Department Of Agriculture กรมวิชาการเกษตร.
เกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับการผลิตส้มเขียวหวาน
Good Agricultural Practice (GAP) for Tangerine
1. แหล่งปลูก
1.1 สภาพพื้นที่
-
- ปลูกได้ทั้งในที่ดอนและที่ลุ่ม
- เป็นพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขัง
- สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 750 เมตร
- ความลาดเอียงของพื้นที่ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
- อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
- การคมนาคมสะดวก
- ห่างจากแหล่งปลูกส้มเดิมที่มีการระบาดของโรคที่มีแมลงเป็นพาหนะ อย่างน้อย 10 กิโลเมตร
1.2 ลักษณะดิน
-
- ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย
- มีการระบายน้ำดี
- มีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.5-6.5
- มีความอุดมสมบูรณ์สูง ปริมาณอินทรีย์วัตถุไม่น้อยกว่า 3 เปอร์เซ็นต์
- ความลึกของระดับหน้าดินไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร
- ระดับน้ำใต้ดินไม่ควรสูงกว่า 1 เมตร
- หมายเหตุ ควรมีการวิเคราะห์ดินเพื่อทราบค่าความเป็นกรด-ด่าง / ปริมาณธาตุอาหาร / ปริมาณ
อินทรีย์วัตถุ ฯลฯ ก่อนตัดสินใจปลูกส้ม
1.3 สภาพภูมิอากาศ
-
- อุณหภูมิเหมาะสมเฉลี่ยประมาณ 26-32 องศาเซลเซียส
- ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 1,000-1,200 มิลลิเมตรต่อปี
- ชอบแดดจัดและมีปริมาณแสงไม่น้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน
1.4 แหล่งน้ำ
-
- มีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับใช้ตลอดปี
- เป็นน้ำสะอาดไม่มีสารอินทรียืและอนินทรีย์ที่เป็นพิษปนเปื้อน
- น้ำมีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.5-7.0
2. พันธุ์
2.1 การเลือกพันธุ์
-
- ปลอดจากโรคที่สำคัญ ได้แก่ กริ่นนิ่ง ทริสเตซ่า และโรครากเน่า-โคนเน่า
- มีคุณภาพตรงตามที่ตลาดต้องการ
- เจริญเติบโตดี เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศที่ปลูก
2.2 พันธุ์ที่นิยมปลูก มี 2 พันธุ์ คือ เขียวหวาน และโชกุน ซึ่งอาจมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกหรือเพื่อ
การค้า เช่น ส้มสีทอง ส้มผิวทอง และส้มสายน้ำผึ้ง เป็นต้น
- ส้มเขียวหวาน เป็นพันธุ์ส้มเปลือกล่อน ที่ปลูกแพร่หลายมาแต่เดิม และได้ขยายพันธุ์ต่อ ๆ กันมารวมทั้งมีการ
คัดพันธุ์ตามแหล่งปลูกต่าง ๆ เช่น- ส้มเขียวหวานแหลมทอง เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันอยู่เดิมในเขตจังหวัดราชบุรี มีรสชาติหวานจัดทรง
พุ่มใหญ่ ออกดอก ติดผลค่อนข้างยาก ผลขนาดปานกลาง - ส้มบางมด เป็นพันธุ์ส้มเขียวหวานสายพันธุ์ที่ปลูกกันมาแต่เดิมในเขตบางมด บางขุนเทียน รสชาติ
หวานอมเปรี้ยวผลขนาดปานกลางทรงผลค่อนข้างกลมถึงแป้นเล็กน้อย ผิวสีเขียวอมเหลือง หรือเหลือง
เข้ม (เมื่อปลูกทางภาคเหนือ) เนื้อผลสีส้ม ชานนิ่ม เป็นพันธุ์ที่ติดผลดก ปัจจุบันมีผู้นำไปปลูกในเขตอื่น
แล้วเรียกชื่อต่างกันไป เช่น ส้มผิวทอง ส้มสีทอง เป็นต้น ปลูกได้ทั่วไป
- ส้มเขียวหวานแหลมทอง เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันอยู่เดิมในเขตจังหวัดราชบุรี มีรสชาติหวานจัดทรง
- ส้มโชกุน เป็นพันธุ์ส้มเปลือกล่อนที่กำลังได้รับความนิยม อาจรู้จักในนามของส้มสายน้ำผึ้ง หรือ ส้มเพชรยะลา
เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะทรงต้นและขนาดต้นใกล้เคียงกับส้มเขียวหวาน แต่ทรงพุ่มค่อนข้างจะหนาแน่นกว่า ลักษณะ
กิ่งและใบตั้งขึ้นมากกว่า ในขณะที่ส้มเขียวหวานลักษณะของกิ่งและใบจะห้อย ลง ใบส้มโชกุนจะมีขนาดเล็กกว่า
แต่สีเขียวเข้มกว่า ลักษณะผลจะใกล้เคียงกับส้มแขียวหวานแต่ผลจะมีสะดือ เป็นเอกลักษณะพิเศษ เนื้อมีลักษณะ
แน่น ชานนิ่มและให้น้ำส้มเหมาะที่จะปลูกในภาคใต้ แต่ถ้าจะปลูกในภาคอื่น ควรมีการจัดการดินและน้ำที่ดี ไม่
ควรปลูกในดินเหนียว ซึ่งจะมีปัญหาการแตกของผลสูงมาก
3. การปลูก
3.1 การเตรียมพื้นที่
3.1.1 พื้นที่ดอน
-
- ทำการขุดตอไม้ออก ถ้าเป็นดินดาน ควรทำการทำลายชั้นดินดานก่อน
- ไถพรวนให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ปรับพื้นที่ให้เรียบ
- ขึ้นแปลงเป็นรูปลอนลูกฟูกขวางทางแสงอาทิตย์กว้าง 3 เมตร สูง 40 เซนติเมตร ความยาวไม่จำกัดโดย
ให้มีพื้นที่ระหว่างแปลง 3 เมตร สำหรับให้เครื่องจักรเข้าทำงานได้โดยสะดวก
3.1.2 พื้นที่ลุ่ม
-
- ขุดเป็นร่องหรือยกร่อง โดยมีสันร่องซึ่งจะใช้ปลูกพืชกว้างประมาณ 6 เมตร การยกร่องควรทำขวางทาง
แสงอาทิตย์ เพราะทำให้ร่องได้รับแสงสม่ำเสมอและทั่วถึง - ร่องน้ำกว้าง 1.50 เมตร ลึก 1 เมตร กันร่องน้ำกว้าง 70 เซนติเมตร
- กรณีที่ลุ่มมากต้องทำคันกั้นน้ำรอบสวนมีท่อระบายน้ำเข้า-ออกจาก สวนได้
- ขุดเป็นร่องหรือยกร่อง โดยมีสันร่องซึ่งจะใช้ปลูกพืชกว้างประมาณ 6 เมตร การยกร่องควรทำขวางทาง
3.2 วิธีการปลูก
3.2.1 การเลือกต้นพันธุ์
- การปลูกส้มเขียวหวานมักใช้กิ่งตอนที่มีโรคทำให้เกิดปัญหาต้น โทรม อายุสั้น ผลร่วง ผลด้อยคุณภาพ การใช้ต้น
ปลอดโรคปลูกแทนกิ่งตอนและการดูแลรักษาที่ถูกต้องอาจช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ - เป็นต้นติดตาโดยได้ตาปลอดโรคจากต้นแม่ที่แข็งแรง จริญเติบโตดี ให้ผลผลิตสูงสม่ำเสมอ นำมาติดตาบนต้นตอ
ที่ทนทานต่อโรคเน่าโคนเน่า ซึ่งต้นตอที่ใช้อยู่ ได้แก่- ต้นตอทรอยเยอร์ เป็นต้นตอที่ทนทานต่อโรครากเน่าโคนเน่า และทริสเตซ่า แต่ไม่ทนต่อโรคกรีนนิ่ง
อ่อนแอต่อใส้เดือนฝอย ทนอากาศหนาวได้ปานกลาง ปรับตัวเข้ากับดินทั่วไปยกเว้นดินเค็ม ดินด่าง และ
ดินเหนียว ใช้เป็นต้นตอส้มเขียวหวานได้ดี แต่ต้นส้มจะแตกกิ่งกระโดงมาก ต้นตออาจเข้ากันได้ไม่ดีกับ
ส้มเขียวหวาน เกิดรอยเท้าช้างเล็กน้อย ส้มให้ผลผลิตสูง ขนาดผลใหญ่ ผลมีคุณภาพดี - ต้นตอสวิงเกิ้ล เป็นต้นตอที่ทนทานต่อโรครากเน่า โคนเน่า ไส้เดือนฝอย ดินเค็ม และสภาพน้ำขังได้ดี
ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี เกิดอาการเท้าช้างเล็กน้อย - ต้นตอคาร์ริโซ เป็นต้นตอที่คล้ายทรอยเยอร์ ทนทานไส้เดือนฝอยได้ดี
- ต้นตอคลีโอพัตรา ทนทานต่อเกลือได้ดี ทนทริสเตซ่าและความหนาว ปรับตัวได้ดีในสภาพดินเหนียว
ภาคกลางแต่อาจอ่อนแอต่อโรครากเน่าโคนเน่าจึงจัดการการระบายน้ำได้ดี ให้ทรงพุ่มดี ติดผลดกผลอาจ
มีขนาดเล็กลง แต่คุณภาพดี - ต้นตอรัฟเลมอน ปรับตัวได้ดีในสภาพดินทราย หน้าดินลึก เจริญเติบโตเร็ว ทนแล้ง ผลผลิตสูงแต่
คุณภาพผลไม่ดีนัก (มีชานมาก) ถ้าดินเหนียวระบายน้ำไม่ดีจะอ่อนแอต่อโรครากเน่า - ต้นตอโวลเมอเรียนา ทนต่อสภาพดินเค็มและดินด่างได้ดี ชอบเดินที่มีการระบายน้ำดี เจริญเติบโตเร็ว
แต่คุณภาพผลส้มอาจด้อยกว่าต้นตออื่น ๆ - ต้นตอแรงเปอร์ไลม์ ทนสภาพแล้ง ทนต่อดินเค็ม และดินด่างได้ดี ต้นใหญ่แข็งแรง ผลผลิตสูงคุณภาพ
ปานกลาง เข้ากันได้ดีกับส้มเขียวหวาน และทนต่อโรครากเน่า โคนเน่าดีกว่าต้นตอรัฟเลมอน
- ต้นตอทรอยเยอร์ เป็นต้นตอที่ทนทานต่อโรครากเน่าโคนเน่า และทริสเตซ่า แต่ไม่ทนต่อโรคกรีนนิ่ง
- ขนาดของต้นติดที่ได้มาตรฐานพร้อมลงปลูกในแปลง คือ มีขนาดเส้นรอบวงที่โคนต้นไม่ต่ำกว่า 1.5 เซนติเมตร มี
ความสูงจากโคนต้นถึงเรือนยอดไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร และมีอายุไม่เกิน 12 เดือน นับจากย้ายกล้าลงถุงชำ - หมายเหตุ การปลูกส้มปลอดโรคที่ ติดตาบนต้นตอ ต้องมีการดูแลรักษาที่ดีด้วย
3.2.2 ระยะปลูก
-
- ที่ดอนควรมีระยะระหว่างต้น 4 เมตร และระยะระหว่างแถว 6 เมตร
- ที่ลุ่มที่มีการยกร่อง ปลูกกลางร่อง ระยะระหว่างต้น 6 เมตร เพื่อให้การใช้พื้นที่เกิดประโยชน์สูงสุดและ
การปฏิบัติงานในสวนทำได้โดยสะดวก
3.2.3 ขั้นตอนการปลูก
-
- วัดระยะปลูกและกำหนดจุดปลูกโดยแถวปลูกควรอยู่บริเวณกึ่งกลางแปลง แต่ละแปลง
- ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเข้ากับดินที่ขุดขึ้นมา อัตราต้นละ 10
กิโลกรัม พร้อมกับปุ๋ยรอคฟอสเฟต 0.5 กิโลกรัม และปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 อัตรา 100 กรัม
และกลบกลับลงไปในหลุม - แหวกดินทำหลุมให้มีขนาดโตกว่าถุงหรือกระถางที่เลี้ยงต้นพันธุ์
- ฉีกถุงออก โดยก่อนฉีกถุงให้ใช้มือบีบวัสดุปลูกในถุงจนแตกจากกัน
- เขย่าวัสดุปลูกที่ติดอยู่กับรากออกให้หมด ถ้ารากแก้วไม่แก่จนแข็ง ควรยืดรากให้ตรง แต่ถ้าแข็งจนไม่
สามารถยืดได้ให้กรรไกรตัดรากแก้วส่วนที่ของดออก พร้อมทั้งตัดส่วนยอดและใบออกบ้าง เพื่อให้กิดการ
สมดุลกับรากที่เหลือ - วางต้นพันธุ์ลงในหลุม จัดรากฝอยที่มีอยู่เป็นชั้น ๆ แล้วแผ่รากในแต่ละชั้นออกรอบข้าง
- ใช้ดินกลบรากไล่ขึ้นมาเป็นชั้น โดยให้รากฝอยชั้นบนสุดอยู่ต่ำกว่าระดับดินบนประมาณ 1 เซนติเมตร
- ผูกต้นติดกับหลักป้องกันการโยกคลอน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม คลุมโคนต้นด้วยฟางข้าว
3.2.4 การป้องกันลม
ความรุนแรงของลมอาจทำให้กิ่งฉีกขาด หรือโค่นล้มได้ ดังนั้น ในแหล่งที่มีลมแรงจะต้องมีการปลูกพืชบังลม
เช่า สนประดิพัทธ์ ไผ่รวกใหญ่ ไผ่เลี้ยง หรือพืชชนิดอื่น ๆ การปลูกไม้บังลมให้ปลูกห่างจากแนวปลูกส้มอย่างน้อย 8 เมตร
ถ้าเป็นการยกร่องให้ปลูกบนคันดินกั้นน้ำรอบสวนระยะปลูกระหว่างต้น 1.5-2.0 เมตร
4. การดูแลรักษา
4.1 การใส่ปุ๋ย
- ควรมีการวิเคราะห์ดิน 1-2 ปีต่อครั้ง เพื่อหาอัตราปุ๋ยและสูตรปุ๋ยที่เหมาะสม เป็นการลดต้นทุนการผลิต
- หลังปลูกแล้วถ้าดินเป็นกรดจัด (ความเป็นกรด – ด่างต่ำกว่า 5.0) ควรใส่ปูนขาวหรือปูนมาร์ลหรือเปลือกหอยเผา
หรือโดโลไมท์ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น หรือตามผลการวิเคราะห์ดิน โดยหว่านให้สม่ำเสมอรอบบริเวณทรงพุ่ม ปีละ
1-2 ครั้ง - การใส่ปุ๋ยในปีแรก ควรใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 20-10-10 , 25-7-7 หรือ 15-15-15+46-0-0 (1:1)
อัตรา 0.5-1.0 กิโลกรัมต่อต้น โดยแบ่งใส่ 4-6 เดือนต่อครั้ง และปุ๋ยอินทรีย์ 10-20 กิโลกรัมต่อต้น ใส่ครั้งเดียว
ช่วงปลายฤดู - ปีที่ 2-4 ใส่ปุ๋ยสูตร 20-10-10, 25-7-7 หรือ 15-15-15+46-0-0 (1:1) อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้น โดยใส่ 3-4
เดือนต่อครั้ง และปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กิโลกรัมต่อต้นใส่ครั้งเดียวช่วงปลายฤดูฝน - อายุ 4 ปีขึ้นไป ซึ่งส้มจะเริ่มให้ผลผลิต การใส่ปุ๋ยควรปฏิบัติดังนี้
- ช่วงก่อนออกดอก ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น และพ่นปุ๋ยทางใบ เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
รองและธาตุอาหารเสริม - ในระยะติดผล อาจมีการให้ปุ๋ยธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี
ทองแดง โบรอน และแมงกานีส เป็นต้น โดยพ่นให้ทางใบ - ช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลผลิต ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้น
- หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ใส่ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 15-15-15 ร่วมกับ 46-0-0 (1:1) อัตรา 1-3 กิโลกรัม
ต่อต้นพร้อมพ่นปุ๋ยทางใบที่มีธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมพร้อมปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กิโลกรัม
ต่อต้น
- ช่วงก่อนออกดอก ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น และพ่นปุ๋ยทางใบ เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
4.2 การให้น้ำ
- ให้น้ำทันทีประมาณ 20-40 ลิตรต่อต้นเมื่อปลูกเสร็จ และให้น้ำอีกครั้ง ภายใน 2-3 วัน จากครั้งแรก
- หลังจากนั้นให้น้ำทุก ๆ 2-5 วัน จนกว่าต้นส้มจะตั้งตัวได้ ข้อสำคัญอย่าปล่อยให้ขาดน้ำจนต้นเฉา
- วิธีการให้น้ำ อาจใช้สายยาง ระบบน้ำหยด มินิสปริงเกอร์ หรือเรือพ่นน้ำตามความเหมาะสม
4.3 การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่ง กิ่งควรหมั่นทำสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนกระทั่งส้มให้ผล โดยในช่วงแรกควรเด็ดยอดส้มที่
ปลูกใหม่ให้สูงจากโคนต้น 45-60 เซนติเมตร เพื่อให้แตกกิ่งใหม่และเป็นกิ่งโครงร่างของต้น 4-5 กิ่ง และตัดแต่งในช่วง
หลังเก็บเกี่ยวผลแล้ว ลักษณะของกิ่งที่ควรแต่งออกคือ
- กิ่งแขนงที่รกทึบด้านล่างและกลางลำต้น
- กิ่งปลายยอดที่ห้อยลงชิดดิน
- กิ่งที่อ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ มีใบน้อย
- กิ่งน้ำค้าง หรือ กิ่งกระโดง
- กิ่งที่มีลักษณะคดงอไขว้หรือพันกัน
- กิ่งที่เป็นโรค หรือถูกแมลงทำลาย ตลอดจนกิ่งที่แห้งตายภายหลังตัดแต่งกิ่งแล้ว ควรทาแผลด้วยคอปเปอร์อ๊อกซี
คลอไรด์ หรือปูนแดง ปูนขาว เพื่อป้องกันเชื้อรา
4.4 การบังคับน้ำ
หลังจากเก็บเกี่ยวผลส้ม ให้ทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยบำรุงต้น จนส้มแตกใบอ่อนใหม่ ใบใหม่มีอายุประมาณ
60 วัน ในช่วงอากาศร้อน หรืออาจถึง 90 วัน ในช่วงอากาศเย็น จะเริ่มงดการให้น้ำ โดยระยะเวลางดน้ำนี้ขึ้นกับอายุ ขนาด
ทรงพุ่มและสภาพดินฟ้าอากาศ โดยสังเกตได้จากการเหี่ยวของใบเร็วขึ้นแต่ละวัน ถ้าใบเหี่ยวในช่วงเวลา 10.00-11.00 น
ถือว่าเพียงพอแล้ว สำรับการงดน้ำ หลังจากนั้นจึงให้น้ำติดต่อกันจนส้มออกดอกติดผล
4.5 การดูแลรักษาหลังการติดผล
ภายหลังต้นส้มติดผลแล้ว ควรปฏิบัติดังนี้
- ทำการปลิดผล ในกิ่งที่ติดผลมาก ๆ ออกบ้าง
- ตัดแต่งผลที่เป็นโรคออกแล้วนำไปฝังกลบหรือเผาเสีย
- ค้ำยันกิ่ง เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักเนื่องจากการรับน้ำหนัก หรือลมแรง
5. สุขลักษณะและความสะอาด
- ควรรักษาแปลงปลูกให้ถูกสุขลักษณะและสะอาดอยู่เสมอ
- กำจัดวัชพืช ควรกำจัดขณะวัชพืชยังเล็ก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับพืชหลัก หรือเป็นแหล่งเพาะปลูกศัตรูพืช หรือติดไป
กับผลผลิต - ควรเก็บวัชพืช เศษพืชโดยเฉพาะที่เป็นโรคไปทำลายนอกแปลงปลูก
- อุปกรณ์ เช่น กรรไกร เครื่องพ่นสารเคมี ภาชนะที่ใช้เก็บผลผลิต ฯลฯ หลังใช้งานแล้วต้องทำความสะอาด และเก็บ
ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ - ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้หมดแล้วให้ทำลายอย่างเหมาะสม เช่น ฝังดิน ไม่ควรนำมาใช้ใหม่อีก
6. การป้องกันกำจัดศัตรูส้มเขียวหวาน
6.1 โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
6.1.1 โรคกรีนนิ่ง
- สาเหตุ– เชื้อคล้ายแบคทีเรีย
- ลักษณะอาการ– ใบอ่อนมีสีเหลือง ใบเล็ก ชี้ตั้งขึ้น เส้นใบและเส้นกลางใบมีสีเขียวคล้ายอาการขาดธาตุสังกะสี การแตกยอดใหม่ลด
น้อยลงเกิดการแห้งตายจากปลายกิ่ง ผลขนาดเล็ก หลุดร่วงง่าย สีเปลือกเมื่อแก่จัดไม่สม่ำเสมอ ระบบรากไม่
แข็งแรงต้นทรุดโทราและตายในที่สุด - การป้องกันกำจัด
– ไม่ควรใช้กิ่งพันธุ์จากต้นแม่พันธุ์ที่แสดงอาการโรคกรีนนิ่ง ควรใช้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรค
– ไม่มีสารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคกรีนนิ่ง
– เมื่อพบต้นที่เป็นโรคต้องขุดและทำลายออกจากแปลงปลูก
– ป้องกันและกำจัดเพลี้ยไก่แจ้ซึ่งเป็นแมลงพาหะนำโรค และแหล่งพืชอาศัย เช่น ต้นแก้ว
- 6.1.2 โรคทริสเตซ่า
-
สาเหตุ– เชื้อไวรัส
-
ลักษณะอาการ– ใบอ่อนมีสีเหลืองซีดขอบใบม้วนเข้าคล้ายรูปถ้วย เส้นใบแสดงอาการโปร่งใสเป็นขีดสั้น ๆ ส่วนใบแก่เส้นใบปูด
แตกสีน้ำตาล ติดผลมาก แต่มักหลุดร่วงง่าย บริเวณลำต้นหรือกิ่งใหญ่ ๆ มีลักษณะไม่เรียบ และมีระบบราก
อ่อนแอ -
การป้องกันกำจัด– ไม่ควรใช้กิ่งพันธุ์จากต้นแม่พันธุ์ที่แสดงอาการโรคทริสเตซ่า
ควรใช้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรค
– ไม่มีสารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคทริสเตซ่า
– เมื่อพบต้นที่เป็นโรคต้องขุดและทำลายออกจากแปลงปลูก
– ป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อนซึ่งเป็นแมลงพาหะของโรค6.1.3 โรครากเน่า – โรคเน่า
-
สาเหตุ– เชื้อรา
-
ลักษณะอาการ– เกิดได้กับทุกส่วนของต้นส้ม โดยเฉพาะบริเวณรากและโคนต้น ต้นส้มจะแสดงอาการทรุดโทรม แตกใบอ่อนน้อย
ใบเหลืองซีดโดยเฉพาะเส้นกลางใบ ต้นที่อาการรุนแรงใบจะเหี่ยวคล้ายขาดน้ำ ผลร่วง และกิ่งแห้ง โคนต้นมีแผล
สีคล้ำ ฉ่ำน้ำ อาจมียางไหล เมื่อถากเปลือกจะพบเนื้อไม้มีสีน้ำตาลแดง -
การป้องกันกำจัด– ใช้ต้นตอพันธุ์
ที่ต้านทานต่อโรค เช่น ทรอยเยอร์ คาร์ริโซ
– ปรับสภาพดินให้มีความเป็นกรอ-ด่าง ประมาณ 5.5-6.5 โดยใช้ปูนขาว ปูนมาร์ล หรือโดโลไมท์ปีละ 1-2 ครั้ง
– รักษาสภาพโคนต้นไม่ให้มีน้ำขัง
– ตัดแต่งทรงพุ่มและกิ่งให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น
– กำจัดวัชพืชอย่าให้รกทึบ
– เมื่อพบแผลมียางไหลให้ถากเปลือกและทาด้วยสารละลายเข้มข้น เช่น เมตาแลกซิล+แมนโคเซ็บ หรือ บอร์โดมิก
เจอร์ – แมนโคเซ็บ
– หากพบต้นส้มแสดงอาการของโรคทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำในตารางที่ 16.1.4 โรคแคงเกอร์
-
สาเหตุ– เชื้อแบคทีเรีย
-
ลักษณะอาการ– เกิดทั้งใบ ผล กิ่ง ก้าน และลำต้น แผลเป็นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นสะเก็ดแข็ง และ ขรุขระคล้ายขี้กลาก แลางแผลมัก
แตกบุ๋ม และมีวงแหวนสีเหลืองซีดล้อมรอบ การเกิดโรคจะรุนแรงมากหากใบอ่อนมีแผลถูกทำลาย -
การป้องกันกำจัด – ดูแลบำรุงต้นให้แข็งแรง
– ป้องกันการทำลายของหนอนชอนใบ
– ไม่ควรปลูกมะนาวในแปลงปลูกส้มหรือบริเวณใกล้เคียง
– ทำความสะอาดแปลงอย่าให้รกและกำจัดใบร่วงที่เกิดจากการทำลายของโรค
– หากพบการระบาดรุนแรง ให้ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคออก และทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 การใช้สารป้องกันกำจัดโรคของส้มเขียวหวาน
โรค
|
สารป้องกันกำจัด
โรคพืช |
อัตราการใช้/
น้ำ 20 ลิตร |
วิธีการใช้/
ข้อควรระวัง |
หยุดใช้สารก่อน
การเก็บเกี่ยว(วัน) |
รากเน่า โคนเน่า |
ฟอสฟอรัสแอซิค |
30 มิลลิลิตร
|
ปีละ 2-3 ครั้งราดบนดินบริเวณ ทรงพุ่มต้นส้ม |
– – |
ไตรโคเดอร์มา |
1-2 กก/หลุม
2-6 กก/ต้น |
รองก้นหลุม โรยรอบโคนต้น |
||
แคงเกอร์ | คอปเปอร์ออกไซด์ (30 %wp) บอร์โดมิกเจอร์ (20%wp) คอปเปอร์ไฮดอกไซด์ (77%wp) |
87 กรัม
|
. |
7 20 7 |
คอปเปอร์ซัลเฟตหรือ คอปเปอร์ออกซิคลอไรด์ (85%wp) |
30-80 กรัม
|
. |
14
– |
6.2 แมลงและไรศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
6.2.1 หนอนชอนใบส้ม
- ลักษณะและการทำลาย– หนอนชอนใบส้มกัดกินใบอ่อนโดยไชชอนอยู่ระหว่างผิวใบ มักพบทำลายด้านใต้ใบมากกว่าบนใบ บริเวณที่ถูก
ทำลายเป็นรอยสีขาวกวน ใบมีลักษณะบิดงอลงทางด้านที่มีการถูกทำลาย ทำให้ใบเสียรูปร่าง - ช่วงเวลาที่ระบาด – ช่วงระยะส้มแตกยอดอ่อนในฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
- การป้องกันกำจัด– ตัดและเก็บส่วนที่ถูกทำลายเผา
– ควรมีการจัดการให้ส้มแตกยอดอ่อนพร้อมกัน
– หากพบปริมาณหนอนชอนใบส้มมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่สุ่มสำรวจ ทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำ
ในตารางที่ 2
- 6.2.2 เพลี้ยไฟพริก
-
ลักษณะและการทำลาย– ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเพลี้ยไฟพริกดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อน ใบอ่อน และผลอ่อน ทำให้ใบมีลักษณะแคบ เรียว
กร้านและไม่เจริญเติบโต หากเป็นผลอ่อน จะเกิดเป็นทางสีเทาเงินตามยาวของผล หรือบริเวณขั้วและก้นผล ผลส้ม
จะแคระแกรน -
ช่วงเวลาที่ระบาด– ช่วงระยะยอดอ่อน ดอก และผลอ่อน ระบาดมากระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน หรือ ช่วงที่มีอากาศร้อนและ
แห้งแล้ง -
การป้องกันกำจัด– ตัดและเก็บส่วนที่ถูกทำลายเผา
– ควรมีการจัดการให้ส้มแตกยอดอ่อนพร้อมกัน
– หากพบปริมาณเพลี้ยไฟที่ส่วนยอดอ่อนมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของยอดอ่อนที่สุ่มสำรวจ ทำการป้องกันกำจัดตาม
คำแนะนำในตารางที่ 26.2.3 เพลี้ยไก่แจ้ส้ม
-
ลักษณะและการทำลาย– ตัวอ่อนและตัวเต็มวันดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนตาและยอดอ่อนของต้นส้มเขียวหวาน ตัวอ่อนขณะดูดกินน้ำเลี้ยงจะ
กลั่นสารสีขาวมีลักษณะคล้ายเส้นด้าย และอาจเกิดราดำขึ้นตามส่วนที่ถูกทำลาย ใบมีลักษณะเป็นคลื่น ใบร่วง และ
เป็นแมลงพาหะของโรคกรีนนิ่ง -
ช่วงเวลาที่ระบาด– ระยะส้มเขียวหวานแตกใบอ่อนหรือในช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม และ พฤษภาคม-กรกฏาคม
-
การป้องกันกำจัด– หมั่นสำรวจ เพลี้ยไก่แจ้ส้ม ในช่วงระยะส้มเขียวหวานแตกยอดอ่อน
– ควรป้องกันกำจัด เมื่อพบตัวเต็มวัย ตามคำแนะนำในตารางที่ 26.2.4 หนอนเจาะสมอฝ้าย
-
ลักษณะและการทำลาย– ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน ขนาด 3.0-4.0 เซนติเมตร วางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ บริเวณกลีบดอกตูมหรือก้านดอก
ตัวหนอนกัดกินทำลายดอกและผลอ่อน หนอนวัยแรกจะกินช่อดอกและใบ และเมื่อโตขึ้นจะเข้าทำลายผลส้มที่มี
ขนาดใหญ่ ทำให้ผลเน่าและร่วง -
ช่วงเวลาที่ระบาด– ในระยะส้มออกดอกและผลอ่อน
-
การป้องกันกำจัด– สุ่มสำรวจพบหนอนทำลายดอกตูมหรือผลอ่อนมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำใน
ตารางที่ 26.2.5 เพลี้ยอ่อน
-
ลักษณะและการทำลาย– เพลี้ยอ่อนเป็นแมลงขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายลูกแพร์ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยอยู่รวมเป็นกลุ่มดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอด
อ่อน ใต้ใบอ่อน แมลงจะขับถ่ายมูลหวาน ทำให้เกิดราดำบนส่วนต่าง ๆ ที่แมลงทำลาย เพลี้ยอ่อนเป็นแมลงพาหะ
ของเชื้อไวรัสโรคทริสเตซ่า -
ช่วงเวลาที่ระบาด– ระยะที่ส้มเขียวหวานแตกยอดอ่อน หรือระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
-
การป้องกันกำจัด– ตัดและเก็บส่วนที่ถูกทำลายเผา
– ควรมีการจัดการให้ส้มแตกยอดอ่อนพร้อมกัน
– หากพบเพลี้ยอ่อนมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่สุ่มสำรวจ ทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำในตารางที่ 26.2.6 ไรแดงแอฟริกัน
-
ลักษณะและการทำลาย– ไรแดงแอฟริกันมีขนาดเล็กมาก มีสีแดง ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงที่ผิวใบและเปลือกผลส้ม ทำให้ผิว
ใบด้านหน้า หรือสีของผลเป็นสีเขียวซีด กระด้าง -
ช่วงเวลาที่ระบาด– ระยะส้มเขียวหวานมีผลอ่อน และใบแก่ โดยเฉพาะช่วงแล้ง ระหว่างเดือนธันวาคม-พฤษภาคม และระยะฝนทิ้ง
ช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม -
การป้องกันกำจัด– พบเข้าทำลายใบมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ หรือผลอ่อนมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ทำากรป้องกันกำจัดตามคำแนะนำ
ในตารางที่ 26.2.8 ไรสนิมส้ม
-
ลักษณะและการทำลาย– ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยไรสนิมส้ม ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและผล ทำให้ใบมีลักษณะกระด้าง สีเขียวคล้ำ ไม่เป็นมัน
และผลที่ถูกทำลายจะมีสีน้ำตาลหรือแดงคล้ำคล้ายสนิมเหล็ก
-
ช่วงเวลาที่ระบาด– ในช่วงฤดูแล้ง
-
การป้องกันกำจัด– เมื่อพบมีการระบาด ทำการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำในตารางที่ 2
ศัตรูธรรมชาติในสวนส้มเขียวหวาน
ตัวห้ำ
- แมลงช้างปีกใส ตัวอ่อนเป็นแมลงห้ำของหนอนชอนใบส้ม
- ด้วงเต่าลาย ตัวหนอนเป็นแมลงห้ำของเพลี้ยอ่อน
- ไรตัวห้ำ เป็นไรตัวห้ำของไรแดงแอฟริกัน ไรเหลืองส้ม และไรสนิมส้ม
- แมงมุม เป็นตัวห้ำของเพลี้ยไฟพริก เพลี้ยไก่แจ้ส้ม และหนอนเจาะสมอฝ้าย
- แมลงเบียน
-
มีแตนเบียนเข้าทำลายหนอนชอนใบส้มในระยะหนอนและดักแด้ และเพลี้ยไก่แจ้ส้มในระยะตัวอ่อน
ศัตรูธรรมชาติทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีพบอยู่ทั่วไปตามแหล่งปลูกส้มเขียวหวาน ดังนั้นการใช้สารป้องกันกำจัดแมลง
และไรศัตรูส้ม ควรใช้วิธีการที่ปลอดภัย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติดังกล่าว
ตารางที่ 2 การใช้ชีวินทรีย์และสารป้องกันกำจัดแมลงและไรศัตรูส้มเขียวหวาน
แมลงและไร
ศัตรูพืช |
ชีวินทรีย์/
สารป้องกัน กำจัดศัตรูพืช |
อัตราการใช้
น้ำ 20 ลิตร |
วิธีการใช้/
ข้อควรระวัง |
หยุดใช้สาร
ก่อน การเก็บเกี่ยว (วัน) |
หนอนชอนใบส้ม | ฟลูเฟนนอกซูรอน (5% EC)อิมิดาโคลพริด (10% SL) |
6 มิลลิลิตร8 มิลลิลิตร |
สุ่มสำรวจยอดอ่อน
5 ยอด/ต้นจำนวน 20 ต้น พ่นเมื่อพบการ ทำลายเกิน 50% |
1414
|
เพลี้ยไฟพริก | อิมิดาโคลพริด (10% SL)โฟซาโลน (35% EC) |
10 มิลลิลิตร 60 มิลลิลิตร |
สุ่มยอดอ่อนและ
ผลอ่อนพ่นเมื่อพบ การทำลายเกิน 20% |
1414
|
เพลี้ยไก่แจ้ส้ม | อิมิดาโคลพริด (10% SL) |
8 มิลลิลิตร |
สุ่มยอดอ่อนพ่น
เมื่อพบตัวเต็มวัย และตัวอ่อนลง ทำลาย |
14
|
หนอนเจาะสมอ ฝ้าย |
เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัสทูริงเยนซิส (Bt) ชนิดผงเชื้อไวรัส NPV คลอร์ฟลูอาซูรอน (5% EC) |
60-80 กรัม
40 มิลลิลิตร |
สุ่มสำรวจดอกตูม
หรือยอดอ่อน พ่น เมื่อพบถูกทำลาย เกิน 10 % |
––
14 |
เพลี้ยอ่อน | คาร์โบซัชแฟน (20% EC) |
40-50 มิลลิลิตร |
สุ่มยอดอ่อน และ
ใบอ่อนเมื่อพบ ทำลายมากกว่า 30% |
14
|
ไรแดงแอฟริกัน ไรเหลืองส้ม |
โพรพาร์ไกต์ (30% wp) อามีทราซ (20%EC) โบรโมโพรไพเลต (25%EC) เฮกซีไทอะซอกซ์ (1.8%EC) |
30 กรัม30 มิลลิลิตร
30 มิลลิลิตร 40 มิลลิลิตร |
สุ่มสำรวจยอดส้ม
1-3 ยอด/ต้น รอบนอกทรงพุ่ม พ่นเมื่อใบถูก ทำลายเกิน 60% หรือผลอ่อน มากกว่า 20% (ไม่ควรใช้สารฆ่า ไรชนิดเดียวติดต่อ กันนาน ควรใช้ สลับเพื่อมิให้ไร สร้างความต้าน ทานต่อสารฆ่าไร เร็วเกินไป) |
15
|
ไรสนิมส้ม | กำมะถัน (80%wg) โพรพาร์ไกต์ (30%wp) อามีทราซ (20%ec) ไพริดาเบน (20%wp) |
60 กรัม30 กรัม
30 มิลลิลิตร 10-15 กรัม |
สุ่มสำรวจ พ่นเมื่อ พบระบาดทำลาย ผลส้ม |
. |
6.3 วัชพืชและการป้องกันกำจัด
6.3.1 ชนิดวัชพืช
6.3.1.1 วัชพืชฤดูเดียว เป็นวัชพืชที่ครบวงจรชีวิตภายในฤดูเดียว ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
– วัชพืชประเภทใบแคบ เช่น หญ้าตีนกา หญ้าปากควาย หญ้าตีนนก หญ้าขจรดอกเล็ก หญ้าขจร
ดอกใหญ่ หญ้านกสีชมพู เป็นต้น
– วัชพืชประเภทใบกว้าง เช่น ผักโขม ผักยาง ผักเบี้ยใหญ่ กระดุมใบ ผักแครด เป็นต้น
– วัชพืชประเภทกก เช่น กกทราย กกดอกแบน เป็นต้น6.3.1.2 วัชพืชข้ามปี เป็นวัชพืชที่ขยายพันธุ์ด้วย ต้น ราก เหง้า หัว และไหล ได้ดีกว่าขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
– วัชพืชประเภทใบแคบ เช่น หญ้าคา หญ้าแพรก หญ้าชัดกาด หญ้าขจรดอกเหลือง
– วัชพืชประเภทใบกว้าง เช่น สาบเสือ สะอึกดอกขาวเล็ก เถาตอเชือก เป็นต้น
– วัชพืชประเภทกก เช่น แห้วหมู6.3.2 การป้องกันกำจัดวัชพืช
– ระหว่างแถวระหว่างต้นส้มเขียวหวาน ควรตัดวัชพืชให้สั้นอยู่เสมอ
– ใต้โคนต้นส้มเขียวหวานในรัศมีทรงพุ่ม ควรดายวัชพืชหรือคลุมด้วยเศษวัชพืช หรือฟางข้าว แต่ในฤดู
ฝนต้องระวังอย่าให้ชื้นมาก หรืออย่าให้มีน้ำขัง
– ระหว่างแถวระหว่างต้นส้มเขียวหวาน ปลูกพืชคลุมดินตระกูลถั่ว เช่น ถั่วพร้า หรือ ถั่วซีรูเลียม
– พ่นสารกำจัดพืชตามคำแนะนำในตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การใช้สารกำจัดวัชพืชในสวนส้มเขียวหวาน
วัชพืช
|
สารกำจัดวัชพืช
|
อัตราการใช้/
น้ำ 20 ลิตร |
วิธีการใช้/
ข้อควรระวัง |
วัชพืชฤดูเดียว | พาราควอท (27.6% SL) |
75-150
มิลลิลิตร |
พ่นขณะวัชพืชเจริญ เติบโตเต็มที่และก่อน ออกดอก ระวังละออง สารสัมผัสใบและต้น ส้มเขียวหวาน |
วัชพืชข้ามปี | ไกลโฟเสท (48% SL) |
125-150
มิลลิลิตร |
|
กลูโฟสิเนต แอมโมเนียม (15% SL) |
400-500
มิลลิลิตร |
7. คำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัย
การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรุพืชที่ เหมาะสม เกษตรกรควรรู้จักศัตรูพืช ชนิดและอัตราการใช้สารป้องกัน
กำจัดศัตรูพืช รวมทั้งการเลือกใช้เครื่องพ่น และหัวฉีดที่ถูกต้อง นอกจากนั้นการพ่นควรกระจายให้คลุมทั้งต้นโดยเฉพาะ
บริเวณที่ศัตรูพืชเข้าทำลาย มีข้อแนะนำควรปฏิบัติ ดังนี้
7.1 การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างเหมาะสม
- ตรวจอุปกรณ์เครื่องพ่นอย่าให้มีรอยรั่ว เพราะจะทำให้สารพิษเปียกเปื้อนเสื้อผ้าและร่างกายของผู้พ่นได้
- ต้องสวนเสื้อผ้าและรองเท้าให้มิดชิด รวมทั้งสวมหน้ากาก หรือผ้าปิดจมูก และศีรษะเพื่อป้องกันอัตรายจากสารพิษ
- อ่านฉลากคำแนะนำ คุณสมบัติ และการใช้ก่อนทุกครั้ง
- ควรพ่นในช่วงเช้าหรือเย็นขณะลมสงบ หลีกเลี่ยงการพ่นในเวลาแดดจัดหรือลมแรง และผู้พ่นต้องอยู่เหนือลม
ตลอดเวลา - ควรเตรียมสารเคมีให้ใช้หมดในคราวเดียว ไม่ควรเหลือติดค้างในถังพ่น
- เมื่อเลิกใช้ควรปิดฝาภาชนะบรรจุสารเคมีให้สนิท เก็บไว้ในที่มิดชิด ห่างจากสถานที่ ปรุงอาหาร แหล่งน้ำ และต้อง
ปิดกุญแจโรงเก็บตลอดเวลา - ภายหลังการพ่นสารกำจัศัตรูพืชทุกครั้ง ผู้พ่นต้องอาบน้ำ สระผม และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เสื้อผ้าที่ใส่ขณะพ่นสาร
ต้องซักให้สะอาดทุกครั้ง - ไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนสารเคมีที่ใช้จะสลายตัวถึงระดับ ปลอดภัย โดยดูจากตารางคำแนะนำการใช้สารป้องกัน
กำจัดศัตรูพืช - ทำลายภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้หมดแล้ว (โดยการฝังดิน) อย่างทิ้งตามร่องสวน หรือทิ้งลงแม่น้ำลำคลอง
7.2 การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
7.2.1 เครื่องพ่น นิยมใช้มี 2 ชนิด ได้แก่
– เครื่องพ่นแบบสูบโยกสะพายหลัง
– เครื่องยนต์พ่นสารชนิดใช้แรงดันของเหลว (ลากสายหรือแบบปั๊ม 3 สูบ)7.2.2 วิธีการใช้
- เครื่องพ่นแบบสูบโยกสะพายหลัง ใช้อัตราการพ่น 60-80 ลิตรต่อไร่สำหรับการพ่นสารฆ่าแมลงและสารป้องกัน
กำจัดโรคพืช ใช้หัวฉีดแบบกรวยขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.6 มิลลิเมตร) และใช้หัวฉีดแบบพัด หรือแบบ
ปะทะ สำหรับการพ่นสารกำจัดวัชพืช - การพ่นสารกำจัดวัชพืชต้องแยกใช้เครื่องพ่นเฉพาะ และหลังพ่นไม่ควรรบกวนผิวหน้าดินขณะพ่นกดหัวฉีดต่ำ
เพื่อให้ละอองสารเคมีตกลงบนพื้นที่ต้องการควบคุมวัชพืชเท่านั้น ระวังการพ่นซ้ำแนวเดิม เพราะจะทำให้สารลง
เป็นสองเท่า - เครื่องยนต์พ่นสารชนิดใช้แรงดันของเหลวใช้อัตราการพ่น 80-120 ลิตรต่อไร่ ใช้หัวฉีดแบบกรวยขนาดกลาง
(เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-1.2 มิลลิเมตร) ปรับความดันในระบบการพ่นไว้ที่ 10 บาร์ หรือ 150 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ถ้าเป็นหัวฉีดแบบกรวยชนิดปรับได้ ควรปรับให้ได้ละอองกระจายกว้างที่สุด ซึ่งจะได้ละอองขนาดเล็กสม่ำเสมอ
เหมาะสำหรับการพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงและโรคพืช - เริ่มทำการพ่นจากทางใต้ลม และขยายแนวการพ่นขึ้นเหนือลม ขณะเดียวกันหันหัวฉีดไปทางใต้ลมตลอดเวลา เพื่อ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช - การพ่นควร พลิก – หงายหัวฉีดขึ้น-ลง เพื่อให้ละอองแทรกเข้าทรงพุ่มได้ดีขึ้น โดยเฉพาะด้านใต้ใบ
8. การเก็บเกี่ยว
8.1 ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
- นับจากวันออดดอกถึงเก็บผลใช้เวลา 8 เดือนครึ่งถึง 10 เดือน ผลส้มพร้อมเก็บเกี่ยวควรมีผิวสีเขียวอมเหลือง หรือ
เหลืองเข้ม ความแข็งของผลส้มลดลง
8.2 วิธีการเก็บเกี่ยว
- ใช้วิธีปลิดผลโดยใช้มือจับทางด้านใต้ผลขึ้นไป แล้วหักพับตรงบริเวณขั้วผลไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
- หากจะนำผลส้มไปเคลือบผิวก่อนจำหน่าย ควรเก็บเกี่ยวโดยใช้กรรไกรตัดก้านผลให้ชิดกับขั้วผล
9. วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
- หลังจากทำความสะอาดและคัดขนาดผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรจุส้มลงในภาชนะ เช่น กล่องกระดาษ หรือตะกร้า
พลาสติกเพื่อรอการจำหน่าย - ควรมีการเก็บรักษาผลส้มไม่ให้เสื่อมคุณภาพด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเก็บไว้ในห้องเย็น เก็บไว้ในห้องมืด และ
วิธีเคลือบผิวส้มด้วยน้ำยา เช่น ขี้ผึ้ง พาราฟิน แฟตตี้แอซิค
10. การบันทึกข้อมูล
- เกษตรกรควรบันทึกการปฏิบัติการในขั้นตอนการผลิตต่าง ๆ ให้มีการตรวจสอบได้ หากเกิดข้อผิดพลาดบกพร่อง
ขึ้นสามารถจัดการแก้ไขหรือปรับปรุงได้ทันท่วงที เช่น– บันทึกสภาวะแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝน
– พันธุ์ วันปลูก วันปลูกซ่อม
– วันใส่ปุ๋ย สารเคมี และชนิดชีวินทรีย์ พร้อมอัตราการใช้
– วันที่ศัตรูพืชระบาด
– ค่าใช้จ่าย ปริมาณผลผลิต และรายได้
– ปัญหาอุปสรรคอื่น ๆ ในช่วงฤดูปลูก
จอสีน้ำเงินอ่านตัวหนังสือยากมาก
ถูกใจถูกใจ
ผมเปลี่ยนสีจอแล้วครับ ขอบคุณที่บอก ผมทำนาน ๆ แล้วบางครั้งต้องเปลี่ยนธีมและสีจอแก้เซ็งบ้างครับ
ถูกใจถูกใจ
สีจอดำ ยิ่งอ่านยากมากๆๆๆๆ หลายเท่า แถมตัวอักษรยังเขียวเข้มอีก ถ้าเป็นสีเหลือง หรือขาว น่าจะค่อยยังชั่ว ที่จริงวิชาการ เอาพื่นขาว อักษรดำ ก็พอ ถ้าเบื่อ เอาภาพสวยๆ มาประกอบ น่าจะดีกว่านะคะ ตัวอักษรคำอธิบายเล็กมาก ต้องขยายถึง 150% แต่หัวข้อกลับใหญ่กว่ามาก
ถูกใจถูกใจ
ปกติผมก็จะเปลี่ยนรูปแบบแสดงผลไปเรื่อย ๆ แก้เบื่อเพราะผมเก็บข้อมูลวันละ ๑๐๐-๒๐๐ เรื่อง รูปแบบนี้เก็บข้อมูลได้เร็วมาก ลองใช้เม้าส์มาร์คข้อความที่ต้องการอ่านจะตัวอักษรสีขาวพื้นเขียวครับ
ถูกใจถูกใจ
จำหน่ายกิ่งพันธ์ส้มเขียวหวาน พันธ์ุเขียวดำเนิน ทนต่อโรคและศัตรูพืช ให้ผลดก รับรองว่าเป็นพันธ์ุเขียวดำเนินแท้ จัดจำหน่ายมามากว่า 5 ปีแล้ว มีทั้งกิ่งชำและต้นกล้าที่เพาะลงถุงดำสามารถนำไปปลูกได้ทันที สนใจติดต่อ เจ้จันทร์ เบอร์โทร 0806571909 ราคาเป็นกันเอง ถูกกว่าเจ้าอื่นแน่นอนจ้าาาาาาาา ^^
ถูกใจถูกใจ