ไม่ปลอม

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07090150757&srcday=2014-07-15&search=no

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 20 ฉบับที่ 353

ฎีกาธุรกิจ

โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

ไม่ปลอม

ตอนเดือดร้อนก็วิ่งไปกู้ยืมเงินเขา พอถึงกำหนดที่ตกลงไว้ว่าจะจ่ายดอกเบี้ยกลับไม่จ่าย ครั้นผู้ให้ยืมเงินไปออกปากถาม เกิดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ด่าทอ ท้าตีท้าต่อย คนให้กู้เขาทนไม่ไหว จึงออกปากทวงคืนทั้งหมด พิโยกพิเกไปตามเรื่อง สุดท้ายจนต้องฟ้องคดีทวงคืน ฝ่ายผู้ยืมก็อ้างว่าสัญญากู้ปลอม

1.

“……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….ฉันเดือดร้อนจริงๆ” คุณเงือบสรุปในตอนท้าย

คำพูดอันเป็นเหตุผลก่อนหน้านั้นที่เขียนเป็น……………ไว้นั้นมีจำนวนมากมาย ซึ่งอาจมากเกินกว่าจะบรรจุอยู่ในที่ว่าง……………ที่เขียนไว้นั้นเสียอีก

ทุกประการ ทุกเหตุผลล้วนแต่ควรค่าแก่การรับฟัง ควรแก่การเห็นอกเห็นใจ และควรแก่การตัดสินใจให้ยืมเงิน ซึ่งเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น อาจซ้ำๆ กันและอาจหารับฟังได้ทั่วไปในประเทศนี้เมื่อใครไปยืมเงินใคร

ยกเว้นไปยืมเงินธนาคาร ที่จะต้องมีเหตุผลแตกต่างไปอีกแบบ เป็นต้นว่าหรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่สำคัญที่สุดคือ จะกู้เงินเอาไปทำไรที่จะให้เกิดผลประโยชน์ได้เงินมาคืนแก่ธนาคารเขา โครงการนั้นมีความเป็นไปได้มีความน่าจะเป็น มากน้อยเพียงไร หรือสามารถแสดงหลักฐานให้เป็นที่พึงพอใจว่า จะมีแหล่งเงินรายได้ชัดเจนมาจากไหน ที่จะสามารถนำมาคืนเขาเป็นงวดๆ ได้จนครบถ้วนพร้อมดอกเบี้ย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวตามที่……………ไว้ข้างต้น ที่สุดในเดือนพฤษภาคม คุณโผงจึงตกลงใจว่า ให้คุณเงือบกู้ยืมจำนวน 700,000 บาท

“เขียนสัญญากันหน่อยนะ เงินไม่ใช่น้อยๆ” คุณโผงว่า คุณเงือบก็ว่า “ดีเหมือนกัน”

สัญญาเงินกู้ ลงวันที่เขียนในเดือนพฤษภาคม

โดยเขียนไว้ชัดเจนว่า คุณโผงเป็นผู้ให้กู้ คุณเงือบเป็นผู้กู้และรับเงินไปแล้ว จำนวน 700,000 บาท

สัญญาระบุไว้ด้วยว่า คุณเงือบต้องชำระดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ทุกเดือน

แต่จริงๆ วันนั้นน่ะ คุณโผงมีเงินไม่ถึง 700,000 บาทหรอก มีเพียง 430,000 บาทเท่านั้นเอง

คุณเงือบได้รับเงินไปเพียง 430,000 บาทเท่านั้น

ส่วนอีก 270,000 บาท คุณโผงก็ว่า เอาไว้ตนจะมอบให้ครบถ้วนในภายหลัง

คุณเงือบว่า “ตกลง”

นอกจากสัญญาเงินกู้แล้ว ยังมีสัญญาค้ำประกันต่อท้ายไว้ด้วย คุณงามงอน น้องสาวคุณเงือบเป็นผู้ลงนามเป็นพยานในสัญญาเงินกู้นั้น และในสัญญาค้ำประกันในฐานะผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินของผู้พี่ด้วย

มีช่างเหล็กทำประตูที่มารับจ้างทำประตูรั้วเหล็ก ที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบด้วยป็นผู้เขียนสัญญากู้ และสัญญาค้ำประกันนั้น ทั้งยังลงชื่อเป็นพยานในสัญญาด้วย

2.

หลังทำสัญญากู้เงินดังกล่าวกันแล้ว ได้เงินไปแล้วก็แยกย้ายกันไป

คุณเงือบได้ชำระดอกเบี้ยประจำเดือนมิถุนายนแก่คุณโผง คุณโผงว่า “ขอบใจนะ ตรงเวลาดี”

ทว่าจากนั้น เมื่อครบเดือนถัดมา คุณเงือบก็ไม่ส่งดอกเบี้ย

เห็นเงียบไป ดังนั้น คุณโผงจึงออกแรงแวะไปที่บ้านคุณเงือบ สอบถามข่าวคราว

ดูเหมือนจะเป็นธรรมดาของการสอบถาม ที่ผู้ถูกสอบถามจะรู้สึกว่าเป็นการทวงถาม

แล้วปัญหาอมตะเรื่องการกู้ยืมเงินประการหนึ่ง ระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้คือ เมื่อผู้ให้กู้ไปถามและถูกมองว่าเป็นการทวงอันเป็นการไม่ให้เกียรติกัน คล้ายเป็นการหยามเกียรติของผู้กู้อย่างร้ายแรง

แล้วเมื่อถามหรือเมื่อทวงแล้วไม่ได้ สิ่งที่มักจะติดตามมาคือ การวิวาทด่าทอกัน ระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้ บางรายไม่ด่าทอกันเปล่า อาจมีการทำร้ายกัน หรืออย่างน้อยก็มีการขู่จะทำร้าย จะเอาชีวิตกันด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายนี้ กลายเป็นว่าคุณโผง ไม่สมควรไปสอบ ไปทวง หรือไปถามแต่อย่างใด

คุณโผงถูกคุณเงือบขู่ว่า จะเอาเรื่องให้ได้เลือดทีเดียว อาจถึงชีวิตด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่หลาบจำ!!!

คุณโผงผู้ถูกขู่จะเอาชีวิต ถึงกับเป็นงง ว่าเขาไปกระทำความผิดอะไรนักหนา เงินกู้ก็ให้กู้ไปแล้ว ได้ช่วยเหลือไปตามที่ว่าเดือดเนื้อร้อนใจ ช่วยปัดเป่าความทุกข์ให้ไป แล้วไหงกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้

“เอ เรื่องมัน พลิก เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” คุณโผงรำพึงรำพัน

ด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เกรงว่าครอบครัวจะเดือดร้อนในชีวิตร่างกายและชีวิตทรัพย์สินอื่นๆ อีกจึงไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจว่า ที่ได้ให้คุณเงือบกู้ยืมเงินไป 430,000 บาท แล้วไปทวงดอกเบี้ยที่สัญญาว่าจะให้ ก็ถูกคุณเงือบขู่เข็ญจะเอาให้เจ็บให้ตาย

ขอให้คุณตำรวจรับรู้รับทราบไว้ด้วย ช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อย

เจ้าหน้าที่ตำรวจรับฟังก็บันทึกเรื่องราวเอาไว้ตามประสงค์ พลางปากก็ว่า “ครับๆๆ แล้วยังงัยอีก” ขณะพยักหน้ารับหงึกๆ เมื่อคุณโผงเล่าเรื่องราวรายละเอียด

คุณตำรวจเรียกทางฝ่ายคุณเงือบมาด้วย เพื่อสอบถามเรื่องราว คุณเงือบไม่ยอมมา แต่คุณแม่ของคุณเงือบมาแทน แล้วจัดการบันทึกเรื่องราวไว้เป็นหลักฐาน คุณแม่คุณเงือบมาก็ลงนามรับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น

ไม่ไหว เจอเข้าอย่างนี้ คุณโผงบอกเลิกสัญญากู้ยืม ทวงเงินต้นคืนด้วยดีกว่า

คือตอนแรกที่ไปสอบถามน่ะ ไปสอบถามเรื่องดอกเบี้ยที่สัญญาว่าจะจ่ายให้ทุกเดือนเท่านั้นเอง แต่ไม่จ่ายเท่านั้นเอง กลับถึงกับโดนขู่จะเอาเรื่องจะเอาเลือด คุณโผงจึงตัดสินใจบอกเลิกสัญญาเงินกู้ ทวงเงินต้นคืนเสียเลย

แต่ไหนเลยจะได้คืนง่ายๆ แม้กระทั่งดอกเบี้ยยังไม่จ่ายแล้วที่ไหนคุณเงือบจะจ่ายคืนเงินต้น

3.

เมื่อคุณเงือบไม่ยอมชำระคืนเงินต้น คุณโผงจึงจำต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ด้วยการฟ้องศาล ขอให้ศาลบังคับให้คุณเงือบชำระคืนเงินต้นมา

แต่ไม่เฉพาะคุณเงือบเท่านั้น คุณโผงฟ้องคุณงามงอนผู้ค้ำประกันสัญญาเงินกู้นั้นด้วย

ขอให้ทั้ง 2 คนร่วมกันชำระเงินต้น 430,000 บาท คืนมา พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้อง 4 เดือนเศษ แต่ขอคิดเพียง 10,750 บาท รวมเป็นเงิน 440,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 430,000 บาทมาจนกว่าจะชำระเสร็จ

คุณเงือบและคุณงามงอนให้การต่อสู้คดี อ้างว่า สัญญาเงินกู้นั้นปลอม เพราะที่ระบุยอดเงิน 700,000 บาท จริงๆ แล้วกู้เพียง 100,000 บาท และสัญญานั้น เป็นสัญญาที่ไม่ระบุจำนวนเงินไว้ แล้วคุณโผงกรอกตัวเลขเอาเองตามใจในภายหลัง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้คุณเงือบ ชำระ 440,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 430,000 บาท หากไม่ชำระให้คุณงามงอนชำระแทน

คุณโผงยินดีมาก

คุณเงือบและคุณงามงอนอุทธรณ์คดี

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

คุณเงือบกับคุณงามงอนยินดีเป็นอย่างยิ่ง คือยิ่งกว่าที่ตอนคุณโผงยินดีเมื่อคราวศาลชั้นต้นพิพากษาให้คุณโผงชนะเสียอีก

ส่วนคุณโผงไม่ยินดีเลย จะให้ยินดีอะไรได้เล่าในเมื่อฟ้องเรียกเงินแล้วไม่ได้เงิน

4.

คุณโผงยื่นฎีกาคดีขึ้นไปยังศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำนวนเงินกู้ที่แจ้งบันทึกประจำวัน คุณโผงก็แจ้งเพียง 430,000 บาท มิได้แจ้งว่า กู้กัน 700,000 บาทตามที่ระบุในสัญญาเงินกู้ หากคุณโผงไม่สุจริตก็อาจแจ้งจำนวนตามที่ระบุในสัญญาก็ย่อมได้ และยังมีมารดาของคุณเงือบลงชื่อเป็นพยานในเอกสารบันทึกประจำวันที่คุณโผงไปแจ้งความเป็นหลักฐาน หากไม่ถูกต้องมารดาของคุณเงือบก็จะต้องคัดค้าน หรือไม่ยอมลงชื่อเป็นพยานหรือลงบันทึกประจำวันด้วย

พฤติการณ์ดังกล่าวเมื่อฟังประกอบพยานฝ่ายคุณโผงที่เป็นผู้เขียนสัญญาและเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ตอนคุณโผงนำเงินมามอบแก่คุณเงือบเพียง 430,000 บาท จึงเชื่อได้ว่า คุณเงือบกู้เงินคุณโผงจำนวน 430,000 บาท

เมื่อคุณเงือบลงลายมือชื่อในสัญญาเงินกู้ และคุณงามงอนน้องสาวลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเงินกู้และลงชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วย แม้สัญญาจะระบุจำนวนเงินไว้ 700,000 บาทก็ตาม ก็เป็นไปตามความประสงค์เดิมของคู่สัญญาที่จะกู้กันในจำนวน 700,000 บาท แต่คุณโผงผู้ให้กู้นำเงินมาได้เพียง 430,000 บาท ส่วนที่ขาดอยู่จะนำมาให้ในภายหลัง

แต่เมื่อคุณเงือบไม่ชำระดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ คุณโผงจึงมิได้นำเงินที่ขาดอยู่มามอบให้จนครบ เป็นเพียงการทำให้จำนวนหนี้ในสัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์เท่านั้น หาใช่ทำให้เป็นสัญญาปลอมแต่อย่างใดไม่

คุณโผงจึงอาศัยสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องร้องบังคับให้คุณเงือบชำระหนี้เงินกู้ที่แท้จริงจำนวน 430,000 บาทได้ และคุณงามงอนผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ค้ำประกันการกู้ยืมเงินของคุณเงือบด้วย

พยานหลักฐานของคุณโผงที่นำสืบมา มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของคุณเงือบและคุณงามงอน ข้อต่อสู้ของคุณเงือบและคุณงามงอนฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

แปลความได้ว่า คุณเงือบและคุณงามงอน ต้องร่วมกันหรือแทนกัน ชำระเงินต้น 430,000 บาท คืนแก่คุณโผง

ได้ยินว่า คุณโผงสาบาน–เข็ดจนตาย ต่อให้มาร่ำร้องว่าเดือดร้อนอย่างไรก็จะไม่ให้ยืมอีกแล้ว (เว้ย)

(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8076/2556)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

ใส่ความเห็น