‘แสนสิริ’ ชี้น้ำท่วมเป็นเหตุทำกำลังซื้ออสังหาฯไตรมาส4หด

http://www.thairath.co.th/content/eco/216562

14 พฤศจิกายน 2554, 17:24 น.

BKQKpJhBMGGYXC7vASLDrbAl5DugmqsGPYnG9LsiMYlRyfP2l2sLz

“แสนสิริ” รับน้ำท่วมทำกำลังซื้อบ้านหด และกระทบแผนธุรกิจไตรมาสสุดท้ายของปี เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 รายได้โตต่อเนื่องกว่า 4,935 ล้านบาท กำไร 414 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ และอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาหลังสถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อแผนธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของบริษัทบ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อให้ลดลงไปบ้าง แต่ลูกค้ายังคงให้ความเชื่อมั่น และให้การตอบรับในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเป็นอย่างดี โดยเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้กว่า 2,300 ล้านบาท โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม มียอดขายโตขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมได้ถึง 3 โครงการในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ได้แก่ โครงการบ้านแสนคราม หัวหิน, โครงการดีคอนโด จรัญ-บางขุนนนท์ รวมทั้งโครงการดีคอนโด กะทู้ ที่ จ.ภูเก็ต

“แม้ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในบางโครงการ แต่บริษัทยังคาดหวังว่า รายได้รวมปีนี้จะยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 4 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่เตรียมโอนกรรมสิทธิ์อีก 2 โครงการคือ ควอทโทร บายแสนสิริ และ บล็อค 77 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 6,200 ล้านบาท”

นายเศรษฐา กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ว่า กลุ่มบริษัทแสนสิริ ยังคงมีผลประกอบการที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมกว่า 4,935 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 414 ล้านบาท ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 162.75 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น อย่างมีสาระสำคัญ โดยขยายตัวมากกว่าสองเท่า ส่วนงวดรวม 9 เดือน มีกำไรสุทธิรวม 950.4 ล้านบาท

“ภาพรวมผลประกอบการรวม 9 เดือนน่าพอใจ เป็นผลจากการโอนและทยอยส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียม อาทิ ไฮฟ์ ตากสิน, เดอะเวอทิเคิล อารีย์ และดีคอนโด อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ที่มีการก่อสร้างและทยอยส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าตามเฟสต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนที่มีการโอนให้ลูกค้าแล้วช่วง 9 เดือนมีจำนวนรวมกว่า 3,114 ยูนิต มูลค่า 12,200 ล้านบาท”

นายเศรษฐา กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการปี 55 ว่า บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 31,720 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้บางส่วนในปี 55 และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 57 ขณะที่บริษัทยังมีแผนจะเปิดโครงการแนวสูงและแนวราบเพิ่มเติม ทั้งในกรุงเทพฯ และขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมรายได้ของบริษัทยังนับว่าค่อนข้างดี.

ใส่ความเห็น