เชียงใหม่-เชียงราย-ตาก เสี่ยงภัยฝนตกหนัก

วันที่ 20/5/2007

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.

กรม อุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศประจำวันนี้(20 พ.ค.)ว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนกระจาย กับมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และตาก ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังการ เดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “ยู่ทู่” ในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเคลื่อนตัวไป ทางเหนือค่อนตะวันออก ห่างจากประเทศฟิลิปปินส์มากขึ้น  ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะลมฟ้าอากาศของประเทศไทย

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย 40% ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 34 องศา

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป 70% ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แพร่ และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 33 องศา

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย 60% ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ 30% ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี และราชบุรี อุณหภูมิ ต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ 30% ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ 30% ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย 40% ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี และนครศรีธรรมราช อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

กรมอุตุฯ แจ้งทุกภาคยังมีฝนตกชุก

วันที่ 19/5/2007

http://www.naewna.com/news.asp?ID=60500#

กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไปวันนี้ (19 พ.ค.) ว่าเมื่อเวลา 04.00 น. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกชุกต่อไปอีก กับมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน เชียงใหม่ ลำพูน และตาก ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังการเดินเรือในระยะนี้ไว้ ด้วย

อนึ่ง พายุโซนร้อน “ยู่ทู่” ในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางเหนือ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อลักษณะลมฟ้าอากาศของประเทศไทย

จับตา13รอยเลื่อนอันตราย ซ้ำรอยแผ่นดินไหว

วันที่ 18/5/2007

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.

กรมทรัพย์เร่งประเมินความเสี่ยง/รับพยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้
“สมิทธ”จี้เร่งวางแผนอพยพฉุกเฉิน/ย้ำแนวโน้มอนาคตเกิดถี่
กรมโยธาฯสำรวจเจอแค่ตึกปตท.มีโครงสร้างรับแผ่นดินไหว

ภายหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว มีศูนย์กลางบริเวณชายแดนพม่าและลาว วัดขนาดได้ 6.3 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งแรงสะเทือนมาถึงหลายจังหวัดของประเทศไทยรวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย นั้น ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐทุกภาคส่วนได้เตรียมรับมือผลกระทบที่จะตามมา อย่างต่อเนื่อง

ที่กรมทรัพยากรธรณี นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า กรมทรัพยากรธรณีของสหรัฐวัดแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวศูนย์กลางในประเทศ ลาวที่เกิดได้ 6.3 ริกเตอร์ ซึ่งถือว่ามีขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ และมีอาฟเตอร์ช็อกถึง 29 ครั้ง

“ฝากเตือนไปยังประชาชนที่อาศัยในที่ลาดเชิงเขา หากพบสิ่งผิดปกติหรือรอยแยกของแผ่นดินให้แจ้งกรมทรัพยากรฯทันที เพราะการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เกิดดินถล่มได้ นอกจากนี้ กำลังติดตามรอยเลื่อน 13 รอยในประเทศไทยที่มีพลังเพื่อจัดลำดับความเสี่ยงของกลุ่มรอยเลื่อนเหล่านี้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เพื่อวางแผนเตรียมความพร้อมถึงโอกาสการเกิด แต่คงพยากรณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร” นายอภิชัย กล่าว

ด้านนายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า รอยเลื่อนที่น่าจับมอง คือรอยเลื่อนสะแกง หรือสะเกียงในประเทศพม่า เพราะรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ เป็นรอยเลื่อนแขนงของลอยเลื่อนสะแกง และมีเขื่อนศรีนครินทร์ตั้งอยู่ ดังนั้น ควรต้องมีแผนป้องกันภัย แผนเตือนภัย แผนอพยพ และแผนจัดการ เมื่อเกิดภัยพิบัติ นอกจากนี้ ยังรวมถึงรอยเลื่อนในภาคเหนือของไทยด้วย ส่วนรอยเลื่อนขนาดใหญ่นอกประเทศนอกจากรอยเลื่อนสะแกงแล้ว ยังมีรอยเลื่อนแม่น้ำแดงในประเทศเวียดนาม

สำหรับรอยเลื่อนในประเทศไทยที่มีพลังอยู่มี 13 กลุ่ม ประกอบด้วย รอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง ครอบคลุมจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน ครอบคลุมแม่ฮ่องสอน และตาก รอยเลื่อนเมย ครอบคลุมตากและกำแพงเพชร รอยเลื่อนแม่ทา ครอบคลุม เชียงใหม่, ลำพูน และเชียงราย รอยเลื่อนเถิน ครอบคลุมลำปาง และแพร่ รอยเลื่อนพะเยา ครอบคลุมลำปาง, เชียงรายและพะเยา รอยเลื่อนปัว ครอบคลุมน่าน รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ ครอบคลุมอุตรดิตถ์ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ครอบคลุมกาญจนบุรีและราชบุรี รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ครอบคลุมกาญจนบุรีและอุทัยธานี รอยเลื่อนท่าแขก ครอบคลุมหนองคายและนครพนม รอยเลื่อนระนอง ครอบคลุมประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, และพังงา รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ครอบคลุมสุราษฎร์ธานี, กระบี่ และพังงา

ด้านนายสมิทธ ธรรมสโรช ที่ปรึกษา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอทีซี) กล่าวว่า สาเหตุที่ประชาชนใน กทม. รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนมาก เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นดินอ่อน ทำให้ขยายความสั่นสะเทือนได้มากถึง 2-3 เท่า โดยความรุนแรงอยู่ที่ 2-3 ริกเตอร์

นายสมิทธ ยังกล่าวถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้ว่า เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบนรอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายรอยเลื่อนในประเทศไทยที่เริ่มมีปฏิกิริยาการเคลื่อนตัว ถี่ขึ้น และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายประเทศให้ข้อมูลว่า เป็นผลต่อเนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่เกาะสุมาตรา ทำให้รอยเลื่อนเล็ก ๆ หลายจุดในเอเชีย เกิดการเคลื่อนตัวถี่ขึ้น โดยเฉพาะแถบมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก

“หลังจากนี้ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้รอยเลื่อน ควรมีการเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องการอพยพหนีภัย และการเตรียมอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ให้มีความแข็งแรงเพียงพอ ส่วนอาคารสูง เชื่อว่าวิศวกรอาจคำนวณความแข็งแรงเผื่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวไว้บ้างแล้ว” นายสมิทธ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายฐิระวัตร กุลละวณิชย์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น อาคารสูงที่มีโครงสร้างในการป้องกันแผ่นดินไหวมีเพียงแห่งเดียว คือ อาคารสำนักงานของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เท่านั้น

ด้านผลกระทบที่เกิดในต่างจังหวัดนั้น ที่ จ.เชียงใหม่ นายแสงรัตน์ เบญจพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่ เผยว่า ได้ส่งวิศวกรเข้าตรวจสอบโครงสร้างเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อ.แม่แตง เพื่อสำรวจความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากแรงสั่นสะเทือนแล้ว โดยเบื้องต้นไม่พบความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบของแผ่นดินไหว

ส่วนที่ จ.เชียงราย นายอมรพันธ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายผู้ว่าฯเชียงราย กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมรอบพระธาตุเจดีย์จอมกิตติ เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาและทำให้ยอดฉัตรของพระธาตุจอมกิตติ หัก ลงมานั้น ได้ทำให้อัญมณีแก้ว “มณีนพเก้า” ซึ่งมีอยู่ 9 เม็ดบนปลายยอดพระธาตุ ซึ่งได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชินีฯ ในปี 2517 ได้หล่นลงมาด้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่หาพบเพียงแค่ 3 เม็ดเท่านั้น ส่วนปลายยอดเจดีย์ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธพันธ์เชียงแสน พร้อมประสานไปกรมศิลปากรเพื่อสำรวจและบูรณะต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ค้นหา “มณีนพเก้า” พบเพิ่มขึ้นอีก 3 เม็ด จึงเหลืออีก 3 เม็ดที่ยังหาไม่พบ คือ โกเมน มณีแดง และไพฑูรย์

ส่วนที่ อ.เชียงของ ยังพบว่าบ้านเรือนของประชาชน ในเขต ต.เวียง อ.เชียงของ ที่เป็นตึกแถว เกิดรอยร้าวกว่า 60 หลังคาเรือน ที่อ.เทิง ยังพบอีกว่าบริเวณพระธาตุจอมจ้อ มีรอยร้ายเกิดขึ้นที่ตัวเจดีย์ ส่วนที่ กิ่ง อ.ดอยหลวง บ้านเรือนของประชาชน วัด วิหารตามสถานที่ต่างๆ ได้รับผลกระทบเกิดรอยร้าว เสียหายไป ประมาณ 100,000 กว่าบาท

สทส.จัดประชุมใหญ่ แจงผลความก้าวหน้า พัฒนาพืชจีเอ็มโอ

วันที่ 18/5/2007

http://www.naewna.com/news.asp?ID=60263#

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ (สทส.) แจ้ง ว่า สมาคมฯ กำหนดจัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ความก้าวหน้าในการพัฒนาพืชเทคโนชีวภาพและข้อกังวล/ความเป็นจริง  พร้อมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2550 ในวันที่ 28 พฤษภาคม เวลา 8.30-12.30 น. ณ ห้องประชุม ธีระ  สูตะบุตร  อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  กรุงเทพ

ทั้งนี้   การจัดประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ เผยแพร่ความรู้เรื่องเทคโนโลยีชีวภาพบนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้ กับสาธารณชนทุกกลุ่มได้รับทราบ รวมทั้ง แถลงผลการดำเนินงานของสมาคมฯ ใน ปี 2549 ที่ผ่านมา และแผนการดำเนินงานปี 2550

โดยภายในงานจะมีบรรยาย พิเศษเรื่อง สถานการณ์พืชเทคโนชีวภาพ  , ความก้าวหน้าในการพัฒนาพืชเทคโนโลยีชีวภาพ และ ข้อกังวล/ความจริงในการนำพืชเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ประโยชน์    ซึ่งคาดว่าจะมีกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ  สมาชิกสมาคมฯ ภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป รวม 100 คน   สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2940-5264

ตลาดเนื้อสัตว์ เข้าระยะฟื้นตัว สศก.ชี้ราคาพุ่ง

วันที่ 18/5/2007

ผ่านทางแนวหน้า
มั่นคง ตรงไป ตรงมา
.

นางนารีณัฐ รุณภัย รองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตและปัญหาเกษตรของโลกว่า ในปี 2550 ตลาดเนื้อสัตว์คาดว่าจะมีการฟื้นตัวเป็นลำดับ ภายหลังจากได้รับผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดในช่วง 2  3 ปีที่ผ่านมา โดยจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการยกเลิกการระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ของประเทศผู้นำเข้าต่าง ๆ รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้นอีก

ส่วนราคาผลิตภัณฑ์นมในช่วงต้นปีนี้จะอยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากปี 2545 ราคาผลิตภัณฑ์นมก็สูงขึ้นมาโดยตลอด สาเหตุหนึ่งเนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์นมในรูปเงินดังกล่าวสูงขึ้น นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตของผลิตภัณฑ์นมยังขยายตัวไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศในแถบเอเชียและอัฟริกา รวมทั้งนโยบายการปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ทำให้ลดความจูงใจด้านราคาลง ประกอบกับในช่วง 2  3 ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ประสบปัญหาภัยแล้งทำให้ทุ่งหญ้าเสียหาย ราคาธัญพืชอาหารสัตว์ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์นมในประเทศที่ใช้อาหารข้น ซึ่งประกอบด้วยธัญพืชอาหารสัตว์ร่วมกับอาหารหยาบ คือ หญ้าหรือผลพลอยได้จากการเกษตรอื่นๆ ในการเลี้ยงโคนมเช่นเดียวกับประเทศไทย เพราะมีต้นทุนการผลิตสูง แต่จะส่งผลดีต่อประเทศที่เลี้ยงโคนมในทุ่งหญ้าเป็นหลัก

กรมข้าวฯแนะวิธีปฏิบัติ ฟื้นนาข้าวหลังน้ำท่วม เตือนหลายพื้นที่ฝนหนัก หมั่นตามสถานการ์ใกล้ชิด

วันที่ 18/5/2007

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.

นายสุรพงษ์  ปรานศิลป์  อธิบดีกรมการข้าว  เปิดเผยว่า  ในช่วงนี้หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก  อาจเกิดอุทกภัยและน้ำป่าไหลหลาก สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ทำการเกษตร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาข้าว  เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนปัญหาจะเกิดขึ้น จึงขอแจ้งเตือนให้ชาวนาที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังสถานการณ์และติดตามการเตือนภัยจากทางราชการอย่างใกล้ชิด  โดยกรณีที่เกิดปัญหาน้ำท่วมนาข้าวนั้น  ภายหลังน้ำลด ให้หมั่นตรวจดูแปลงอย่างสม่ำเสมอ    หากพบว่านาข้าวยังมีน้ำท่วมขังต้องรีบระบายน้ำออกจากนาข้าวโดยเร็ว หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้รากขาดออกซิเจน ทำให้ข้าวตายในที่สุด

กรณีที่ต้นข้าวมีอายุไม่เกิน 80  วัน  ภายหลังจากน้ำลดให้ถอนต้นข้าวตรวจสอบราก  หากไม่มีสีดำหรือเน่าเสีย  หลังจากนั้น 7 วัน  ให้ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน 10 กก./ ไร่  เพื่อเร่งฟื้นฟูให้มีการเจริญเติบโตทางใบใหม่จะบรรเทาความเสียหายได้  สำหรับข้าวที่อยู่ในระยะออกรวงหรือพลับพลึงควรเร่งระบายน้ำออกแล้วให้รีบเก็บเกี่ยว  นวด  ตาก  อบความร้อน  เพื่อไล่ความชื้นก่อนเก็บเข้ายุ้ง

อธิบดีกรมการข้าว  กล่าวเพิ่มเติมว่า  นอกจากนี้ในช่วงหลังน้ำลดให้ระวังโรคกาบใบแห้ง ถ้าพบแสดงอาการเป็นโรค  ป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี  วาลิดาซิน  ฉีดพ่นตรงบริเวณโคนต้น   ส่วนกรณีพบการระบาดของศัตรูข้าว เช่น หนอนกระทู้ข้าว ควรรีบเก็บทำลายโดยวิธีกล ไม่ควรใช้สารเคมี แต่ถ้าต้นข้าวถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิงและต้องการที่จะปลูกทดแทน  ควรเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่มีอายุสั้น  ไม่ไวแสง คือ พันธุ์สุพรรณบุรี 1  พันธุ์บางแตน  พันธุ์พิษณุโลก 2 และพันธุ์ชัยนาท 1  และควรใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งพันธุ์ดี  เช่น  ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว  ปลูกในอัตรา  20-25  กิโลกรัม/ไร่  การปลูกข้าวในระยะนี้ควรปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตมจะทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้ดีเก็บเกี่ยวได้เร็ว

เปิด”คู่มือติดคุก”!!! ตำราชีวิตใหม่”นักโทษป้ายแดง”

วันที่ 28/7/2006

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.


“คนคุก”!!!
ไม่ จำเป็นต้องเป็นคนไม่ดีเสมอไป คนเราอาจทำผิดพลาดกันได้ บางครั้งความประมาท หรือ “กิเลส” เพียงชั่ววูบก็อาจทำให้บางคนต้องเข้ามาอยู่ใน “คุก” ได้โดยนึกไม่ถึง…..ล่าสุด “3 เสือ” อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อย่าง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร 2 อดีต กกต. ยังมีโอกาสกลายเป็น “นักโทษป้ายแดง” ได้ นับประสาอะไรกับชาวบ้านระดับ “รากหญ้า” อย่างเราๆ
อย่าง ไรก็ดีบางครั้ง “คนคุกหน้าใหม่” อาจยังไม่ทันเตรียมใจ เกิดความกังวลว่าจะใช้ชีวิตใหม่ หลัง “กำแพงคุก” อย่างไร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะ “กรมราชทัณฑ์” เขามี “คู่มือติดคุก”!!! ที่ระบุการใช้ชีวิตใน “คุก” แจกให้ “นักโทษป้ายแดง” ศึกษาอย่างละเอียดทุกเรื่องราว มีสิ่งใดที่อยู่เบื้องหลัง “กำแพงคุก” ที่สังคมต้องการรู้ หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้หมด เช่น…..
เลือกอยู่คุกไหนดี
คุก ไม่ใช่โรงแรมผู้ต้องขัง จึงไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะอยู่ที่ไหน ยกเว้นยื่นคำร้องขอย้ายคุกด้วยเหตุ ผลที่เหมาะสม โดยสิ่งที่กำหนดว่าจะได้อยู่คุกไหน เช่น “ท้องที่ที่ทำความผิด”…..”สถานะผู้ต้องขัง” โดยผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีจะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษต่างๆ ส่วนผู้ต้องขังที่โทษเหลือน้อยอาจถูกส่งตัวไปยังทัณฑสถานเปิดต่างๆ…..” ความรุนแรงของคดี” ถ้าจำคุกนานจะถูกส่งไปเรือน จำความมั่นคงสูง เช่น เรือนจำกลางบางขวาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำกลางประจำเขต ถ้าโทษไม่สูงจะถูกขังที่เรือนจำจังหวัด หรืออำเภอ แต่ถ้าถูกกักขังแทนค่าปรับจะถูกขังที่สถานกักขัง
เช็คอิน-เข้าคุกวันแรก
วัน แรกที่ผู้ต้องขังเข้ามาในเรือนจำเจ้าหน้าที่จะ “ตรวจสอบประวัติ” พร้อมสัมภาษณ์เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ต้องขังเป็นคนเดียวกับที่ระบุไว้ในเอกสาร ของตำรวจ , “พิมพ์ลายนิ้วมือ” เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยยืนยันว่าเรือนจำรับผู้ต้องขังไม่ผิดตัว , ถ่ายรูป , ทำบัญชีฝากของมีค่า , ตรวจสอบสิ่งของส่วนตัวที่อนุญาตให้นำติดตัวเข้าเรือนจำ และพิจารณาจัดหาที่ๆเหมาะสมที่จะให้ผู้ต้องขังอยู่ โดยทั่ว ไป “ผู้ต้องขังรับใหม่” ทุกรายจะถูกจัดไว้ใน “แดนแรกรับ” เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในคุก
สิ่งที่ควร-ไม่ควรทำในคุก
สิ่ง ที่ควรทำ ได้แก่ ถ้ามีโรคประจำตัวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันทีที่เข้าเรือนจำ ถ้ามียาที่ต้องกินเป็นประจำ ควรแจ้งพยาบาลประจำเรือนจำเพื่อตรวจสอบว่ามียาดังกล่าวในสถานพยาบาลหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จำเป็นต้องติดต่อญาติเพื่อจัดส่งเข้ามา พยายามเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ หรือผู้ต้องขังด้วยกัน เพราะคนเหล่านี้อาจช่วยคุณได้เมื่อถึงคราวจำเป็น และควรใช้ชีวิตทุกๆนาทีในเรือนจำให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคมภายนอก

สิ่ง ที่ไม่ควรทำ ได้แก่ ห้ามฝ่าฝืนกฎระเบียบเรือนจำเด็ดขาด มิฉะนั้นคุณจะถูก “ลงโทษ”!!!อย่าแต่งกายหรือวางตัวให้ผิดกับผู้ต้องขังอื่น การทำตัวเป็น “คนเด่น” ในคุกมีผลเสียมากกว่าดี อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยจนเต็มพิกัดที่เรือนจำกำหนดทุกวัน เพราะคุณอาจถูก “รีดไถ” จากผู้ต้องขังอื่น อย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ใช่ “บอดี้การ์ด” ของคุณ เขาไม่สามารถอยู่ปกป้องคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง และถ้ามีผู้มาชักชวน หรือตัวคุณมีความรู้สึกอยากทำผิดระเบียบของเรือนจำก็ให้ย้อนไปดูข้อ 1.ใหม่
วิธีหลับสบายในคุก
แม้ แต่คนที่เคยนอนหลับง่ายที่สุดก็ยังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับเมื่อต้องมาอยู่ ในเรือนจำ โดย เฉพาะในวันแรกๆ ซึ่งกรมราชทัณฑ์มีข้อแนะนำให้ “หลับสบาย” คือ ถ้านอนไม่หลับ พยายามออกกำลังกายหรืออาสาสมัครทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ซึ่งนอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้หลับง่ายขึ้น ไม่ควรใช้ยานอนหลับเพราะจะทำให้ติดยา และต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้น การสวดมนต์ ไหว้พระ หรือนั่งสมาธิทำวิปัสสนาก็อาจช่วยได้ ควรปรึกษาอนุศาสน์ของเรือนจำ หรือขอยืมหนังสือธรรมะจากห้องสมุดเรือนจำมาอ่านก่อนนอน วิธีนี้ทำให้ง่วงนอนเร็วมากไม่ว่าผู้ต้องขังจะรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมหรือไม่ก็ ตาม
“ทางลัด”ออกจากคุก
1.ยื่น ขอประกันตัวต่อศาล…..2.พยายามเลื่อนชั้นให้เร็วและหลีกเลี่ยงการถูก “ตัดชั้น” โดยผู้ ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วจะได้รับการลดวันต้องโทษจำคุกมาก-น้อยตาม “ชั้น” ดังนี้ “ชั้นเยี่ยม” ได้ลดโทษเดือนละ 5 วัน “ชั้นดีมาก” เดือนละ 4 วัน และ “ชั้นดี” เดือนละ 3 วัน โดยเรือนจำจะแบ่งผู้ต้องขังออกเป็นชั้นต่างๆ 6 ชั้น คือ ชั้นเยี่ยม-ดีมาก-ดี-กลาง-เลว-เลวมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความประพฤติและความตั้งใจในการฝึกวิชาชีพ หรือเรียนหนังสือ ดังนั้นถ้าอยากพ้นโทษเร็วก็อย่าฝ่าฝืนระเบียบเรือนจำจนถูกตัดชั้น…..3.ทูล เกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ
4.อาสา สมัครออกทำงานสาธารณะ ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินปันผลถึง 80% ของกำไรสุทธิจากการรับจ้างงานสาธารณะแล้ว ผู้ต้องขังยังได้ลดโทษตามจำนวนวันเท่ากับวันที่ออกทำงานด้วย…..5.การขอพัก การลงโทษ มีหลักเกณฑ์ คือ ต้องจำคุกมาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ ถ้าเป็นคดีจำคุกตลอดชีวิต ต้องรับโทษมา แล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยระยะเวลาของการพักโทษ คือ “ชั้นเยี่ยม” ได้พักไม่เกิน 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ “ชั้นดีมาก” ไม่เกิน 1 ใน 4 และ “ชั้นดี” ไม่เกิน 1 ใน 5
10 วิธี”คลายเครียด”ในเรือนจำ
1.ออก กำลังกายหรือเล่นกีฬา….. 2.เรียนหนังสือ เรือนจำจัดให้มีการสอนตั้งแต่ชั้นประถมถึงระดับปริญญา…..3.ฝึก วิชาชีพ…..4.หางานอดิเรกทำ…..5.ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี…..6.ไหว้พระ สวดมนต์…..7.เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่เรือนจำจัดขึ้น…..8.นั่ง สมาธิ…..9.ติดต่อพูดคุยกับญาติและ 10.ขอคำ ปรึกษาจากเจ้าหน้าที่
วันพ้นโทษ
ใน ที่สุดวันนี้ก็มาถึง ขอให้โชคดี “คิดใหม่-ทำใหม่” ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรและจงอย่ากลับเข้ามาอีก…..”พ้นโทษแล้วไปไหน”??? เคยมีคนทำวิจัย(เรือนจำที่สเปน) พบว่า ภายใน 24 ชั่วโมงหลังพ้นโทษ 80% ของผู้ต้องขังจะไปเที่ยว “โสเภณี” และ 75% จะไปหายาเสพติด ถ้าไม่รู้จะไปไหน ก่อนพ้นโทษขอให้ติดต่อกับ “อนุศาสนาจารย์” ของเรือนจำ ซึ่งมีหลายเรือนจำให้บริการติดต่อกับวัดใกล้เคียงเพื่อทำพิธีอุปสมบทให้เป็น ศิริมงคล
“ติดคุกฟรี”ใครรับผิดชอบ???
ตัวอย่าง ของการติดคุกฟรี คือ ถูกจับเข้ามาอยู่ในเรือนจำ แล้วต่อมามีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้ทำผิด จนมีการ “ถอนฟ้อง” หรือศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดให้ปล่อยตัวไป…..เราขอแนะนำให้ผู้ต้อง ขังที่ต้อง “ติดคุกฟรี” ทุกคน ใช้สิทธิเรียกร้อง “ค่าทดแทน” และค่าใช้จ่าย ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยจ่ายเงินชดเชยให้ทั้งหมด อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อไปที่ “สำนักงานช่วย เหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา” กระทรวงยุติธรรม โทร.0-2502-8083 และ 0-2502-6539 ที่สำคัญต้องเรียกร้องภายในเวลา 1 ปี…..
มิฉะนั้นหมดสิทธิ์!!!

แกะรอย”3เสือ กกต.”สิ้นลาย!!! สายสัมพันธ์แนบแน่นซีกการเมือง

วันที่ 27/7/2006

http://www.naewna.com/news.asp?ID=18602#


เหมือน สายฟ้าฟาด ผ่าลงมาถล่มกลาง “สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง”(กกต.) ตอนกลางวันแสกๆ วันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เมื่อศาลอาญามีคำพิพากษาสั่งจำคุก “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ” ประธาน กกต. , นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี!!!
จาก กรณีที่ นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กกต.ทั้ง 3 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 24 และมาตรา 42…..ล่าสุด “3 เสือสิ้นลาย” ยังยอม “ลาออก” จากตำแหน่งที่ทนทู่ซี้มานานด้วย
กล่าว สำหรับ “กกต.” ถือเป็น “องค์กรอิสระ” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง อันเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และด้วยความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ กกต. รัฐธรรม นูญจึงระบุอย่างชัดแจ้งว่า กกต. ต้องเป็นกลางในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม โดยในยุคเริ่มแรกนั้น กกต. ได้รับการยอมรับจากสังคมพอสมควร…..ทว่าพอมาถึงยุคของ “พล.ต.อ.วาสนา” ปรากฏว่า “กกต.” ได้ตกอยู่ในห้วงของ “วิกฤติศรัทธา” อย่างยิ่ง นั่นเพราะ กกต.ทั้ง 3 คนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีสายสัมพันธ์กับ “นักการเมือง”
ราย แรก “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ” ประธาน กกต. เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484 ปัจจุบันอายุ 65 ปี เป็นชาว จ.จันทบุรี จบปริญญาตรีนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทศิลปศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์…..พล.ต.อ.วาสนา หรือ “อาจารย์วาส” ของตำรวจรุ่นน้องและรุ่นลูกศิษย์ เคยทำงานเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ ก่อนเบนเข็มชีวิตมาสมัครเป็นนายตำรวจ รับราชการครั้งแรกเป็นผู้บังคับหมวด สภ.อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ไต่เต้ารับราชการมีความก้าวหน้าเรื่อย มา
กระทั่ง ปี 2537 รับตำแหน่งผู้ช่วยจเรตำรวจ และผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผบช.ประจำ ตร.) มีผลงานผ่านคดีสำคัญมากมาย อาทิ คดี ส.ป.ก.4-01 ,โด่งดังมากในคดีลอบสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผอ.อสมท ที่สามารถจับกุมมือปืนผู้จ้างวานจนถึงตัวบงการ , รับเป็นมือปราบคดีวัดพระธรรมกายที่ยอมรับว่าเป็นงานที่หินที่สุด
หลัง จากนั้นในปี 2542 พล.ต.อ.วาสนา ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)คน แรก ต่อมาได้รับเลือกเป็น กกต.ชุดที่มี พล.อ.ศิรินทร์ ธูปกล่ำ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2544 กระทั่งวันที่ 29 พฤศจิกายน 2545 ที่ประชุม กกต.มีมติเอกฉันท์เลือกให้เป็นประธาน กกต. ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง เนื่องจากไม่เป็นกลาง เพราะมีสายสัมพันธ์กับการเมืองโดยเฉพาะ “ซีกรัฐบาล”…..
โดย ช่วงที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็น กกต. ว่ากันว่าสนิทสนมกับ “เสธ.หนั่น-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ซึ่งเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลังกระทั่งได้ขึ้นเป็นเลขาธิการ ปปง. ในยุคที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ส่วนตัวแล้วสมัยที่อยู่กรมตำรวจ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรี และ “พล.ต.อ.วาสนา” ก็รู้จักมักคุ้นกันอยู่ด้วยมีงานที่ต้องทำเกี่ยวเนื่องกัน ขณะเดียว กันยังมีเสียงร่ำลือว่า พล.ต.อ.วาสนา สนิทสนมกับ “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเช่นกัน
ราย ที่ 2 “นายปริญญา นาคฉัตรีย์” เกิดวันที่ 24 มีนาคม 2484 เป็นชาว จ.ชุมพร จบการศึกษาปริญญาตรีจากวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ สาขาพัฒนาการเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต(กิตติมศักดิ์)สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

“ปริญญา” เริ่มรับราชการในสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) นาน 9 ปี จากนั้นโอนไปอยู่กรมการปกครอง เคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด(ผวจ.)นนทบุรี , ชุมพร , สระบุรี ปี 2542 ดำรงตำแหน่ง “อธิบดีกรมการปกครอง” กระทั่ง 9 มีนาคม 2544 “พ.ต.ท.ทักษิณ” มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นการล้างขั้วอำนาจเก่าสมัยพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น กกต. ชุดใหม่ ที่มี พล.อ.ศิรินทร์ ธูปกล่ำ เป็นประธาน
ราย สุดท้าย “นายวีระชัย แนวบุญเนียร” เกิดวันที่ 23 ธันวาคม 2483 จบการศึกษาปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์(Econ.) จาก Drew University U.S.A. ปริญญาโท ด้านสังคมศาสตร์(Soc.Sci) จาก Birmingham University , England
“วี ระชัย” เริ่มทำงานที่กรมการปกครอง จนเป็นปลัดอำเภอเบตง จ.ยะลา หลังศึกษาจบปริญ ญาโท เป็นผู้อำนวยการกองการข่าวและต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย รับราชการเป็นผู้ว่าราชการหลายจังหวัด อาทิ มหาสารคาม , สงขลา , เชียงใหม่ และนนทบุรี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และถูกย้ายเป็น “อธิบดีกรมโยธาธิการ” สมัยรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544-จนเกษียณอายุราชการ
“วี ระชัย” ผ่านการคัดสรรเป็น กกต. จากคณะกรรมการสรรหา กกต. เพื่อส่งให้วุฒิสภาคัด เลือกลงมติอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 แต่ถูกวิจารณ์เรื่องความโปร่งใสสมัยที่เป็น ผวจ.มหา สารคาม ครั้งควบคุมการเลือกตั้งปี 2535 และถูกชาวบ้านประท้วงผลการนับคะแนน บานปลายถึงขั้นเผาที่ว่าการอำเภอเชียงยืน แต่สุดท้ายก็สามารถเป็น กกต. ได้จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้สมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็น “ผวจ.เชียงใหม่” มีเสียงร่ำลือว่าเขาสนิทสนมกันดีกับ “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” แต่สายที่สนิทมากกว่า คือ “นายเสนาะ เทียนทอง” อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย
ไม่ เพียงแต่ “3 เสือ กกต.” ข้างต้นเท่านั้นที่ถูก “กังขา” ถึงความโปร่งใส แม้แต่ “เลขาธิการ กกต.” คนปัจจุบัน คือ “พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา” ก็ถูก “สงสัย” เช่นกัน…..”พล.ต.ต.เอกชัย” เป็นรุ่นน้องคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของ “พล.ต.อ.วาสนา”
อีก ทางหนึ่งเขายังมีสัมพันธ์แนบแน่นกับ “พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ” อดีต กกต. ผ่านทางพี่ชาย คือ “พล.อ.อภิชัย วารุณประภา” ซึ่งเป็นคณะทำงานใกล้ชิด “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ดังนั้นเขาจึงได้แรงหนุนเนื่องทั้งจาก พล.ต.อ.วาสนา และ พล.อ.จารุภัทร ผู้ซึ่งเพิ่งไขก๊อกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ตำแหน่ง เลขาธิการ ซึ่งดูเหมือนจะทำหน้าที่คล้าย “แม่บ้าน” ให้กกต.นั้น ได้ถูกยกบทบาทให้มีความสำคัญมากขึ้นในสมัย “พล.ต.อ.วาสนา” กระทั่งมีผู้เปรียบเปรยว่า “พล.ต.ต.เอกชัย” ทำตัวเสมือนเป็น “กกต.คนที่ 6”
นับ จากวันที่ “3 เสือ กกต.” จัดให้มีการเลือกตั้งครั้งฉาวโฉ่เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา กระ ทั่งถูกสังคมมองด้วยความกังขาถึงพฤติกรรมเคลือบแคลงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งที่สร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้ง ให้พรรคไทยรักไทย , การหันคูหาเลือกตั้ง , พฤติกรรมใช้งบประมาณแผ่นดินเดินทางไปดูงานต่างประเทศเป็นว่าเล่น , ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง หรือแม้แต่พฤติกรรมดึงดันคำขอจากประมุข 3 ศาลให้เสียสละ…..
ท้ายที่สุดแล้วจากการกระทำทั้งหมดข้างต้นของ “3 เสือ กกต.” ก็ได้ “บทสรุป”!!! ไปเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา…..

คณะสิงโต”ศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย” เชิดกลอง-ฉาบ…เปลี่ยนชีวิตเด็กเร่ร่อน

วันที่ 26/7/2006

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.


เสียงกลอง…..เสียงฉาบ!!!
ดังขึ้นเป็นจังหวะ เตือนให้คณะสิงโต “ศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย”…..
ออก มาแสดงการเชิดสิงโต อันเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ “เด็กเร่ร่อน” ได้มีโอกาสได้แสดงออกในเส้นทางที่ถูกต้องดีงาม เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ “เด็กเร่ร่อน” ที่หวังจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี
“คณะ สิงโตเด็กเร่ร่อนศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย เริ่มจากผมหนีออกมาจากบ้านตั้งแต่เด็ก และมาใช้ชีวิตเร่ร่อนกินนอนอยู่ตามสะพานลอยหลายปี กระทั่งมีโอกาสได้เข้าไปเล่นคณะสิงโตคณะหนึ่งนานถึง 8 ปี จากนั้นผมเกิดขัดแย้งเรื่องค่าตัวกับหัวหน้าคณะ จึงลาออก และมาพึ่งข้าวก้นบาตรที่วัดอมรินทรารามวรวิหาร กทม.อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะร่วมกับเพื่อนที่เคยเล่นสิงโตด้วยกันตั้งคณะสิงโตเอง” ต้น(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี ผู้ก่อตั้งคณะสิงโตเด็กเร่ร่อน “ศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย” ย้อนอดีตให้ฟัง
“ต้น” เล่าให้ฟังอีกว่า จากนั้นคณะสิงโตเริ่มมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง มีผู้สนใจติดต่อให้ไปแสดงเชิดสิงโตในงานมงคลตามจังหวัดต่างๆ แต่คณะของเรายังขาดคนเชิดสิงโตจำนวนมาก พอดีว่าเวลาเราไปซ้อมเชิดสิงโตที่ใต้สะพานหลังวัดวัดอมรินทรารามฯ จะมีเด็กเร่ร่อนมานั่งดู ตนจึงมีแนวคิดหากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์ให้เด็กเร่ร่อนด้วยการดึงเด็กเร่ร่อนเหล่านี้มาร่วมกิจกรรม เชิดสิงโต เพื่อให้เขามีรายได้เสริม และที่สำคัญจะได้มีอนาคต เพราะตนเคยผ่านชีวิตการเร่ร่อนมาก่อน จึงรู้ดีว่าชีวิตแบบนี้เป็นอย่างไร
“ผม อยากให้เด็กเร่ร่อนมีโอกาสกลับตัว ถ้าผมเห็นเด็กเร่ร่อนตามสะพานลอยที่ใดจะชักชวนมาร่วมเป็นสมาชิกในคณะสิงโต ตลอด แต่เด็กกลุ่มนี้ชอบอิสระจะไปบังคับไม่ได้ หลังจากที่ผมสร้างกิจกรรมสิงโต เด็กเร่ร่อนให้ความสนใจเข้ามาร่วมคณะเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมจะพยายามสอนให้เขาเป็นคนดีควบคู่กันไปกับการสอนให้เชิดสิงโตตลอด” ต้น กล่าว
ขณะ ที่ “นางอรทัย สุวรรณศิริ” อายุ 44 ปี อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งคณะสิงโต กล่าวว่า ในช่วงกลาง วันเด็กเร่ร่อนกลุ่มนี้จะออกเร่ร่อน “ขอทาน” ตามจุดต่างๆในกรุงเทพฯ พอตกเย็นก็จะมาร่วมตัวกันหลังวัดวัดอมรินทรารามฯ เพื่อซ้อมสิงโต เหมือนเป็น “จุดนัดพบ” ของเด็กเร่ร่อน การซ้องสิงโตเป็นการออกกำลังกาย พอออกงานแสดงก็ได้เงินค่าตัว โดยจะนำเงินที่ได้จากแสดงมาแบ่งให้เท่าๆกัน
“เด็ก เร่ร่อนนอกจากขอทานแล้วจะชอบก่อเหตุลักขโมย ซึ่งเราไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น จึงสร้างกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ โดยคณะสิงโตก่อตั้งขึ้นมาได้ 2 ปีแล้ว มีสมาชิกเด็กเร่ร่อน 50 คน อายุ ตั้งแต่ 4 ขวบ ถึง 30 ปี ส่วนใหญ่เด็กเร่ร่อนเมื่อซ้อมเชิดสิงโตเสร็จบางคนจะกลับไปนอนตามใต้สะ พานลอย บางคนก็มาพักอยู่ที่วัดอมรินทรารามฯ เมื่อมีงานติดต่อให้ไปแสดงเชิดสิงโต สามารถเรียกเด็กกลุ่มนี้ได้ทันที ใครที่เข้ามาในคณะสิงโตเราจะพยายามสอนให้เป็นคนดี และพยายามให้เรียนหนัง สือกับครูอาสาสมัครที่จะมาสอนทุกวันเสาร์- อาทิตย์ และเด็กสนใจเรียนหลายคน” อรทัย กล่าว

ด้าน “นายประพันธ์ แววอุไร” อายุ 20 ปี อดีตเด็กเร่ร่อน กล่าวว่า ตนพักอาศัยอยู่กับแม่ที่ชุม ชนบางกอกน้อย กรุงเทพฯ หลังพ่อแยกทางกับแม่ ทำให้ครอบครัวแตกแยก แม่เสียใจมากหันมาดื่มสุ ราอย่างหนัก เมื่อเมาสุราก็ชอบทุบตีตนเป็นประจำ ตนจึงหนีออกจากบ้าน เร่ร่อนขอทานตามสะพาน ลอย เงินที่ได้จากการขอทานจะหมดไปกับการซื้อกาว หรือซื้อยาบ้ามาเสพ บางวันไม่มีเงินจะไปงัดบ้านขโมยของคนอื่น บางวันไม่มีข้าวตนต้องเดินหาเก็บเศษขนมปัง หรือข้าวกินตามถังขยะ เพื่อเลี้ยงปากท้อง
“ผม ใช้ชีวิตเร่ร่อนมา 15 ปี ถือเป็นฝันร้ายมาก จนวันหนึ่งขณะนอนอยู่ที่วัดอมรินทรารามฯ และพบเด็กเร่ร่อนกำลังซ้อมเชิดสิงโต จึงเข้านั่งดูเพราะเห็นว่าน่าสนุก จึงขอหัวหน้าคณะเข้าซ้อมด้วย หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ไปเชิดสิงโตตามงานต่างๆ ได้ค่าตัวครั้งแรก 200 บาท จึงยึดงานเชิดสิงโตมาเป็นเวลา 1 ปี ทุกวันนี้มีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง” ประพันธ์ เล่าถึงที่มาของการได้มาร่วมคณะสิงโต “ศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย”
ส่วน “แป๊ก”(นามสมมติ) หนุ่มน้อยวัย 17 ปี กล่าวว่า ตนเป็นชาว จ.นครสรรค์ หลังครอบครัวแตกแยกก็หนีออกมาจากบ้านตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ โดยกิน-นอนอยู่ใต้สะ พานลอยตลอด ซึ่งการเร่ร่อนขอทานตามสะพานลอยเป็นการใช้ชีวิตที่ไร้ประโยชน์ ได้เงินวันละประ มาณ 200-300 บาท เงินที่ได้จะนำไปซื้อยาเสพติดมาเสพกับเพื่อนที่นอนอยู่ใต้สะพานลอยด้วนกัน จากนั้นได้มีเพื่อนที่เป็นเด็กเร่ร่อนด้วยกันแนะนำให้เข้ามาฝึกซ้อมเชิด สิงโตได้ 1 ปีแล้ว
“แป๊ก” เล่าต่อว่า จากนั้นชีวิตเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดี มีครูฝึกซ้อมสิงโตคอยให้คำปรึกษาทุกเรื่อง จากที่เคยติดยาเสพติดตนสามารถเลิกได้ทุกอย่าง เริ่มมีความฝันคิดถึงอนาคตต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น และไม่ต้องการกลับไปเป็นเด็กเร่ร่อนอีกแล้ว ขณะนี้มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้เปิดร้านเล็กๆขายอะไรก็ได้
“ถ้า เป็นไปได้อยากให้สังคมยอมรับเด็กเร่ร่อนที่กลับตัวเป็นคนดี เพราะไม่มีใครอยากเป็นเด็กเร่ร่อนตลอดชีวิต แต่เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาทางครอบครัว กิจกรรมคณะสิงโตศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย เป็นกิจกรรมที่ดี ทำให้เด็กเร่ร่อนมีโอกาสมาร่วมกิจกรรม และสร้างให้เด็กเร่ร่อนกลับตัวเป็นคนดีได้” แป๊ก กล่าว
ขณะ ที่ “นที อนุกานนท์” นายกสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน กทม. และเป็นครูอาสาให้กับเด็กเร่ร่อนในคณะสิงโต “ศิษย์หลวงพ่อโบสถ์น้อย” กล่าวว่า เดิมได้เข้ามาสอนหนังสือให้กับเด็กเร่ร่อน และทราบว่ามีเด็กเร่ร่อนรวมตัวกันก่อตั้งคณะสิงโต ตนมองว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ทำให้เด็กเร่ร่อนมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดี เป็นกิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กเร่ร่อนให้ทำตัวให้มีประโยชน์ และไม่เป็นปัญหาของสังคม
“นที” กล่าวทิ้งท้ายว่า ส่วนใหญ่เด็กเร่ร่อนที่มาจากสถานที่ต่างๆ และเข้ามาร่วมกิจกรรมเชิดสิงโตจะติดยาเสพติดเกือบทุกคน เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมเราพยายามที่จะสอนหนังสือ และเปลี่ยนแปลงแนวความคิดใหม่ให้สามารถควบคุมตัวเอง เพราะกลุ่มเด็กเร่ร่อนเดิมไม่มีความรับผิดชอบในตัวเอง จึงจำเป็นต้องเริ่มจากการสอนให้จักมีความรับผิดชอบกับตัวเอง ไม่หันไปเสพยาเสพติด ซึ่งเมื่อเด็กมา ร่วมกิจกรรมเชิดสิงโต เราจะพยายามหารายได้ให้กับเขา เพราะจะเป็นแรงผลักดันไม่ให้เด็กหวนกลับไปในเส้นทางเดิม

ครอบครัวทดแทน… ผู้สร้าง”ชีวิตใหม่”เด็กเหยื่อทารุณ

วันที่ 25/7/2006

ผ่านทางแนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา.


“พี่จ๋า กินขนมมั้ย…..”
ภาพ เด็กผู้หญิงร่างเล็ก อายุประมาณ 7 ปี กำลังหยิบขนมแจกให้กับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ “มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก” พร้อมกับรอยยิ้มและแววตาที่สดใส ร่าเริง เป็นภาพที่ช่างแตกต่างกับเมื่อครั้งแรกที่มีโอกาสได้พบเด็กคนนี้ที่ “บ้านแรกรับ” มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านพักฉุกเฉินที่บรรเทาความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและ จิตใจให้กับเด็กๆที่ถูกทำร้ายทารุณในรูปแบบต่างๆ….. เด็ก น้อยนั่งเล่นอยู่คนเดียวที่มุมห้อง ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ไว้วางใจใครแม้แต่เจ้าหน้าที่ นั่นอาจเพราะสภาพปัญหาที่เด็กถูกกระทำทั้งทางร่างกายและจิตใจจากคนที่ใกล้ ชิดและไว้ใจที่สุด ทำให้เด็กน้อยไม่สามารถที่จะเปิดใจยอมรับหรือไว้วางใจใครได้อีก แต่ในครั้งนี้สิ่งที่ได้เห็นช่างแตกต่าง เด็กน้อยคนเดิม แต่มีชีวิตชีวามากขึ้น สีหน้าและแววตา ที่เคยเศร้าหมอง เปล่งประกายสดใส อย่างน่ารัก อะไร คือ สาเหตุที่ทำให้เด็กน้อยผู้นี้เปลี่ยนไป หรือนี่คืออานุภาพของพลังแห่งรักจาก “ครอบครัวทด แทน”!!! ที่เด็กหญิงผู้นี้ได้รับ…..
“คุณ ภาสตรี ชมวงศ์” ที่ปรึกษางานสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เล่าให้ฟังว่า ในกระบวนการช่วยเหลือเด็กเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การ “คืนเด็กสู่สังคม” โดยจุดแรกที่เรามอง คือ “ครอบครัว” แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เราไม่สามารถคืนเด็กกลับครอบครัวเดิมได้ เพราะส่วนมากครอบครัวเป็นผู้ทำร้ายเด็กเอง ดังนั้นมูลนิธิ จึงต้องใช้เวลานานในการบำบัด หรือปรับพฤติกรรมการดูแลเด็กของครอบครัวเสียก่อน เพื่อให้พร้อมที่จะรับเด็กไปดูแล แม้ทางมูลนิธิ จะมีกระบวนการทำงานเพื่อบำบัดทั้งเด็กและครอบครัวไปพร้อมๆ กัน แต่ในความเป็นผู้ใหญ่จะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ยากกว่าเด็กอยู่แล้ว ทำให้ระยะเวลาที่เด็กอยู่ในกระบวนการบำบัดกับมูลนิธิ กับระยะเวลาการบำบัดครอบครัวไม่ตรงกัน สิ่งที่เรามุ่งหวังว่าจะให้เด็กอยู่กับครอบครัวจึงยังทำไม่ได้ ในช่วงระหว่างที่เด็กอยู่กับมูลนิธิ สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตของเด็ก คือ “ครอบครัว”
“ด้วย เหตุนี้เองครอบครัวทดแทน จึงเกิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มให้กับเด็กๆ เพราะเด็กส่วนมากที่อยู่กับมูลนิธิ จะขาดการเรียนรู้ในระบบครอบครัว ความสัมพันธ์ ทักษะและบทบาทการเป็นครอบ ครัว บทบาทหญิง-ชาย ความเอื้ออาทรกันในครอบครัว อีกจุดหนึ่งเพื่อการบำบัดเรื่องสุขภาพจิตโดย ตรง เพราะการที่เด็กถูกทำร้ายจากบุคคลในครอบครัวจะทำให้การไว้วางใจ การเรียนรู้ และปรับความ สัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เด็กกว่า 90% จะมีปัญหาขาดรัก ดังนั้นเด็กต้องได้รับการดู แลจากพ่อแม่ ซึ่งจะมาเติมเต็มตรงนี้ได้ แม้จะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงก็ตาม กระบวนการบำบัดเด็กของเราจึงมีเรื่องกระบวนการบำบัดด้วยครอบครัวอีกวิธี หนึ่ง” นี่คือประโยชน์ของ “ครอบครัวทดแทน” ที่มีต่อเด็ก ซึ่งคุณภาสตรี เล่าให้ฟัง
เด็กๆ เหล่านี้จะต้องอยู่กับ “ครอบครัวทดแทน” ไปอีกนานแค่ไหน จะด้วยระยะเวลากี่ปี ถึงจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัวเดิมของตนเองคงไม่สามารถให้คำ ตอบได้ แต่เมื่อเด็กเข้มแข็งมากพอที่จะเข้าใจและรับรู้ เพราะการบำบัดฟื้นฟูเด็กที่ว่ายากนั้นกลับยากน้อยกว่าการที่จะพัฒ นาและบำบัดครอบครัวที่จะมาดูแลเด็กให้ดี สำหรับเด็กที่กลับครอบครัวไม่ได้จริงๆ คงต้องให้เด็กอยู่กับครอบครัวจนกว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น พออายุ 15 ปี เราก็มาประเมินเด็กคนนั้นอีกทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะเรียนสายไหน สายสามัญ หรือสายอาชีพ ถ้าเรียนสายอาชีพก็สา มารถดูแลตัวเองได้เร็วหน่อย แต่อย่างน้อยเด็กคนหนึ่งน่าจะอยู่กับ “ครอบครัวทดแทน” ไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงจะพอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดทั้งเรื่องสังคม พฤติกรรม และครอบครัว

ความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใช่เกิดเพียงแต่กับตัวเด็กเท่านั้น บางครอบครัวรับเด็กไปดูแลด้วยระยะเวลาเกือบ 4 ปี ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและกับเด็ก ตั้งแต่เริ่มต้นที่รับเด็กเข้าไปอยู่ในบ้าน บางครอบครัวมีแต่ความกังวลใจ “ความกลัว” ที่จะดูแลเด็กได้ไม่ดีพอตามที่คาดหวังไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปความมีชีวิตชีวา สีสันภายในบ้านเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่สดใส ทุกชีวิตในบ้านมีแต่ความสุข ทั้งพ่อแม่และลูก
“ใน ฐานะที่เป็นครอบครัวทดแทนเห็นเด็กเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ รู้สึกสบายใจ ภูมิใจ ถือว่าการดูแลเด็กตรงนี้ความสำเร็จของเรามาเกินกว่าครึ่ง ความสำเร็จในการทำให้เด็กเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและยอมรับเรา และสิ่งหนึ่งที่เราภูมิใจที่สุด คือ เมื่อเห็นเด็กแล้วก็ภูมิใจว่าความพยายาม ความตั้งใจของเราได้ผล สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนของเด็ก เพราะตอนนี้เราก็เข้าใจเขาเยอะ และรู้ สึกดีมาก อยากจะเลี้ยงดูต่อไปให้ตลอด” คุณพ่อครอบครัวทดแทนท่านหนึ่งที่ได้รับเด็กๆไปดูแล 3 คน กล่าวด้วยความภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้เด็กๆมีชีวิตที่สดใสขึ้น
“มี เด็กๆ อีกมากมายที่ต้องการครอบครัวทดแทน ต้องการความอบอุ่น อยากมีครอบครัวที่แท้จริง อยากเชิญชวนให้ทุกคนที่มีความสามารถตรงนี้ มาช่วยสังคม หลักการมีง่ายๆ คือ มีความอดทน มีความรักเด็ก มีความตั้งใจจริง ต้องการช่วยเหลือเด็กจริงๆ ให้ทุกคนมองปัญหาตรงนี้ว่าเด็กเขาบริสุทธิ์ ถ้าพฤติกรรมเขาไม่ดีแต่เขาบริสุทธิ์ ปัญหาสังคมไปกระทบเขาต่างหากทำให้เขาต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เรามีความภาคภูมิใจ ให้ท่านลองมาทำดูถ้าท่านประสบความสำ เร็จท่านจะเกิดความภาคภูมิใจในตนเองที่ได้ช่วยเหลือเด็ก ถือว่าเป็นคุณประโยชน์และเป็นกุศลมหา ศาลถ้าหากเขาเกิดความสบายใจเมื่อเขาได้มาอยู่กับเรา”
จะ ดีแค่ไหนหากชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่เปรียบเสมือน “ดอกไม้” ที่กำลังผลิบาน แต่ระหว่างทางของการเติบโตกลับโดน “หนอนร้าย” กัดกินจนแหว่งวิ่น แต่แล้ววันหนึ่งได้รับการอุ้มชูดูแลรดน้ำเอาใจใส่จากครอบครัวที่แสนใจดี มอบสายน้ำให้มาหล่อเลี้ยงลำต้นเฉกเช่นมอบความรักหล่อเลี้ยงหัว ใจให้ดอกไม้ดอกนี้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนจากสีที่เคยหม่นหมอง กลายเป็นสีแห่งความเบิกบานและความสดใส…..ที่สำคัญดอกไม้ดอกนี้สามารถยืน หยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองได้อีกยาวนาน และพร้อมจะเพาะพันธุ์ดอกไม้รุ่นต่อไปที่สมบูรณ์ออกมาให้พวกเราได้เชยชม
“ครอบ ครัวทดแทน”…..อาจมิใช่ผู้ให้กำเนิด แต่คุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ “การเป็นผู้ให้ชีวิต” ซึ่งเป็นชีวิตใหม่ที่เข้มแข็งและมีคุณค่า
ครอบครัวทดแทนคืออะไร???
ครอบ ครัวทดแทน (Foster Family) ถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิ และไม่สามารถกลับคืนสู่ครอบครัวเดิมของตนเองได้ โดยอาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น ผู้กระทำเป็นบุคคลในครอบครัว , ครอบครัวไม่พร้อมจะรับเด็กกลับไปดูแล , ครอบครัวขาดทักษะในการเลี้ยงดู การจัดการปัญหา และคนในครอบครัวมีปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น ซึ่งแม้ครอบครัวทดแทนจะไม่ใช่ครอบ ครัวที่แท้จริงของเด็ก แต่ถือเป็นครอบครัวที่สามารถจะมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปให้กับเด็กโดย เฉพาะเรื่อง “ความสัมพันธ์”
ถ้า คุณมีคุณสมบัติดังนี้…..อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี ไม่เกิน 60 ปี , มีสภาพการเป็นครอบครัวที่ดี , ไม่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น เล่นการพนัน ใช้สารเสพติด สำส่อนทางเพศ ฯลฯ , ไม่เป็นโรคติด ต่อร้ายแรง หรือไม่มีโรคเรื้อรัง , ไม่เป็นโรคจิต โรคประสาท หรือโรคเครียด , ไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน หรือญาติพี่น้อง , ไม่เคยกระทำความผิดที่ส่งผลต่อการดูแลเด็ก และที่อยู่อาศัยตั้งอยู่ในสภาพที่ดีและปลอดภัย คุณก็เป็นครอบครัวทดแทนได้
ท่าน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “คุณมาริษ ศรีมังกร” ผู้ประ สานงานโครงการ โทร.0-2412-0738 , 0-2864-3381 ต่อ 105 หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www. thaichildrights.org แล้วส่งกลับไปที่มูลนิธิ