http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/310745
รุ่นใหญ่ไม่พูดอะไรพร่ำเพรื่อ
ถึงจะพูดกันแบบกลางๆแต่อ่านตามอาการเหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง กับจังหวะที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ บอสใหญ่พรรคชาติพัฒนา สะท้อนความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า หลังจากนี้รัฐบาลคงทำงานเป็นปกติ ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ขณะนี้รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว หากพิจารณาตามพื้นฐานของสภาในระบบเสียงข้างมากและสถานการณ์ต่างๆ เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นความเรียบร้อยในระบอบประชาธิปไตย
ถ้ารัฐบาลอยู่ครบเทอมได้ก็เป็นการส่งสัญญาณดีๆว่า ประชาธิปไตยของไทยมีความมั่นคง และจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล สร้างความมั่นเชื่อมั่นให้นักลงทุน
ในเหลี่ยมช่วยผู้นำหญิงประคองเกม ดักทางสถานการณ์บางอย่าง
เรื่องของเรื่อง ในมุมของนักเลือกตั้งอาชีพก็สอดคล้องไปในทำนองเดียวกับอารมณ์ของสังคม ตามตัวเลขทางสถิติที่ “สวนดุสิตโพล” สำรวจความคิดเห็นประชาชนหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระดับความเชื่อมั่นต่อนายกฯยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 55.31 ยังไว้วางใจให้นายกฯหญิงเดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไป โดยสถิติเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ “กรุงเทพโพล” มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ประชาชนร้อยละ 60 กว่า เชื่อมั่นและสนับสนุนให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่บริหารครบเทอม 4 ปี
นักเลือกตั้งอาชีพกับกระแสสังคมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลุ้นให้รัฐบาลลากยาว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยความคาดหวังกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันก็ขัดๆกันอยู่ แบบที่ไม่ต้องพึ่งหมอดูก็รู้ว่า เกิดเหตุเภทภัยกับบ้านเมืองแน่ ตามคิวที่นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะผู้ประสานงานวิปรัฐบาล ระบุเป็นนัย ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญล็อกไว้ พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีช่องหลีกเลี่ยงการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 นอกจากเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น
ล้อกับแรงกดดันจากแกนนำขาใหญ่ม็อบแดง นปช.ที่ไล่บี้ให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้ารื้อรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ก่อนนายกฯยิ่งลักษณ์จะโดนล้มกระดาน
งานนี้ “ยิ่งลักษณ” โดนบีบหนัก ทั้งจากด้านนอกด้านใน
ในเหลี่ยมที่ขาบู๊อย่าง “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศความเชื่อมั่นว่า การเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 จะไม่ได้เป็นตัวเร่งให้ม็อบต่อต้านรัฐบาลออกมาอาละวาด
แต่ก็วางยุทธศาสตร์ล่วงหน้า เปิดแผนรับมือเสียงขู่ของ “บุรุษคาบไปป์” น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ที่บอกว่าจะมีม็อบเร็วๆนี้ โดยจะใช้แบริเออร์และรั้วลวดหนามมากขึ้นจนถึงเส้นสุดท้าย จะไม่ให้มีการเผชิญหน้ากัน และการใช้แก๊สน้ำตาก็เป็นหลักสากล ประชาชนเห็นด้วย 80.2 เปอร์เซ็นต์
ในอารมณ์เหมือนมั่นอกมั่นใจที่รัฐบาลกดปุ่มระดมตำรวจได้แบบเต็มอัตราศึกในการสกัดม็อบแช่แข็งประเทศไทยของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม จนต้องประกาศตายแล้วกลางม็อบ
แต่นั่นก็เปิดไต๋ให้เห็นหมดแล้วว่า ใครคุมเกม เอากำลังตำรวจมาจากส่วนไหน
ตรงกันข้ามกับม็อบไล่รัฐบาลที่ยังซ่อนกำลังแฝงไว้ เครือข่ายบ่อนพนันบางนา เตาปูน เจ้ามือหวยเถื่อน โต๊ดเถื่อนสนามม้า ยังไม่ได้ถูกกดปุ่มออกมาให้เห็นของจริง
ยิ่งเป็นอะไรที่บีบคั้น สถานการณ์คุกจ่อคอหอยใกล้เข้าไปทุกขณะ
ตามจังหวะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระโดดนั่งแท่นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง นปช.เมื่อปี 2553 จำนวน 91 ศพ หลังจาก พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ทำให้พ้นจากหัวหน้าพนักงานสอบสวนตาม พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ
ที่แน่ๆนายธาริตย้ำเลยว่า ได้เข้าไปตรวจสอบรายละเอียดสำนวนของนายพัน คำกอง โชเฟอร์แท็กซี่เสื้อแดง ผู้เสียชีวิตรายแรกที่ศาลมีคำสั่งชันสูตรศพว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยจากเอกสารหลักฐานและคำให้การพยาน เบื้องต้นเชื่อได้ว่ามีหลักฐานเพียงพอต่อการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้สั่งการในการออกคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งหมายถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยรูปคดี ไม่ใช่แค่สั่งการโดยประมาททำให้มีผู้เสียชีวิต
แต่เป็นเรื่องของคนที่อยู่เบื้องหลังการสั่งการสังหารประชาชน.
ทีมข่าวการเมือง