ปี เฉพาะรุ่นเจ๊กี่ก็ขายมา 37 ปีแล้ว ตอนนี้เป็นรุ่นที่ 2 และจะส่งทอดสูตรและฝีมือให้ลูกสาวขายต่อไป เจ๊กี่บอกว่าอาหารที่ขาย น่าจะเป็นอาหารที่ชาวจีนรุ่นก่อนๆ ตั้งแต่สมัยอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ชอบหม่ำ ตอนสาวๆแม่เคยเป็นลูกค้ามาก่อน แม่ชอบกินปากหม้อสูตรนี้มาก กินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ จนเจ้าของร้านเขาเลิกขาย แม่จึงขอสูตรและขายต่อจากเขา และขายเป็นอาชีพ เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานมาจนถึงทุกวันนี้

จริงๆร้านเจ๊กี่ขายดีมาก จะไปตั้งร้านที่อื่นหรือขยายสาขาก็คงได้ แต่เจ๊ไม่คิดอย่างนั้น ทุกวันนี้ขายแค่กำลังดี ไม่โลภมาก เจ๊กี่ว่าพอแล้ว เจ๊ขายเอาความสุข เอาตังค์นิดหน่อย ไม่ได้ขายเอารวย ได้มาตลาด เจอเพื่อนแม่ค้า เจอผู้คน พูดคุยให้คลายเหงา แค่นี้ก็พอแล้ว คำว่า “พอแล้ว” นี่สำคัญนัก ถ้าคนเรารู้จักพออย่างเจ๊กี่ คิดดูว่าจะมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่มากขนาดไหน

ปากหม้อเจ๊กี่ขายในตลาดสดเทศบาลเมืองตรัง ตั้งแต่เช้า ตี 5 มาแล้วขายจนถึง 11 โมงเช้า สนใจก็ไปหม่ำกันได้ เจ๊ขายอยู่ใกล้ๆกับโซนขายเสื้อผ้า ไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ เจ๊แกดัง ไปถึงตลาดถามหา “เจ๊กี่” รับรองไม่มีหลง เพื่อความชัวร์โทร.ไปหาก่อนที่ 08–3393–0507

ในตลาดสดเทศบาลเมืองตรัง นอกจากมีปากหม้อเจ๊กี่แล้ว ยังมีหมูย่างเมืองตรังเจ้าอร่อยที่คนตรังคอนเฟิร์มว่าเด็ดดวงอร่อยที่สุด แม้ไม่มีหน้าร้านใหญ่โต แต่ของแกหมดตั้งแต่ 8-9 โมงเช้าทุกวัน ไปหม่ำปากหม้อเจ๊กี่แล้ว แวะไปอุดหนุนกันได้ “หมูย่างโกเภา” ถ้ากลัวไปแล้วไม่ได้หม่ำ ให้เจ๊กี่ไปสั่งให้ได้ อาเหม่งก็ทำวิธีนี้เหมือนกัน ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก!!

อาเหม่ง

 

สร้างสรรค์ เพื่อความสุนทรีย์

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/478094

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 31 ม.ค. 2558 05:45

เรื่องวัฒนธรรมอาหารร่วมสมัยต้องยกให้ฝรั่งเศสและอิตาลีเป็นหนึ่งในตองอู เพราะสามารถผสมผสานตำนานการปรุงอาหารที่สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ จนถือว่าเป็นทูตวัฒนธรรมด้านอาหาร ที่นำความเป็นเลิศของเมนูชั้นยอดเผยแพร่ไปทั่วทุกมุมโลก

FAUCHON
โฟชอง

แบรนด์คาเฟ่ดังสุดชิคจากปารีส “โฟชอง” (FAUCHON) นำเสนอร้านใหม่สาขาสยามพารากอน ภายใต้คอนเซปต์ “โฟชอง ปารีส บูติก” ตั้งอยู่ชั้น G ในบรรยากาศโก้หรูอินแฟชั่นสไตล์ปารีเซียง ในโทนสีชมพูมาเจนต้าเจิดจ้า พร้อมให้บริการเมนูขึ้นชื่อสั่งตรงจากฝรั่งเศส ไล่ตั้งแต่ขนมอบยอดนิยมของโฟชอง เช่น เอแคลร์, เค้ก, มิลเฟรย, เมเซฟ และมาการองอิมพอร์ตจากปารีส ไปจนถึงเมนูอิ่มอร่อยสบายท้องตำรับพื้นเมือง “คีช” ที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์จากวัตถุดิบชั้นดีของปารีสแฮม, เบคอน และเอมเมนเทลชีส มีให้เลือก 4 รสชาติคือ “คีช ลอเรนน์” สอดไส้เบคอนและเอมเมนเทลชีส, “คีช หน่อไม้ฝรั่ง” สอดไส้ หน่อไม้ฝรั่ง ซอสเพสโต้ และบรีชีส, “คีช ซูบีส” สอดไส้หอมหัวใหญ่ผัดและเอมเมนเทลชีส และ “คีช ฟอแรสติแอร์” สอดไส้เห็ด เบคอนและเอมเมนเทลชีส หรือจะเป็นเมนู “อาฟเตอร์เวิร์ค ดีไลท์” รวมความอร่อยหลากหลายสไตล์ปารีเซียง พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่ 18.00-19.30 น. ในราคาเริ่มต้นเพียง 180 บาท

แมนดาริน โอเรียนเต็ล
รสชาติล้ำลึก
น่าล้ืมลอง

ด้าน โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ไม่เคยปล่อยให้นักชิมรสนิยมหรูต้องเหงา ล่าสุด จีบ “เชฟเอนรีโก บาร์โทลินี่” เชฟมิชลินระดับสองดาวมากประสบการณ์จากร้านอาหาร Devero เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี บินตรงมาโชว์ฝีมือปรุงอาหารรสชาติล้ำลึกให้ลิ้มลอง ณ ห้องอาหารเชาว์ วันที่ 2-7 ก.พ.นี้ อาหารของเขาเป็นสไตล์คลาสสิกและร่วมสมัย เน้นการปรุงด้วยตำรับโบราณ ผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างสรรค์เมนูอาหารโดดเด่นน่าจดจำ เขาเคยฝากฝีมือไว้จากการร่วมมือกับสายการบินเอมิเรตส์ พัฒนาเมนูอาหารสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งของสายการบิน ลิ้มลองฝีมือได้ทั้งมื้อค่ำ ราคา 3,600 บาท ส่วน Chef’s table ชมเชฟปรุงอาหารสดๆอย่างใกล้ชิด ราคา 5,800 บาท และปิดท้ายมื้อค่ำคืนพิเศษไวน์ดินเนอร์ ราคา 5,900 บาท (ไม่รวมภาษีและบริการ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2659-9000
ต่อห้องอาหารเชาว์.

อาหารโดดเด่น

 

กรอบ หวาน ฉ่ำ! สตรอเบ้อเร่อ ฉันล่ะเผลอกินเธอหมดคำ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/477909

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 ม.ค. 2558 06:05

สตรอเบอร์รี่ ฉันล่ะยี้เธอจริงๆ! ใครจะยี้ เราไม่ยี้ ใครไม่ชอบกินสตรอเบอร์รี่ ขอบอกไว้ก่อนว่าคุณพลาดแล้ว กลับมาพบกับ Trend can do ไทยรัฐออนไลน์ทุกวันศุกร์แบบนี้เช่นเคย สัปดาห์นี้เราขอนำสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ๆ ผลไม้หน้าหนาวที่ใครๆ ก็โปรดปราน มาทำขนมสุดอร่อยที่ไม่ค่อยได้ทานบ่อยนัก กับขั้นตอนการทำง้ายง่ายที่คุณก็ลงมือทเองำได้กับ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้กทอดกรอบ…

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. แป้งตอร์ตียา (Tortilla) คือ แป้งแผ่นรูปวงกลมที่ทำมาจากแป้งข้าวโพดหรือข้าวสาลี

2. ครีมชีส 8 ออนซ์

3. ซาวครีม 2 ช้อนโต๊ะ

4. สารวานิลลาสกัด 1 ช้อนชา

5. น้ำมันพืช

6. น้ำตาล

7. สตรอเบอร์รี่ 1 ถ้วย

8. ผงชินนาม่อน (ผงอบเชย)

สตรอเบอร์รี่เต็มคำ

ขั้นตอนการทำ

1. ผสมครีมชีส ซาวครีม น้ำตาล และใส่สารสกัดจากวานิลลาตีให้เข้ากัน

ตีครีม

2. หั่นสตรอเบอร์รี่บางๆ และนำไปใส่ในครีมที่เราผสมไว้ในข้อ 1

ใส่สตรอเบอร์รี่ลงไปในครีม

3. ห่อสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กด้วยแป้งตอร์ตียา พับให้สวยงามดังภาพ

พับแป้งสอดไส้สตรอเบอร์รี่
ห่อให้สวยงาม

4. ผสมน้ำตาลกับผงชินนาม่อนไว้ให้เข้ากัน เตรียมพร้อมสู่ขั้นตอนสุดท้าย

5. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะตั้งไว้ให้ร้อน

6. นำสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กที่ห่อไว้มาใส่ลงในกระทะทอดไว้ประมาณ 2-3 นาที (ระหว่างนั้นก็พลิกกลับด้านตามความเหมาะสม) ทอดให้กรอบและเป็นสีน้ำตาลทอง น่ารับประทาน

7. นำสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กที่ทอดเสร็จแล้วขึ้นมาจากกระทะ และนำไปวางไว้ในจานที่มีกระดาษรองซับน้ำมัน

8. ขั้นตอนสุดท้าย นำสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กที่ทอดเสร็จแล้วมาคลุกกับผงชินนาม่อนที่เตรียมไว้ในข้อ 4

คลุกผงชินนาม่อน

9. เสิร์ฟพร้อมสตรอเบอร์รี่สด ตกแต่งให้น่ากิน อ้ำๆ ฟินจังเลยยยยย

เสร็จแล้ว น่ากินสุดๆ

ที่มา : justataste.com

 

ซาลโมเนลลาในไก่ย่าง

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/477836

โดย ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย 30 ม.ค. 2558 05:01

ไก่ย่าง อาหารยอดฮิตของคนไทย ที่เป็นได้ทั้งอาหารจานหลัก อาหารว่าง จนถึงอาหารเรียกน้ำย่อย

ขั้นตอนการทำไก่ย่างนั้นไม่ยุ่งยาก เพียงนำไก่ไปหมักกับเครื่องเทศแล้วนำไปย่างให้สุก เท่านี้ก็ได้ไก่ย่างหนังกรอบ เนื้อนุ่ม และหอมกรุ่นด้วยกลิ่นเครื่องเทศ

คนไทยนิยมทานไก่ย่างคู่กับข้าวเหนียว ส้มตำ และแกล้มด้วยผักสดๆ อาหารชุดนี้นอกจากจะมีรสแซ่บถูกปากคนไทยแล้ว ยังให้คุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ด้วย

แม้ว่าอาหารชุดนี้จะดีต่อสุขภาพ ทว่าหากส้มตำและผักสดไม่สะอาด และไก่ย่างไม่ย่างให้สุกเพียงพอก็อาจให้โทษ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ โดยเฉพาะไก่ย่างเพราะปกติในไก่สดมักพบเชื้อก่อโรคที่ชื่อ ซาลโมเนลลา ปนเปื้อนอยู่ตามธรรมชาติ

เชื้อชนิดนี้มักปนเปื้อนมากับเนื้อและเครื่องในสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อเป็ด ไข่ และนมดิบ

หากได้รับเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินอาหาร มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง และเป็นไข้ ซึ่งจะมีอาการเป็นนาน 1–8 วัน

วันนี้สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างไก่ย่างจากร้านค้าและรถเข็นตามย่านต่างๆในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของเชื้อ ซาลโมเนลลา

ปรากฏว่าไม่พบเชื้อซาลโมเนลลาปนเปื้อนในไก่ย่างทุกตัวอย่าง

แต่ก็อย่าชะล่าใจกันนัก ขอแนะว่าควรเลือกซื้อเฉพาะไก่ย่างที่ย่างสุก และสุกทั่วทั้งชิ้นที่ในเนื้อไก่ไม่มีเลือดสีแดงๆปะปนอยู่ และก็ควรทานขณะร้อนๆ เพราะเชื้อซาลโมเนลลาไม่ทนความร้อน มันจะถูกทำลายได้ที่อุณหภูมิ 62 องศาเซลเซียส นาน 4 นาที

ส่วนผู้ปรุงต้องล้างวัตถุดิบไก่สดด้วยน้ำให้สะอาดก่อนนำมาหมักกับเครื่องเทศทุกครั้ง เพื่อลดปริมาณเชื้อที่ปนเปื้อนมากับไก่ดิบ ภาชนะที่ใช้ทั้งเขียง มีด ช้อน ถ้วย จาน ต้องล้างให้สะอาดและแยกเขียงที่ใช้หั่นหรือสับเนื้อไก่ดิบและเนื้อไก่สุกออกจากกัน

ส่วนผู้ขายควรล้างมือให้สะอาด หรือใส่ถุงมือทุกครั้งที่หยิบจับเนื้อไก่ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค.

 

ไก่บ้าน(เนื้อวัว)ผัดเครื่อง

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/477619

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 ม.ค. 2558 05:45

ชาวมุสลิมในบ้านเรา จะมีเชื้อสายที่มาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะที่กรุงเก่า อยุธยา จะมาจากเปอร์เซีย ซึ่งมักเรียกกันว่าแขกแพ หรือแขกเทศ เข้ามาตั้งรกรากในไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อ 400 กว่าปีที่ผ่านมา และบางท่านจะมารับราชการเป็นถึงสมุหนายก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “ท่านเฉกอะหมัด” ปฐมจุฬาราชมนตรี และเป็น ต้นสกุลของชาวไทยมุสลิมหลายสกุล รวมถึงสกุลบุนนาค และยังมีอีกครอบครัว ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ก็คือครอบครัวพุฒตาล ของ พี่เลาะ–ดำรง พุฒตาล นั่นเอง

คุณดำรง เล่าว่า อาหารการกินของชาวมุสลิมกลุ่มนี้ ค่อนข้างใกล้เคียงกับอาหารไทยภาคกลาง ซึ่งใช้น้ำปลาประกอบอาหารแทนที่จะเป็นน้ำบูดู อย่างมุสลิมภาคใต้ เมนูอาหารประจำตระกูลพุฒตาลที่สืบทอดกันมายาวนาน และจะทำกินกันเฉพาะชุมชนไทยมุสลิมแถบอยุธยา ล้วนเป็นฝีมือของเครือญาติแทบทั้งสิ้น ซึ่งคุณดำรงเล่าว่า เมนูที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หาทานได้ยาก แม้แต่ในกลุ่มชาวมุสลิมต่างพื้นที่กัน ก็อาจจะไม่เคยได้ลิ้มลองด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวต้มสะลัว แกงมัสมั่นสูตรต้นตำรับ หรือแม้แต่ของหวานที่มีชื่อชวนฉงนว่า “ลอดเตียง” และในอดีตจะทำทานกันเฉพาะช่วงเทศกาลถือศีลอด โดยจะประกอบอาหารนำมาแลกเปลี่ยน แบ่งปันกัน

เครื่องปรุงต่างๆ
เครื่องปรุงอีกนิด

สำหรับครอบครัวคุณดำรง ซึ่งจะมีแต่ลูกชายล้วนๆถึง 7 คน จึงทำให้ลูกทุกคนรวมถึงเขาด้วย ไม่สามารถเกี่ยงงอนเรื่องในครัว ต้องช่วยแม่ทำกับข้าวเป็นกันหมด รวมถึงต้องไปช่วยจ่ายตลาดอีกด้วย คุณดำรงจึงมีเมนูเด็ดที่เลียนแบบฝีมือคุณแม่มาโชว์ในวันนี้คือ ไก่บ้าน (เนื้อวัว) ผัดเครื่อง ถึงจะทำกินได้ง่าย แต่หาทานที่ไหนไม่ได้

เครื่องปรุง : เนื้อไก่บ้านหรือเนื้อวัว สำหรับ 3–4 คนทาน/มันเทศต้มสุกหั่นเต๋า 1 หัว/น้ำมันพืช/น้ำสะอาด/น้ำตาลปี๊บ/น้ำปลาดี/พริกแกง (ส่วนผสม : ลูกผักชี 2  ชต., อบเชย, ยี่หร่า 1/3 ชช., เกลือป่น ½ ชช., ขิงแก่ 5 แว่น, พริกชี้ฟ้า 3-4 เม็ด, พริกขี้หนูสวน 20-25 เม็ด, หอมแดง 6 หัว, กระเทียม 6-7 กลีบ นำส่วนผสมทั้งหมดโขลกรวมกันจนละเอียด) ……..

เตรียมเครื่องปรุงรอผัด
พริกแกงที่โขลกเสร็จแล้ว

วิธีทำ 1) ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืช เมื่อน้ำมันเริ่มร้อน นำพริกแกงลงผัดกระทั่งกลิ่นโชย จนคนผัดและคนในบ้านพากันจามไปทั่ว ก็เป็นอันว่าใช้ได้ 2) ใส่เนื้อสัตว์ตามผัดคลุกเคล้าจนเนื้อสัตว์และพริกแกงเข้ากันดี 3) จึงเติมน้ำสะอาด 1-2 ทัพพี หรือจะใช้น้ำล้างครกก็ได้ 4) ใส่มันเทศ 5) ปรุงรสตามชอบ ด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ เคี่ยวต่อจนน้ำงวดพอขลุกขลิก

ใส่พริกแกง

เคล็ดลับ : พริกแกง ควรโขลกด้วยครกหินเนื้อจะเนียนละเอียด มากกว่าการใช้เครื่องปั่น ส่วนเนื้อวัวที่ใช้หากติดมันหน่อยๆจะอร่อยยิ่งขึ้นและไม่แข็งกระด้าง ผักที่ใส่ จะเป็นมันเทศ, มะละกอดิบ (แต่จะบูดง่าย), หอมหัวใหญ่, ถั่วฝักยาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ย่อมได้ และเมนูนี้จะให้อร่อยควรรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ แนมด้วยไข่เจียว หรือไข่เค็ม และมีน้ำซุปร้อนๆช่วยให้คล่องคอ คุณดำรงบอกว่าจะยิ่งอร่อยเหาะ.

ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

อร่อยการันตีทั่วโลก! อิปปุโดะ มีดีกว่า “ราเมง”

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/477596

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 28 ม.ค. 2558 16:05

ร้านราเมงชื่อดังจากญี่ปุ่นที่การันตีความอร่อยจาก 120 สาขาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ซิดนีย์ ไทเป โซล สิงคโปร์ และมะนิลา เรื่อยมาถึงสาขาแรกในประเทศไทยที่พอเปิดปุ๊บคนก็รอต่อคิวแทบจะทันที…

จุดเริ่มต้นของอิปปุโดะนั้นเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 โดยเชฟชิกามิ คาวาฮารา (Shigemi Kawahara) ที่คิดค้นราเมงสูตรเฉพาะของตัวเอง โดยปรับรสชาติราเมงสไตล์ฮากาตะ เน้นความอร่อยของของน้ำซุปกระดูกหมูสีขาวสัญลักษณ์ของเกาะคิวชูให้มีรสอร่อยกลมกล่อม กินง่าย ไม่ข้นจนเกินไป ร่วมด้วยเส้นราเมงยาวบางที่ทำสดๆ ทุกสาขา ก็เพียงพอให้ราเมงอิปปุโดะสามารถครองใจใครต่อใคร แถมเชฟคาวาฮาระ ยังถูกบันทึกชื่อใน Ramen Hall of Frame หลังจากที่สามารถคว้าตำแหน่ง TV Champion Ramen Chef ได้ถึง 3 สมัย

บรรยากาศร้าน

สำหรับที่ญี่ปุ่นเราคงได้พบเพียงเมนูราเมงกับเกี๊ยวซ่าเท่านั้น แต่สำหรับสาขานอกญี่ปุ่นก็จะได้พบกับเมนูพิเศษมากมาย อาทิ Ippudo Pork Bun หรือบาทานิคุบัน เมนูซิกเนเจอร์ที่ชาวนิวยอร์กเกอร์ชื่นชอบแบบสุดๆ กับความลงตัวของแป้งบันบางหนึบที่ผสานกับหมูสามชั้นย่างหอมๆ กรุบกรอบด้วยผักกาดแก้ว หอมหวานจากซอสสูตรพิเศษและมายองเนส ตามด้วย Spicy Boiled Gyoza เกี๊ยวซ่าไส้หมูเนื้อนุ่มชุ่มน้ำมันรายุ (น้ำมันงาเคี่ยวพริก) ที่เพิ่มรสเผ็ดร้อนให้หอมขึ้นจมูกด้วยต้นกระเทียมซอย ส่วนซูชิเลิฟเวอร์ห้ามพลาด Seared Salmon Roll with Mentaiko แซลมอนโรลชิ้นกะทัดรัด สอดไส้ข้าวและอะโวคาโด แต่งหน้าด้วยไข่ปลาเมงไทโกะชุดใหญ่ ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะ รสเค็มๆ มันๆ ก็อร่อยถูกใจ

น่ากิน
ราเมงสไตล์ฮากาตะ

ปิดท้ายกับเมนูพระเอก Akamaru Shinaji ราเมงรสเข้มที่เพิ่มมิติของรสชาติจากราเมงสูตรปกติ ด้วยซอสมิโซะผสมกระเทียมที่พอคลุกเคล้าจะได้กลิ่นหอมๆ พร้อมรสเผ็ดนิดๆ ช่วยตัดเลี่ยน เช่นเดียวกับหมูสามชั้นนุ่มๆ ที่รับรองว่าถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน

แค่เห็นก็อยากลิ้มรส

แว่วมาว่าปีหน้าเราจะได้ลองชิม Seasonal Ramen รสชาติใหม่ๆ กันอีกด้วย งานนี้เตรียมท้องรอกันได้เลย

พิกัดความอร่อย : ชั้น 3 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เปิดบริการ 10.30-22.00 น. โทร. 0-2160-5672 ราคา 100-500 บาท รับบัตรเครดิต VISA และ Master Card

ข้อมูล : กูร์เมต์แอนด์คูซีน

รูปภาพบางส่วน : Ippudo Thailand

 

‘ช้างศึก’ อุ่นแข้งหมอผีวันนี้ ไทยรัฐทีวียิงสด 1 ทุ่ม

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/489935

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 มี.ค. 2558 06:00

ขุนพล “ช้างศึก” ทีมชาติไทย พร้อม ลงสนามปะทะแข้ง “หมอผี” แคเมอรูน ในเกมอุ่นเครื่องแมตช์ “ฟีฟ่าเดย์” ค่ำวันนี้ (30 มี.ค.) ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยจะยึดชุดคว้าชัยเหนือสิงคโปร์เป็นแกนหลัก ขณะที่ “เจ้าบอล” จักรพันธ์ พรใส ยอดปีกตัวจี๊ด กระหายอยากยิงประตูหมอผีเต็มเหนี่ยว ขณะที่ โฟลเกอร์ ฟิงเค เฮดโค้ชแคเมอรูน ยืนยันพร้อมดวลทีมชาติไทย แม้ต้องขาดอบูบาการ์ ที่ถูกปอร์โต ต้นสังกัดในโปรตุเกส ดึงตัวกลับไป “ไทยรัฐทีวี” ถ่ายทอดสดให้ชม 19.00 น. ส่วนอาการบาดเจ็บของ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ แพทย์ระบุต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ จากอาการกระดูกโหนกแก้มหักในจังหวะปะทะผู้เล่นกัมพูชาจนน็อกต้องหามออกจากสนาม แต่ยังดีที่ไม่ต้องผ่าตัด

เมื่อบ่ายวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ได้มีงานแถลงข่าวความพร้อมการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องตามปฏิทิน “ฟีฟ่าเดย์” ระหว่าง ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติแคเมอรูน โดยมี นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศ ไทยฯเป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนของทั้ง 2 ชาติ ซึ่งฟุตบอลแมตช์นี้จะระเบิดแข้งกันในค่ำวันจันทร์ที่ 30 มี.ค.นี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในเวลา 19.00 น. ซึ่งไทยรัฐทีวี ดิจิตอล เอชดี ช่อง 32/42 จะถ่ายทอดสดให้ชม

โดยทีม “หมอผี” แคเมอรูน มีโฟลเกอร์ ฟิงเค หัวหน้าผู้ฝึกสอน และ 2 ดาวดัง อย่าง สเตฟาน เอ็มเบีย กองกลางกัปตันทีมจากเซบีญา และ เอยอง เอโนห์ มิดฟิลด์สตองดาร์ด ลีแอซ มาร่วมแถลง ส่วนทีมชาติไทยส่ง โชคทวี พรหมรัตน์ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน ควงคู่มากับ “จักรพันธ์ พรใส” ปีกตัวเก่งมาร่วม

โฟลเกอร์ ฟิงเค เฮดโค้ชแคเมอรูนกล่าวว่า เรามีปัญหาเรื่องการเดินทางมาบ้าง เพราะต้องเล่นกับอินโดนีเซียมาก่อน และนักเตะส่วนใหญ่ก็ติดภารกิจกับต้นสังกัดทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วัน แต่ตอนนี้เรามีความพร้อมแล้วที่จะเล่นในวันที่ 30 มีนาคม กับทีมชาติไทย แม้ต้องขาด อบูบาการ์ กองหน้าดาวยิงตัวสำคัญ ที่ถูกปอร์โต ต้นสังกัดในโปรตุเกสดึงตัวกลับไป

ขณะที่ “โค้ชกระยางดำ” โชคทวี พรหมรัตน์ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย กล่าวว่า “การเจอกับแคเมอรูนเป็นประโยชน์ต่อทีมชาติไทยของเราเป็นอย่างมาก แม้พวกเขาจะชนะอินโดแค่ประตูเดียว (1-0) แต่นั่นอาจเพราะเขาต้องเดินทางมาด้วยเวลาจำกัด แต่การเล่นกับไทยเขามาเตรียมตัวหลายวัน ซึ่งผมได้เน้นย้ำกับน้องๆ ทุกคนว่าจะต้องเต็มที่เพื่อเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดในเกมนี้ ส่วนตัวผู้เล่นก็คงจะยึดจากชุดที่เอาชนะสิงคโปร์เป็นแกนหลัก”

ทางด้าน “เจ้าบอล” จักรพันธ์ พรใส กล่าวว่า ตอนนี้ทุกคนพร้อมสำหรับการแข่งขัน ส่วนตัวหากมีโอกาสลงสนามก็จะพยายามเร่งทำผลงานให้ดีที่สุด และอยากจะยิงประตูแคเมอรูนให้ได้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวเรื่องอาการบาดเจ็บของ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ปราการหลังตัวสำคัญของทีมชุดปรีโอลิมปีก ที่เข้าปะทะอย่างแรงกับผู้เล่นของกัมพูชาทำให้เจ้าตัวถึงกับน็อกกลางอากาศ ในเกมประเดิมสนามนัดแรกศึกฟุตบอล เอเอฟซี ชิงแชมป์เอเชีย ยู-23 รอบคัดเลือก กลุ่มจี ที่ชนะกัมพูชาไปแบบหืดจับ 2-1 โดยล่าสุด นาวาโท นพ.พรเทพ ม้ามณี นายแพทย์ประจำสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดเผยถึงอาการบาดเจ็บของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ว่า เจ้าตัวจะต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ แต่โชคดีที่ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด

“อาการของนิวก็ถือว่าหนัก แต่โชคดีที่กระดูกโหนกแก้มขวาที่หัก ยังไม่เคลื่อนทำให้ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเจ้าตัวจะต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็อาจจำเป็นต้องใส่หน้ากากลงสนามเพื่อป้องกันใบหน้าเอาไว้” หมอโต้งกล่าว

นอกจากนี้ เขาอาจชวดเล่นให้ต้นสังกัดเมืองทอง ยูไนเต็ด ราว 5 เกม ซึ่งต้องลุ้นว่าจะกลับมาทันมหกรรมซีเกมส์ ที่สิงคโปร์ช่วงเดือนมิถุนายนนี้หรือไม่