3ซีอีโอธุรกิจไทย มอง เศรษฐกิจ 54 โตต่อ แต่การเมือง-ค่าเงินปัจจัยเสี่ยง

18 พฤศจิกายน 2553, 21:00 น.

http://www.thairath.co.th/content/eco/128026.

Pic_128026

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์-กานต์ ตระกูลฮุน-ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์

3 บ๊ิกซีอีโอ มองเศรษฐกิจปีหน้าโตต่อ โดยการเมือง-สงครามค่าเงิน เป็นปัจจัยเสี่ยง ปตท.ระบุ ปีหน้าน้ำมันราคาไม่ขึ้น ด้านปูนฯ ชี้ การลงทุนรัฐเป็นตัวแปรเศรษฐกิจฟื้นไม่ฟื้น ขณะที่พฤกษา ไม่หวั่นมาตรการคุมสินเชื่ออสังหาฯ แบงก์ชาติ ปีหน้าอสังหาฯ โตต่ออีก 10%

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาสัมมนา ซีอีโอ 2011 :Chief Economic Outlook 2011 ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวได้ 4-5% ถือว่าเป็นการขยายตัวในระดับฐานทีเป็นปกติของประเทศไทย แต่ที่สำคัญมากกว่า คือ การเมืองจะเป็นอย่างไร ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกจะก่อให้เกิดการไหลเข้าออกของเงินที่จะกระทบต่อ เศรษฐกิจไทย และค่าเงินบาทมากหรือน้อยกว่าปีนี้ และการมีขนาดและมูลค่าของเศรษฐกิจที่ใกล้กันมากของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจ จีนอาจจะสร้างปัญหาใหญ่

“สิ่งที่ห่วงคือ สงครามค่าเงินที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อาจจะขยายวงไปสู่สงครามทางการค้าระหว่างกัน และสุดท้ายทุกประเทศจะค้าขายได้ยากขึ้น และก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในขณะที่สหรัฐกำลังพยายามทำทุกทางเพื่อให้จีน และประเทศเอเชียทำให้ค่าเงินของตัวเองแข็งขึ้น หลายคนกำลังมองว่า ไม่ได้แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯได้อย่างแท้จริง เพราะทุกวันนี้ปัญหาของสหรัฐคือค่าจ้างแรงงานที่แพงมาก ทำให้แข็งขันด้านการผลิต และราคาสินค้าไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับค่าเงิน” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ประเทศไทยขยายตัวได้จากภาคการส่งออก และการบริโภคในประเทศ แต่ด้านการลงทุน และศักยภาพในการแข่งขันของไทยลดลง ขณะเดียวกัน สายตาของต่างประเทศมองว่า สถานะของรัฐบาลยังไม่เสถียรภาพ เช่นเดียวกับ นโยบายของรัฐบาลด้านการลงทุนต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งหากปีหน้าต้องการการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่ม ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ต่างชาติเชื่อมั่นให้ได้ นอกจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยจะต้องก้าวไปพร้อมๆ กันทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการมีพลังงานที่ยั่งยืน โดยรัฐบาลมีเป้าหมายชัดเจนที่จะไปสู่การมีพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน และพลังงานหมุนเวียน ขณะที่ลดการสนับสนุนพลังงานฟอสซิส อย่างน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติลง เพราะในช่วงที่สภาวะอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง การไปสู่พลังงานสะอาดจะสร้างโอกาสการเติบโตให้กับประเทศไทยได้ สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้านั้น

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ไม่น่ากังวล เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปีหน้าจะอยู่ในระดับ 80-90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงค์โปร์จะอยู่ที่ประมาณ 90 เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศไม่เปลี่ยนแปลงจากในขณะนี้มากนัก ทำให้ไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อต้นทุนภาคอุตสากรรมและภาคขนส่งของไทยในปีหน้า

ขณะที่ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีหน้าว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในภาคอุตสาหกรรมของไทยในปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ โดยแนวทางที่เหมาะสมของภาคอุตสาหกรรมของไทย และเครือเอสซีจี จะเดินหน้าต่อไป คือ การเพิ่มมูลค่าภายใต้แนวคิด Green Movement ทั้งตัวสินค้า และกะบวนการผลิตที่รักษาสิ่งแวดล้อม และปีนี้ เครือเอสซีจี เห็นผลชัดเจนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 10 เท่าของผลิตภัณฑ์ที่รักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกรณีมาบตาพุด ที่บอกอะไรให้กับอุตสาหกรรมไทยว่าต้องสนใจสิ่งแวดล้อม ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรในปีหน้าจะดีขึ้นต่อเนื่อง จากผลผลิตที่ออมาในตลาดน้อยลงซึ่ง จะช่วยพยุงรายได้ของเกษตรกร เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศทีเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของภาคการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยการค้าส่งและค้าปลีกยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวเข้าสู่สถานการณ์ที่ไปได้ต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าปิโตรเคมี ยังขยายตัวได้ดีต่อไป แม้ว่าหลายคนจะมองว่าผลผลิตในปีนี้ออกมามากเกินไปก็ตาม ส่วนปูนซิเมนต์นั้นคาดปีหน้าจะขยายตัวได้ประมาณ 5-10%

“ภาคการส่งออกโดยรวม ตลาดการค้าของโลกที่ยังขยายตัวจะช่วยพยุงภาคการส่งออกส่วนใหญ่ให้ขยายตัวต่อ ไปได้ แต่จะมีภาคส่งออกอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้น โดยเฉพาะภาคที่มีสัดส่วนสินค้าที่เป็นเงินบาทมาก หรือใช้วัตถุดิบแรงงานในประเทศสูง ซึ่งหากเงินบาทยังแข็งค่าธุรกิจส่วนนี้จะน่าเป็นห่วง” นายกานต์ กล่าว

นายกานต์ กล่าวต่อว่า  การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวมนั้น จะดีขึ้นได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นรัฐบาลเป็นหลัก เรื่องแรกคือ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในการลงทุนของภาครัฐ ในงบประมาณไทยแข้มแข็งปีหน้าที่มีสูงถึง 500,000 ล้านบาท หากสามารถเบิกจ่ายได้รวดเร็วกว่าในปีนี้ ซึ่งมียอดเบิกจ่ายงบไทยเข้มแข็งจริงประมาณ 61% หรือ 240,000 ล้านบาท รวมทั้งการเบิกจ่ายทำได้อย่างโปร่งใสจะสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของ ภาคเอกชนได้อย่างมาก และก่อให้เกิดการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยได้ และปัจจัยสุดท้ายคือสำคัญที่สุดคือปัญหาการเมือง เพราะปีหน้าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มี มีช้าหรือมีเร็วก็ได้ แต่ขอให้ผ่านไปอย่างสงบถึงจะมีผลดีต่อภาคธุรกิจ

ด้าน นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวในการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2554 นั้น จะยังขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 10% จากปีนี้ แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ของธปท.ออกมา โดยผู้ประกอบการและลูกค้าที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการของธปท.คือ ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในปีหน้าที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ เพราะจะต้องเตรียมเงินสดประมาณ 12% ของราคาคอนโดฯ ในการซื้อ ขณะที่ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ในปี 2555 จะต้องมีเงินสดในมือประมาณ 7.5% ราคาบ้าน ในขณะที่โครงการใหม่ทั้งบ้านและคอนโดฯ ที่ยังไม่สร้างไม่กระทบเพราะมีเวลาสำหรับผ่อนดาวน์ประมาณ 1-1 ปีครึ่ง โดยปีนี้มีจำนวนที่อยู่อาศัยในกทม. และปริมณฑล ออกมาในปีนี้ประมาณ 85,000 หน่วย มูลค่าการก่อสร้างประมาณ 200,000 ล้านบาท แต่ปีหน้าจะมีออกมาเพิ่มเป็น 90,000-95,000 หน่วยมูลค่าการก่อสร้างประมาณ 250,000 ล้านบาท ขณะที่พฤติกรรมการซึ่งในขณะนี้ มีบ้านและทาวน์เฮาส์ ทั้ง 100% เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ขณะที่คอนโดฯ 70% เพื่ออยู่อาศัย อีก 15%เพื่อลงทุน ขณะที่มีการซื้อใบจองเพื่อเก็งกำไรประมาณ 15% แต่ในที่สุดจะมีคนซื้อใบจองต่อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้เห็นว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงยังไม่มีภาวะฟองสบู่อย่างที่กลัว กัน

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 18 พฤศจิกายน 2553, 21:00 น.

ใส่ความเห็น