ธปท.เล็งเคลียร์ใจรมว.คลังใหม่ หลังแนวคิดนโยบายการเงินไม่ตรงกัน

6 กรกฎาคม 2554, 21:30 น.

ธปท.เล็งเคลียร์ใจรมว.คลังใหม่ หลังแนวคิดนโยบายการเงินไม่ตรงกัน.

Pic_184390

ผู้ว่าธปท.เล็งหารือรมว.คลัง คนใหม่ เพื่อรับทราบแนวคิดเรื่องการใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ หรือใช้ดอกเบี้ยอ่อน รวมทั้งเสนอข้อเท็จจจริงของภาวะเศรษฐกิจไทย และแนวทางที่ ธปท.ทำอยู่ว่า เชื่อทำให้รมว.คลังใหม่เข้าใจได้ ดีใจประเทศเริ่มมีเสถียรภาพ

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงแนวคิดของทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีแนวนโยบายการเงินที่แตกต่างจากธปท.ในปัจจุบัน เช่น สนใจที่จะใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือระบบคณะกรรมการค่าเงิน (Currency Board) ของฮ่องกง รวมทั้งต้องการให้ผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยลงว่า ในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการจัดจั้งรัฐบาล และเลือกตัวรมว.คลัง ขณะที่แนวคิดต่างๆ ในเรื่องการดำเนินนโยบายการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนที่ออกมานั้น ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนถึงแนวคิดทั้งหมดว่า สิ่งที่ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยต้องการคืออะไรบ้างทั้งนี้ ในการบริหารประเทศทุกยุคที่ผ่านมา ธปท.กับกระทรวงการคลัง มีความเกี่ยวข้องและต้องทำงานร่วมกันมาก ดังนั้น ควรจะมีการทำความเข้าใจในแนวคิด และนโยบายต่างๆ ของกันและกันที่ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินนโยบายทั้งในด้านเศรษฐกิจ การคลัง และการเงิน

“ในขณะนี้รออยู่ว่า รมว.คลังคนใหม่ จะเป็นใคร และแนวคิดโดยรวมในเรื่องนโยบายการเงิน ของรัฐบาลใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากนั้น คาดว่าจะมีโอกาสได้หารือ พูดคุยกัน ในแนวคิดหลักๆ เกี่ยวกับนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ว่า รมว.คลังมีความเห็นอย่างไร และสิ่งที่ ธปท.กำลังดำเนินการอยู่เป็นอย่างไร รวมทั้ง ภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศว่า เป็นอย่างไร และเมื่อได้หารือร่วมกัน จะได้ประสานงานกัน และรู้ชัดเจนว่า จะทำอะไรได้บ้าง และเชื่อว่าจะทำความเข้าให้ตรงกันได้”นายประสาร กล่าว

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า การพูดถึงอัตราเงินเฟ้อ 5-6% ยังรับได้ หรืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่ หรือลอยตัวแบบมีการจัดการ หรือดอกเบี้ยอ่อนนั้น หากพูดเป็นคำๆ อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน และไม่รู้ข้อจำกัดของแต่ละเรื่อง แต่ถ้ารมว.คลัง คนใหม่กับธปท.ได้มีการหารือกัน บางที่แนวคิดที่ว่าแตกต่างกัน ความจริงอาจจะไม่ได้แตกต่างกันเลยทำงานไปพร้อมกันได้ ก็มีความเป็นไปได้มาก เช่น ถ้าพูดถึงเงินเฟ้อ ก็ต้องพูดถึงเรื่องความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าของไทยกับต่างประเทศ ต้นทุนราคาสินค้า และผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนในประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศสามารถผ่านการเลือกตั้งไปอย่างเรียบร้อย และผู้นำของประเทศ ทั้งคุณยิ่งลักษณ์ และคุณอภิสิทธิ์ แสดงความมีวุฒิภาวะที่ดี และมีความเป็นผู้ใหญ่ มีการยอมรับในเสียงของประชาชน และกติกา ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่ดี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติที่ขายหุ้นเพื่อนำเงินออกไป เพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้การลงทุนในไทยต่ำกว่าน้ำหนักการลงทุนที่เหมาะสม เริ่มนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นใหม่อีกครั้ง และหลังจากนี้ นักลงทุนคงต้องจับตาการจัดตั้งครม. ตัวทีมเศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐบาล ถ้าเป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่า เงินลงทุนของต่างชาติในครึ่งปีหลังจะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก

“ถ้าประเทศมีเสถียรภาพทางการเมืองที่ดี มีครม. มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ดี เชื่อว่า ครึ่งปีหลังเงินทุนจากต่างประเทศน่าจะกลับมาไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะมีผลต่อค่าเงินบาทบ้าง แต่ธปท.มีหน้าที่ที่จะบริหารจัดการเงินทุน และค่าเงินบาทให้ผันผวน และช่วยในการแข่งขันของประเทศอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เงินทุนไหลเข้ามาเป็นเรื่องที่ดีมากกว่าไม่ดี เพราะประเทศที่มีความเชื่อมั่นมีเสถียรภาพเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว” นายประสาร กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของปัจจัยทางการเมือง และแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ และการดำเนินนโยบายการเงิน ของธปท. นั้น นายประสาร กล่าวว่า ทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจของธปท. ในฐานะเลขาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะรวบรวมข้อมูลล่าสุดที่ทันสมัยให้กนง.พิจารณาในการประชุม 13 ก.ค.นี้

ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.สายตลาดการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท.เคยบอกแล้วว่า เงินทุนระหว่างประเทศในปีนี้จะไหลเข้าและออกค่อนข้างเร็ว ดังนั้น เมื่อเห็นว่า คะแนนเสียงที่ได้รับระหว่างพรรคที่จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคที่จะเป็นฝ่ายค้าน ห่างกันมา ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง เงินทุนจากต่างประเทศจึงไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นค่อนข้างเร็ว หลังจากที่ช่วงก่อนหน้าไหลออกไปเร็ว แต่เมื่อผ่านมา 2 วัน วานนี้ (6 ก.ค.) ค่าเงินบาทเริ่มนิ่ง เพราะมีเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้น แต่ก็มีเงินต่างชาติไหลออกไปลงทุนในตลาดทองคำนอกประเทศด้วย เพราะในช่วงนี้ราคาทองเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
  • 6 กรกฎาคม 2554, 21:30 น.

ใส่ความเห็น