ห่วงประเทศ มากกว่า “ประชาธิปัตย์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 ธันวาคม 2558 เวลา 22:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/406247

ห่วงประเทศ มากกว่า "ประชาธิปัตย์"

โดย…ธนพล บางยี่ขัน  ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

“ผมเลิกที่จะเป็นนักการเมืองแบบเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่กลับไปสังกัดพรรคการเมืองไหน ผมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ไม่กลับเข้าประชาธิปัตย์อีก และไม่ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่กับใครทั้งสิ้น ผมจะทำงานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งแน่นอนเป็นการเมืองรูปแบบของประชาชน ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ใช่”

สุเทพ เทือกสุบรรณ ในวันที่ไร้สถานะทางการเมือง เหลือเพียงเก้าอี้ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ออกตัวระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษกับโพสต์ทูเดย์ แบบเสียงดังฟังชัดกับจุดยืนที่ยังเหมือนเดิม ปฏิเสธกระแสข่าวเตรียมจับมือกับ คุณชายหมู ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในวันที่รอยร้าวระหว่างประชาธิปัตย์และ กทม. กำลังคุกรุ่น และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สุเทพไม่ได้บอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จะทำงานการเมืองต่อไป แต่จะเป็นงานการเมืองภาคประชาชน เพื่อประเทศ เพื่อประชาชน ไม่ใช่การเมืองเพื่อพรรคการเมือง ไม่ใช่แย่งชิงอำนาจกับใคร ไม่ควรไปให้ความสำคัญกับข่าวลือที่ไปเล่นกันเป็นตุเป็นตะ และขอยืนยันว่าเรื่องการจะไปตั้งพรรคร่วมกับคุณชายสุขุมพันธุ์ไม่เป็นความจริง

สำหรับข้อกังขาว่าอดีตแม่บ้านพรรคผู้นี้จะแค่เปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังพรรคประชาธิปัตย์นั้น สุเทพ ชี้แจงว่า “ผมและมวลมหาประชาชนจะทำหน้าที่เป็นประชาชนที่ดีในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองไหนดี รัฐบาลไหนดีก็ต้องสนับสุนุน เพื่อให้ทำงานได้สำเร็จ แต่เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเจ้ากี้เจ้าการ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หรือที่บอกว่าแอบไปสนับสนุนพรรคนั้นพรรคนี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องของเขา เหมือนวันนี้มีคนมาถามผมว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร ผมก็บอกว่าเป็นเรื่องประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่ได้อยู่ประชาธิปัตย์แล้ว”

ถามว่าในฐานะคนคุ้นเคย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยขอให้มาช่วยเคลียร์ปัญหาในพรรค หรือมีใครในพรรคขอร้องให้ช่วยไปทำหน้าที่ “กาวใจ” หรือไม่ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบทันทีว่า

“ไม่เลย อย่างเมื่อคืนคุณอภิสิทธิ์โทรมาหาผม ผมไม่ได้รับ (โชว์มือถือ) เมื่อเช้าผมโทรกลับไปก็ไม่มีเรื่องของพรรค เป็นเรื่องที่ต้องไปขึ้นศาลด้วยกัน (หัวเราะ) ศาลนัดให้ไปฟังคำสั่งคดีที่คุณอภิสิทธิ์กับผมถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตายในคดีที่ไปแก้ปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 2552-2553 ศาลนัดวันที่ 18 ธ.ค. ผมไม่ได้รับหมาย ก็เลยไปนัดหมายกับทาง ผวจ.สุราษฎร์ธานี นายอำเภอ นายก อบจ. หัวหน้าส่วนราชการที่จะไปจัดงานสมุยเฟสติวัลที่สุราษฎร์ธานี ก็เลยต้องทำหนังสือไปขอความกรุณาจากศาลเลื่อนวันนัดหมาย คุณอภิสิทธิ์สงสัยว่าผมเลื่อนจริงหรือไม่เลยโทรมาถาม ไม่ได้พูดเลยเรื่องตั้งพรรคหรือเรื่องที่เป็นข่าว”

“ผมไม่มีหน้าที่เป็นกาวใจ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุณชายสุขุมพันธุ์ก็ทำหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม. ผมก็ทำหน้าที่ของผมในนามมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ผมพูดไปแล้วว่ารู้จักคุณชายสุขุมพันธุ์ ผมสนับสนุนคุณชายสุขุมพันธุ์ในตอนที่สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

…วันนี้ก็ยังสนับสนุนอยู่ เอาใจช่วยคุณชายสุขุมพันธุ์ ใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาส สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ของประชาชนชาวกรุงเทพฯ ส่วนอนาคตคุณชายจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของคุณชาย ส่วนเรื่องการประเมินผลงานนั้นเป็นเรื่องของคนกรุงเทพฯ ผมคนสุราษฎร์ ผมเห็นว่าคุณชายทำงานแต่จะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ให้ถามคนกรุงเทพฯ ผมก็บอกว่าคุณชายควรจะใช้เวลาที่คนสนใจคุณชาย พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างผลงานให้ประทับใจก็เท่านั้น”

สุเทพ เล่าให้ฟังว่า ไม่ได้เจอหน้า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มานานแล้ว เคยเจอกันตั้งแต่ตอนบวช 2-3 ครั้ง หลังสึกมา 4-5 เดือน เคยเจอสักหนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นคุณชายไม่มีความจำเป็นต้องมาปรึกษา คุณชายสุขุมพันธุ์มีความรู้ความสามารถ จบออกซฟอร์ด เคยเป็นรัฐมนตรี รวมทั้งไม่มี สส.ในพรรค หรือคนในประชาธิปัตย์คนไหนมาขอร้องให้ช่วยเป็นกาวใจ

“ไม่มี เขาถล่มกันเอง จัดการกันเอง ไม่ต้องพึ่งบริการผม (หัวเราะ) คนในพรรคเข้าใจดีแล้วว่าผมไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการของพรรค ไม่ใช่หน้าที่ผม พรรคประชาธิปัตย์จะเจริญก้าวหน้าก็เป็นเรื่องของคนในพรรคประชาธิปัตย์ จะมีปัญหาก็เป็นเรื่องของคนในพรรค ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว”

ถามว่าห่วงใยประชาธิปัตย์อยู่หรือไม่ สุเทพ กล่าวว่า “ห่วงใยประเทศไทยมากกว่าห่วงใยประชาธิปัตย์”

คสช.เป็นรัฐบาลเผด็จการ ที่แปลกที่สุดในโลก

กำนันสุเทพ เล่าถึงบทบาทหน้าที่ในฐานะประธานมูลนิธิฯ ว่า จะติดตามการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป อันไหนดีก็พร้อมสนับสนุน ตรงไหนมีปัญหาก็บอกในฐานะประชาชน โดยจะสนับสนุนตามเป้าหมาย คสช. พยายามทำให้ประเทศมีความสงบเรียบร้อย ไม่วุ่นวาย จะเห็นได้ว่ามวลมหาประชาชน กปปส.ทั้งหลาย เงียบ นิ่ง ตั้งแต่เลิกการชุมนุม ไม่มีกระทำการใดๆ ที่เป็นเหตุให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ

ทั้งนี้ มั่นใจว่า คสช.จะเดินหน้าปฏิรูปได้สำเร็จและตั้งใจสนับสนุน คสช.อย่างเต็มที่ ให้เขาปฏิรูปประเทศได้สำเร็จ โดยจะติดตามการทำงานต่อไป ไม่วอกแวกหวั่นไหว ไม่รีบด่วนสรุป เพราะรู้ว่างานไม่ใช่ง่ายๆ การที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องที่เราคาดการณ์ไว้แล้วว่ารัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจจะต้องเจอกระแสอย่างนี้

เรื่องแรก ผู้ที่สูญเสียอำนาจทั้งหลายจะดิ้นรน ทำโดยวิธีการต่างๆ โลกล้อมประเทศไทย ให้ทูตนั้นทูตนี้ออกมา พวกนี้มีผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เป็นผลประโยชน์ที่ทำกันโดยนายทุนระดับประเทศ ที่เชื่อมโยงอยู่เบื้องหลังรัฐบาลทั้งหลาย ซึ่งเมื่อมี คสช.แล้วเห็นว่า คสช.อาจจะทำอะไรที่กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของเขาก็รุมทำร้าย คสช.

สุเทพ ยืนยันว่า การออกมาสนับสนุน คสช. ไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง เอาแค่ตั้งแต่หลังยึดอำนาจยังไม่เห็นหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ และส่วนตัวรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ อย่างดีว่าไม่ใช่คนที่คิดเรื่องประโยชน์กับใครทั้งนั้น

“เขาคิดเรื่องชาติบ้านเมือง เขาสุจริต ไม่ข้องแวะกับใคร เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาคบใครที่ไหนล่ะ ไม่ให้ใครพบทั้งนั้น เขาทำงานของเขาไป อาจจะพูดจาไม่ไพเราะเพราะพริ้ง แต่เขามีเอกลักษณ์ในความตั้งใจทำงาน” สุเทพ พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์

“คสช.เป็นรัฐบาลเผด็จการที่แปลกที่สุดในโลก คือเป็นเผด็จการที่มีอำนาจเต็ม ในฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่พยายามจะทำอะไรแบบประชาธิปไตย เลยทำให้คนสับสนไปหมดว่าไม่ได้สิทธินั้นสิทธินี้ จะเอาสิทธิอะไรในรัฐบาลเผด็จการ ที่ได้พูดได้เขียนแสดงออกมาก็บุญแล้ว ถ้าเป็นเผด็จการอื่นป่านนี้ก็เรียบร้อยแล้ว คุณประยุทธ์ก็แปลก แกมีวิธีของแก แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมสนใจเรื่องเดียวว่าขอให้เกิดความสำเร็จกับประเทศก็แล้วกัน” 

ปรองดองต้องเน้น “ประโยชน์” ไม่ใช่ “ความเท่”

สำหรับโจทย์ใหญ่อย่างเรื่องปรองดองนั้น สุเทพ มองว่า ปรองดองต้องคิดกันหลายฝ่าย ใครปรองดองกับใคร หลายคนโลกสวยมาชวนปรองดองตั้งแต่เดินขบวน บอกให้พอแค่นี้แล้วไปปรองดอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนนั้นก็ซัดกลับไปบนเวทีว่าพวก “โลกสวย” ​อยากเป็นพระเอกเอาพวกนั้นพวกนี้มาจับมือกัน

“ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับแกเป็นการส่วนตัว ทั้งหมดนี่คิดเรื่องบ้านเมือง เพราะฉะนั้น ใครก็ตามถ้าคิดจะพูดเรื่องปรองดองให้เอาประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เอาความเท่เป็นหลัก ถ้าเอาประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลักก็ต้องเอาหลักการ มีกฎหมาย คนทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด อย่าปล่อย ไม่ว่าใครต้องเคารพกฎหมาย เหมือนผม มีคดีก็ต้องไปขึ้นศาล ศาลพิจารณาอย่างไรก็ว่าไปตามหลักการ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้หมดทุกคน ได้รับความยุติธรรมเท่าเทียม

…ที่จริงถ้าทุกคนทำตามกฎหมายบ้านเมือง ทำตามหน้าที่ตัวเอง มันก็ไม่เกิดเหตุ ไม่มีอะไรที่ต้องมาสะสาง แต่นี่เพราะหลายคนหลายฝ่ายไม่เคารพกฎเกณฑ์ ไม่เคารพกฎหมาย ทำผิดกฎหมายแล้วมาอ้างว่าเราปรองดองกันนะ อย่าเอาผิดนะ ไม่ได้ เหมือนโกงบ้านโกงเมืองแล้วบอกอย่ามาดำเนินคดีกับผมเลย อย่างนี้ไม่ได้”

ส่วนคำถามว่าหลายคนประเมินว่าอาจไม่มีการเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแมป สุเทพออกตัวว่าสื่อจะโกรธก็ได้ไม่เป็นไร แต่สื่อมวลชนเองไม่ได้สร้างบรรยากาศสำหรับอนาคตของประเทศเลย เอาเรื่องบ้าๆ บอๆ มาเขียนทุกวัน เขามีโรดแมป คสช. ยืนยันว่าจะทำตามโรดแมป สื่อก็ยังสงสัยตลอดว่าเป็นไปไม่ได้ บ้าไปแล้ว ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วถึงค่อยมาว่าไม่ทำตามโรดแมป สื่อมวลชนต้องมีสำนึกของตัวเองบ้างว่าได้ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองบ้างไหม ไม่ใช่ทำอะไรเพื่อความสะใจ ความมันของตัวเองเป็นหลัก

“ถามผมว่าเป็นไปได้ไหม ผมว่าเป็นไปได้ โรดแมปเป็นไปตามแนวทางนี้ได้ คือเขียนรัฐธรรมนูญเสร็จ ผ่านกระบวนการไปเลือกตั้ง มันไม่มีรัฐบาลเผด็จการไหนจะอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก ผมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่มีความทะเยอทะยาน ติดยึดอยู่กับอำนาจ ในตำแหน่ง เขามาด้วยจำเป็นต้องมาทำหน้าที่ ทำเสร็จก็กลับบ้าน ผมเชื่อมั่นว่าเขาทำได้ ยกเว้นคนที่สูญเสียอำนาจ คนบ้าทั้งหลายร่วมก่อเหตุร้ายขึ้นมา บ้านเมืองตีกันอีก ต่อไปก็ช่วยไม่ได้”

ต้องเขียน รธน. เพื่อความอยู่รอดประเทศ

สุเทพ กล่าวถึงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเวลานี้ว่า อยากเห็นรัฐธรรมนูญเป็นกฎกติกา เป็นหลักประกันในอนาคตของประเทศได้ ยกตัวอย่างเรื่องนายกฯ คนนอกที่วิตกกันนั้น ส่วนตัวหลักง่ายๆ คือ ถ้ามีตัวแทนของประชาชนที่ประชาชนไว้วางใจเลือกเป็นผู้แทนแล้ว ถ้าผู้แทนเหล่านั้นจะไปเลือกใครเป็นนายกฯ จะเป็น “คนนอก” หรือ “คนใน”  ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่สำคัญคือเป็นผู้แทนจริงหรือเปล่า ซื้อเสียงหรือโกงหรือเปล่า

“นี่คือความคิดของผม ที่ต่างจากนักทฤษฎีทั้งหลาย นักทฤษฎีบางคนอ้างว่าเป็นคนหัวสมัยใหม่ ต้องการให้ประเทศเป็นอเมริกา เป็นยุโรป เป็นไปไม่ได้ เพราะที่อเมริกา ยุโรป เขาไม่ซื้อเสียง ไม่โกงเลือกตั้ง”

“อย่าไปเชื่อฝรั่ง ทูตนั่นทูตนี่ ขี้ทูต อ้างเรื่องเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าเลือกตั้งแล้วประเทศจะยับเยินยังไง เรื่องทุจริตเขาก็ยังให้คนทุจริตคอร์รัปชั่นเข้าออกประเทศทุกวัน แล้วจะมาพูดสอนอะไรคนไทย คนไทยก็อย่าไปบูชาฝรั่งมากนัก เป็นตัวของตัวเอง เราเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย อนาคตของประเทศไทย จะเขียนตามรสนิยมของฝรั่งไม่ได้”

ประเด็นกลไกทางออกเมื่อเกิดวิกฤตนั้น สุเทพในฐานะที่อยู่ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมาเห็นว่า ที่ผ่านมาไม่มีองค์กรใดที่จะเข้ามาทำหน้าที่แก้ปัญหาวิกฤตได้ จึงต้องมีปฏิวัติ มี คสช. ดังนั้น ถ้ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คิดหาหนทางที่จะทำให้บ้านเมืองไม่เกิดมีทางออกที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่สมควร ไม่ต้องมาอ้างว่าไม่หมือนรัฐธรรมนูญฝรั่ง เพราะประเทศฝรั่งไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ มีผู้นำประเทศที่โกงเป็นแสนล้านแล้วยังอยู่ได้ ไม่มี

ส่วนระบบเลือกตั้งนั้นอย่าสนใจเพียงแค่แบบบัตรเดียว สองบัตร หรือใช้สัดส่วนอย่างไร แต่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง คือ หนึ่ง จะต้องเป็นการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของประชาชน​ ยุติธรรม ​ประชาชนสามารถแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ ปราศจากอำนาจ อิทธิพล มาชักนำ ไม่ว่าจะอิทธิพลมืด อิทธิพลสว่าง อำนาจเงิน ต้องไม่มี

“องค์กรการจัดการเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์ ​ส่วนเรื่องจะคิดคะแนนยังไง ง่ายที่สุดคือเลือกผู้แทนไปทำงานแทนประชาชน แต่นี่คิดเลยไปถึงคนสอบตก อีกหน่อยก็คิดถึงพ่อแม่คนสอบตก ไปกันใหญ่ ผมมองง่ายๆ​ ว่า ขอให้ประชาชนมีผู้แทนไปทำงานแทนประชาชนได้ ไม่ต้องไปซับซ้อน นักวิชาการก็คิดเพ้อเจ้อ สื่อก็วิจารณ์เพ้อเจ้อ คนก็เลยสับสนไปกันใหญ่” 

ผมคิดว่าอย่าเพิ่งรีบวิพากษ์วิจารณ์ รอให้เสร็จทั้งฉบับแล้วมาช่วยกันดูดีกว่า ฟังเหตุผล ดูข้อเท็จจริง ขออย่างเดียวอย่าร่างรัฐธรรมนูญเอาเท่ เอาว่าใช้ได้เป็นประโยชน์สำหรับคนไทยและประเทศไทย เรื่องประชามติจะผ่านหรือไม่ คำถามอย่างนี้ทำให้สังคมเกิดความกังวล รอให้เขาร่างมาให้เสร็จก่อน​ ถ้าดีประชาชนก็เอา ไม่ดีประชาชนก็ไม่เอา ตอนนี้ตอบไม่ได้ ​ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ขอให้ทุกคนนิ่งรอดูก่อน เขียนออกมาอย่างไรค่อยตัดสินใจ เพราะสุดท้ายก็ต้องถามประชาชนอยู่ดี” สุเทพ กล่าว

มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ “ต้นแบบพอเพียง”

หลังจาก กปปส.จบภารกิจชุมนุมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กับบทบาทใหม่ในงานภาคประชาชน ยืนยันกับโพสต์ทูเดย์ ว่า “งานครั้งนี้จะทำในลักษณะสร้างสรรค์ เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ตามโอกาสที่เราสามารถทำได้”

สุเทพ บอกว่า การจัดตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ มีความโดดเด่นแปลกกว่าที่อื่น คือ มวลมหาประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ของคนเพียง 10 คน 100 คน แต่เป็นมูลนิธิฯของทุกคน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำงานให้กับประเทศชาติ ตามกำลังความสามารถด้วยมือประชาชน

สุเทพยกตัวอย่างเช่น อยากเห็นบ้านเมืองมีคนดีศีลธรรมเพื่อเป็นหลักยึดให้กับบ้านเมืองตามหลักอาจารย์พุทธทาสภิกขุ โดยมูลนิธิฯ ชักชวนประชาชนเข้าวัดปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ ใครมีศรัทธาแก่กล้าก็ไปบวช ปฏิบัติธรรมถือศีลจริงจัง มูลนิธิฯก็รณรงค์ทำต่อเนื่อง โดยปีที่แล้วทำทุกเดือนได้พระ 717 รูป ปีนี้ก็จะทำอีกทุกเดือนที่วัดสวนโมกขพลาราม

สุเทพ บอกด้วยว่า นอกจากประชาชนแล้วยังมีข้าราชการเข้ามาปฏิบัติในโครงการดังกล่าว ส่วนในเรื่องของการดูแลบ้านเมืองในอนาคต มูลนิธิฯ เห็นว่าสังคมประเทศไทยข้างหน้าจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมการ ซึ่งเป็นโครงการมาตรการรองรับผู้สูงอายุ

“มูลนิธิฯ เลยทำโครงการขึ้นโดยประชาชน เพราะถ้าผลักให้เป็นภาระรัฐก็ไม่สามารถดูแลทั้งหมดได้ จึงได้จัดทำชุมชนผู้สูงอายุต้นแบบขึ้น โดยจะจัดที่อยู่อาศัยสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับผู้สูงวัย ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่อย่างมีความสุข สงบ ตามวิถีทางศาสนาของตน และคนที่อยู่ในชุมชนนี้จะเป็นผู้มีประสบการณ์ ผ่านโลก ผ่านชีวิตมามาก แล้วก็มุ่งหน้าแสวงหาความสงบสุข โดยยึดหลักธรรมะเป็นสรณะ อยู่ในชุมชนนี้ปฏิบัติธรรมทุกวัน ให้เข้าใจถึงแก่นแท้ชีวิต ไม่ต้องนั่งรอวันสุดท้ายด้วยความหวาดวิตก”

ขณะเดียวกัน ก็จะใช้เวลาประสบการณ์ที่มีทำประโยชน์ให้สังคมบ้านเมืองต่อไป เป็นการดำรงชีวิตบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ใครสามารถรับใช้สังคมตรงไหนได้ มูลนิธิฯ จะทำหน้าที่ประสานงานไปดูแลให้ เช่น ใครสอนหนังสือได้ อย่าง ภาษาจีน อังกฤษ วิชาการ ดนตรี ศิลปะ หรือทำอาหาร ก็จะจัดที่ให้ไปสอน เป็นต้น ใครที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ทำหน้าที่จัดการบริหารชุมชนตัวเอง ปลูกผัก หญ้า ปลอดสารพิษ หุงหาอาหารดูแลเพื่อนฝูง ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

“ตอนนี้เราซื้อที่ดินเกาะสมุย เนื้อที่ 20 ไร่เศษ เราจะทำบ้านพัก เป็นชุมชน ทำสังคมบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับผู้สูงอายุต่อไป เราประมาณว่าจัดอย่างนี้ อยู่แบบมีธรรมะ เรียบง่าย สมถะ ค่าใช้จ่ายต่อหัวไม่เกิน 2,000 บาท แล้วมูลนิธิฯ สามารถดูแลได้”

ประธานมูลนิธิฯ กล่าวย้ำว่า ที่สำคัญมากไปกว่านั้น โดยเล็งเห็นว่าบ้านเมืองในอนาคต ประชาชนต้องมีความเข้มแข็งในการเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจ ดังนั้น มวลมหาประชาชนเลยน้อมนำเอาปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเสริฐสุดการที่จะดำรงชีวิตของประชาชนในอนาคต พร้อมทั้งจะส่งเสริมชุมชนทั้งหลายศึกษาปฏิบัติตามหลักดังกล่าวจริงจัง

สุเทพ ระบุว่า โดยในเรื่องนี้จะทำด้วยมือประชาชนก่อน ชักชวนมาช่วยกัน ซึ่งมูลนิธิฯ เลือกเอาชุมชนเกาะพะลวย เป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ซึ่งเกาะนี้อยู่ในอ่าวไทย ใกล้กับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง มีประชาชน 200 หลังคาเรือน ประกอบอาชีพเกษตรและประมง มีบ้างที่ประกอบกิจการร้านอาหาร ทำบังกะโล

อย่างไรก็ดี มูลนิธิฯ ได้เข้าไปประชุมร่วมกับประชาชนและตกลงกันว่าจะพัฒนาเกาะนี้เป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงสมบูรณ์แบบ ประชาชน 200 หลังคาเรือน จะรวมตัวจดทะเบียนทำเป็นสหกรณ์ เพื่อประโยชน์สมาชิกทุกคน ยึดหลักพอเพียง และเกาะนี้ใช้พลังงานสะอาดมาจากแสงอาทิตย์และลม ไม่มีมลภาวะ

“เราจะส่งเสริมให้ประชาชนจัดการบริหารชุมชนของตัวเองด้วยการมีส่วนร่วมตัดสินใจ วางแผน เกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ ผลิตอาหารมีคุณภาพ ส่วนที่ทำประมงก็ทำประมงตามหลักการอนุรักษ์ โดยเราเริ่มทุกอย่างเตรียมการกันแล้ว และมีวิทยากรลงไป เราทำให้เป็นเกาะคนอยากเที่ยวชม ทำถนนรอบเกาะขี่จักรยานได้ อากาศดี อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ มีรีสอร์ทของสหกรณ์ และคนบนเกาะจะได้รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”

สุเทพ บอกว่า ส่วนเรื่องพื้นที่ดำเนินการก็ทำถูกต้องตามกฎหมายหมด เพราะเกาะนี้ครึ่งหนึ่งเป็นอุทยานและครึ่งหนึ่งเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งประชาชนที่อาศัยอยู่ได้ทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ถูกต้องไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวลใจอะไร วันข้างหน้าตรงนี้เป็นที่ท่องเที่ยวแสวงหาความสงบ คนมาปฏิบัติธรรม และคนที่นี่จะประพฤติอยู่ในศีลในธรรม ขยันขันแข็ง ปฏิบัติตามเศรษฐกิจพอเพียง และจะทำให้สำเร็จโดยเร็วเพื่อใช้เป็นต้นแบบ

สุเทพ ฉายภาพให้เห็นต่อว่า หลังจากนี้ก็จะเข้าไปร่วมกับเทศบาล อบจ. สร้างเศรษฐกิจพอเพียงในที่อื่นๆ ขณะเดียวกันก็กำลังเจรจาหาที่ประมาณ 500 ไร่ เพื่อให้คนหนุ่มสาวและคนเพิ่งแต่งงาน ไม่มีทรัพย์สมบัติ มรดก แต่มีความศรัทธาในแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมยึดมั่นเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวิถีชีวิต โดยจะสร้างชุมชนขึ้นมาใหม่ เป็นของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นและศรัทธาในหลักการนี้

ขณะเดียวกัน มีโครงการพิเศษที่ทำอยู่เรื่องการศึกษา มูลนิธิฯ ต้องการสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปเรื่องการศึกษา มุ่งมั่นให้การศึกษามีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาส่วนรวม ผลิตคนมีคุณภาพรับใช้สังคมแท้จริง แต่มันไม่ใช่ความเชี่ยวชาญ ความเก่ง ทางวิชาชีพอย่างเดียว แต่ต้องมุ่ง
ผลิตคนที่จะออกมารับใช้ชาติและมคุณธรรมด้วย

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมาจากแนวทางพุทธศาสนา ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสค้นคว้าไว้ และแสดงธรรมตามที่ต่างๆ หลายหน ว่าการศึกษาไทยไม่สมบูรณ์ เน้นวิชาการ วิชาชีพ แต่ไม่เน้นธรรมะ ถ้าสมบูรณ์ได้ต้องมีเรื่องของการปลูกฝังเรื่องดังกล่าวในใจเยาวชนด้วย มูลนิธิฯ จะทำอย่างนี้ในการปฏิรูปการศึกษาตามอาจารย์พุทธทาส

สุเทพ บอกอย่างภาคภูมิใจว่า ผู้ให้กำเนิดวิทยาลัย คือ พระภาวนาโพธิคุณ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสวนโมกข์ ซึ่งท่านมีความตั้งใจสืบสานอุดมการณ์อาจารย์พุทธทาส คือ ผลิตเยาวชนคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ คู่คุณธรรม จึงตัดสินใจทำวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ที่เกาะสมุย และวิทยาลัยนี้จะเป็นแห่งแรก ที่คณะสงฆ์และฆราวาสร่วมกันบริหาร เป็นวิทยาลัยสอนวิชาชีพควบคู่ธรรมะเคร่งครัด

“เราจะสอนวิชาสอดคล้องกับความต้องการของเกาะสมุย เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม เลขานุการ คอมพิวเตอร์ ภาษา และการทำอาหาร ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ตลาดและผู้ประกอบการบนเกาะสมุยต้องการ นักเรียนที่มาเรียนจะเป็นนักเรียนทุน คัดเลือกมา ผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีหอพักมีอาหารให้ แต่มีข้อแม้ คือปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ตื่นเช้าไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ แผ่เมตตา ฟังธรรม ไม่มีไปเกะกะทำอย่างอื่น”

สุเทพ อธิบายว่า ส่วนการเรียนจะเน้นสัปดาห์ละ 4 วัน คือ จันทร์-พฤหัสบดี ส่วน ศุกร์-อาทิตย์ นักศึกษาต้องไปฝึกในสถานประกอบการตามสาขาวิชาที่ได้เรียน โดยร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้ดำเนินการทำแล้ว และได้จัดซื้อที่ดินเกาะสมุย 40 กว่าไร่ โดยสถาปนิกกำลังออกแบบและก่อสร้างต้นปีนี้ คาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในเดือน พ.ค. ประมาณ 150-200 คน

สุเทพ ยังบอกโปรแกรมพิเศษ ในวันที่ 23-24 พ.ค.นี้ จะจัดงานเปิดตัววิทยาลัย และถือโอกาสส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ภายใต้ชื่อ “สมุย เฟสติวัล” โดยจะมีการจัดกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน กิจกรรมทางศาสนา การแสดงศิลปะ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของคนชาวเกาะ ชาวใต้ มีถนนพิเศษ ฟู้ดสตรีท เอาอาหารดีๆ ของภาคใต้ พร้อมร้านค้าดังๆ ทั้งหลายมาออกบูธ

นอกจากนี้ ยังมีนักร้องดาราศิลปินสาขาต่างๆ ทั้งร้อง ปั้น มาร่วมทำงานศิลปะ เป็นอาร์ตเลน แม้กระทั่งโชว์พระเครื่อง มีกิจกรรมที่จะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีส่วนร่วม เช่น ฟุตบอลและวอลเลย์บอลชายหาด แข่งขันงานศิลปะ เล่นกีฬา คอนเสิร์ต จากทุกค่ายตลอด 2 วัน

สุเทพ ยังบอกด้วยว่า ในทะเลมีเรือยอชต์ เรือใบ ตกแต่งพิเศษ เรือข้ามฟาก ซีทรานส์ ก็จะได้เห็นบรรยากาศการเล่นดนตรี แสดงศิลปะ ตั้งแต่บนเรือ แล้วเรือจะให้บริการถึงเที่ยงคืน อำนวยความสะดวกให้กับคนที่ไปเที่ยวและต้องการกลับมานอนสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชได้

“งานนี้ใหญ่ตั้งใจให้เป็นงานดึงดูดคนไทยและชาวต่างประเทศ โดยจะจัดให้ได้ทุกปี ส่วนรายได้ก็ให้กับวิทยาลัย เพราะจัดการศึกษาฟรี และนอกเหนือจากเรื่องรายได้ คือ เราตั้งใจสนับสนุนการท่องเที่ยว และจะเริ่มทำการประชาสัมพันธ์กลางเดือนนี้เป็นต้นไป ทุกช่องทางการสื่อสาร ซึ่งจะมีกิจกรรมที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจ มีมวยชกโดยคนต่างประเทศ ให้ชาวต่างประเทศตื่นเต้นกับงานนี้”

 

ใส่ความเห็น