Department Of Agriculture กรมวิชาการเกษตร.
เกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับการผลิตปทุมมา
Good Agricultural Practice (GAP) For Curcuma
1. แหล่งปลูก
1.1 สภาพพื้นที่
– ไม่ควรปลูกในที่ที่เคยปลูกปทุมมามาก่อน แต่ถ้าเป็นพื้นที่เดิมควร เว้น 3 ปีก่อนปลูก
– พื้นที่ปลูกไม่เคยมีประวัติการระบาดของโรคหัวเน่าหรือ โรคเหี่ยวมาก่อน หรือพื้นที่ที่ไม่เคยปลูกพืชอาศัยของโรคนี้
– ปลูกได้ทั้งที่ดอนและที่ลุ่มแต่ต้องไม่เป็นแหล่งที่น้ำท่วมขัง
– การคมนาคมสะดวก
– ห่างไกลจากแหล่งมลพิษ
1.2 ลักษณะดิน
– เป็นดินร่วนหรือร่วนปนทราย และมีความสมบูรณ์ปานกลาง
– ดินปลูกควรเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี
– มีค่าความเป็น กรด-ด่าง ประมาณ 6.5 – 7.0
1.3 สภาพภูมิอากาศ
– อุณหภูมิทีเหมาะสมในช่วงกลางวันระหว่าง 20 – 30 องศา อุณหภูมิกลางคืนระหว่าง 18 – 25 องศา
– มีปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ ไม่เหมาะสมในพื้นที่ฝนตกชุก เช่น ภาคใต้
– ชอบแสงแดด
1.4 แหล่งน้ำ
– เป็นแหล่งน้ำสะอาด ถ้าพบเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคหัวเน่า ควรกำจัดก่อนใช้ตามคำแนะนำใน ข้อ 6.1.1
– มีค่าความเป็น กรด-ด่าง ของน้ำประมาณ 5.5 – 6.5
– มีน้ำเพียงพอสำหรับใช้ตลอดฤดูปลูก
2. พันธุ์
2.1 การเลือกพันธุ์
– เป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ
– ให้ผลผลิตสูง
2.2 พันธุ์ที่นิยมปลูก
• พันธุ์ปลูกเป็นไม้ตัดดอก ได้แก่ ปทุมมาเชียงใหม่สีชมพู ปทุมมาเชียงใหม่สีชมพูอ่อน ปทุมมา เชียงใหม่สี
ชมพูเข้ม พันธุ์สโนว์ไวท์ พันธุ์ทรอปิคอลสโนว์
• ปทุม มาเชียงใหม่สีชมพู สีชมพูอ่อน สีชมพูเข้ม
มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายคลึงกัน แตก ต่างกันที่สีของช่อดอกและสีดอกจริง โดยมีลักษณะทั่วๆ ไปดังนี้ – ความสูงต้น 40-45 เซนติเมตร การแตกกอดีมีจำนวนหน่อ 10 – 15 หน่อ/กอ
– ใบแผ่ตั้งแข็งแรง ลักษณะใบรีค่อนข้างกว้าง ขนาดใบ กว้าง x ยาว เฉลี่ย 6.0 x 24.0 เซนติเมตร
แผ่นใบสีเขียว เส้นกลางใบเรื่อสีน้ำตาล
– ช่อดอกยาว 60-70 เซนติเมตร ก้านช่อดอกตรงแข็งแรง เส้นผ่าศูนย์กลาง ก้าน 0.9-1.0 เซนติเมตร
– สีกลีบประดับส่วนบน (coma bract) มีสีชมพู สีชมพูอ่อน และสีชมพูเข้ม แตกต่างกันตามชื่อของ
แต่ละพันธุ์ กลีบประดับกว้าง มีประมาณ 13-15 กลีบ เรียงเป็นวงสลับกันคล้ายดอกบัวตูม
– ดอกจริงของปทุมมาสีชมพู มีสีขาวปากล่างสีม่วง ปทุมมาสีชมพูอ่อน มีสีขาวปากล่างสีม่วงอ่อน และ
ปทุมมาสีชมพูเข้ม มีสีขาวปากล่าวสีม่วงเข้ม
– ผลผลิตดอก 5-8 ดอก/กอ
• พันธุ์ สโนว์ไวท์
– ความสูงต้น 40-45 เซนติเมตร การแตกกอ 9-12 หน่อ/กอ
– ใบแผ่ตั้งแข็งแรง ใบรีค่อนข้างกว้าง ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 7.0 x 20.0 เซนติเมตร แผ่ใบสีเขียว
เส้นกลางใบสีเขียว
– ช่อดอกยาว 50-60 เซนติเมตร ก้านช่อดอกตรงแข็งแรง เส้นผ่าศูนย์กลางก้าน 0.9-1.0 เซนติเมตร
– กลีบประดับส่วนบมีสีขาวปลายกลีบแต้มเขียว กลีบกว้าง มี 13-15 กลีบ ทรงดอกคล้ายดอกบัวบาน
ดอกใหญ่
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วง
– ผลผลิตดอก 5-6 ดอก/กอ
• พันธุ์ ทรอปิคอล สโนว์
– ความสูงต้น 50-55 เซนติเมตร การแตกกอปานกลาง จำนวนหน่อ 10-12 หน่อ/กอ
– ใบยาวแผ่ออกด้านข้าง ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 7.5 x 30.5 เซนติเมตร แผ่นใบสีเขียว เส้นกลาง-
ใบสีเขียว
– ช่อดอกยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาว เส้นผ่าศูนย์กลางก้าน 0.9-1.0 เซนติเมตร
– กลีบประดับส่วนบมีสีขาว ปลายกลีบแต้มเขียวเล็กน้อย กลีบประดับรีค่อนข้างกว้าง ปลายกลีบแหลม
มีประมาณ 10 กลีบ ทรงดอกบัวบาน
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วง
– ผลผลิตดอก 4-6 ดอก/กอ
ข้อจำกัด : คอดอก ค่อนข้างอ่อน จึงควรตัดดอกระยะดอกแย้ม โดยมีดอกจริงบานเพียง 1-2 ดอก
• พันธุ์ สโนว์ไวท์
– ความสูงต้น 40-45 เซนติเมตร การแตกกอ 9-12 หน่อ/กอ
– ใบแผ่ตั้งแข็งแรง ใบรีค่อนข้างกว้าง ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 7.0 x 20.0 เซนติเมตร แผ่ใบสีเขียว
เส้นกลางใบสีเขียว
– ช่อดอกยาว 50-60 เซนติเมตร ก้านช่อดอกตรงแข็งแรง เส้นผ่าศูนย์กลางก้าน 0.9-1.0 เซนติเมตร
– กลีบประดับส่วนบมีสีขาวปลายกลีบแต้มเขียว กลีบกว้าง มี 13-15 กลีบ ทรงดอกคล้ายดอกบัวบาน
ดอกใหญ่
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วง
– ผลผลิตดอก 5-6 ดอก/กอ
• พันธุ์ปลูกเป็นไม้กระถาง ได้แก่ ไข่มุกสยาม บัว สวรรค์ขาวเตี้ย บัวสวรรค์ชมพูเตี้ย
• พันธุ์ ไข่มุกสยาม
– ความสูงต้น 28-33 เซนติเมตร การแตกกอ เฉลี่ย 6-10 หน่อ/กอ
– ใบสวย รูปร่างใบรีกว้างสั้น ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 7 x 18 เซนติเมตร แผ่นใบสีเขียวนวล
เส้นกลางใบสีเขียว
– ช่อดอกยาว 35 – 45 เซนติเมตร ชูช่อเหนือพุ่มใบเห็นเด่นชัด ก้านช่อดอกแข็ง เส้นผ่าศูนย์กลางก้าน
0.5-0.6 เซนติเมตร
– สีกลีบประดับส่วนบนมีสีขาวนวล ปลายกลีบแดงเมื่อดอกบานเต็มที่ กลีบประดับกว้างปลายกลียมน มี
จำนวน 9 กลีบ ทรงดอกคล้ายดอกทิวลิป
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วง
– ออกดอกพร้อมกัน คราวละ 2-3 ช่อต่อกระถาง
• พันธุ์ ไข่มุกสยาม
– ความสูงต้น 30-40 ซ.ม. การแตกกอ เฉลี่ย 7-12 หน่อ/กอ แตกกอเร็วทำให้พุ่มใบด้านล่างแน่นเร็ว
– ใบเรียวค่อนข้างแคบ ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 6.5 x 21 เซนติเมตร แผ่นใบสีเขียว
เส้นกลางใบสีน้ำตาลเข้ม
– ช่อดอกยาว 45-55 เซนติเมตร ก้านช่อดอกตรง เส้นผ่าศูนย์กลางกล้าน 0.5-0.6 เซนติเมตร
– กลีบประดับส่วนบนสีขาว มีจำนวน 9 กลีบ ทรงดอกบัวบาน
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วงเข้ม
– ออกดอกพร้อมกัน คราวละ 2-3 ช่อต่อกระถาง
• บัว สวรรค์ชมพูเตี้ย
– ความสูงต้น 30-35 ซ.ม. การแตกกอ เฉลี่ย 7-12 หน่อ/กอ
– ใบตั้ง รูปร่างรีค่อนข้างแคบ ขนาดใบกว้าง x ยาว เฉลี่ย 5.0 x 21.0 เซนติเมตร แผ่นใบสีเขียว
– ช่อดอกยาว 35-40 เซนติเมตร ก้านช่อดอกตรง เส้นผ่าศูนย์กลางก้าน 0.5-0.6 เซนติเมตร
– กลีบประดับส่วนบนสีชมพู ปลายกลีบแต้มชมพูแดง มีประมาณ 9 กลีบเรียงซ้อน กันคล้ายดอกบัวสาย
– ดอกจริงสีขาว ปากล่างสีม่วง
– ออกดอกพร้อมกัน คราวละ 2-3 ช่อต่อกระถาง
3. การปลูก
3.1 การเตรียมดิน
– วิเคราะห์ดินปรับสภาพความเป็นกรดด่างของดินให้อยู่ระหว่าง 6.5-7.0
– เก็บซากพืชในแปลงเผาทิ้ง ไถดิน 1 ครั้ง ตากดิน 20-30 วัน และเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง
3.2 วิธีการปลูก
3.2.1 การเตรียมหัวพันธุ์
– ใช้หัวพันธุ์ปลอดโรคที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือจากแปลงที่ ไม่แสดงอาการ
– คัดขนาดหัวพันธุ์แยกเป็นขนาดหัวใหญ่ (เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1.5 ซ .ม.) หัวกลาง (1-1.5 ซ.ม.)
และหัวเล็ก (น้อยกว่า 1.0 ซ.ม.)
– นำหัวพันธุ์ที่คัดขนาดบ่มในขุยมะพร้าวชื้นหมาดๆ โดยวางด้านตาขาวลงบนพื้น ขุยมะพร้าว บ่มในอุณหภูมิ
30 – 33 องศา ความชื้น 70% หรือคลุมด้วยพลาสติกเพื่อให้มีความร้อนสะสม นาน 30-45 วัน เป็นการ
กระตุ้นหัวพันธุ์แต่ละขนาดให้งอกสม่ำเสมอ โดยกระบะเพาะไม่ถูกแสงแดดจัด เพื่อป้องกันอุณหภูมิบ่มที่
สูงเกิน
– คัดหัวพันธุ์ที่งอกหน่อขนาดเท่ากันปลูกในแปลงเดียวกัน
3.2.2 ระยะปลูก
การปลูกลงแปลง
– ควรแบ่งแปลงเป็นแปลงย่อย ๆ ขนาดแปลงละ 1 งาน จัดทำทางระบายน้ำให้ดี และระหว่างแปลงย่อย
ปลูกคั่นด้วยพืชที่ไม่ใช่พืชอาศัยของ โรคเน่า เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเขียว ตะไคร้ ประมาณ 1 เมตร
เพื่อป้องกันการพร่ระบาดของโรคหัวเน่า
– ยกแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 1.0-1.2 เมตร เว้นร่องทางเดิน 0.5 เมตร
– ปลูกโดยวางหน่อชิดพื้นวัสดุปลูกและปลายหน่อชี้ขึ้น กลบดินและคลุมด้วย ฟางเพื่อไม่ให้หน่อไหม้
– ระยะปลูกขึ้นกับขนาดของหัวพันธุ์ได้แก่
– ขนาดหัวใหญ่ ระยะ ปลูก 30 x 30 เซนติเมตร หรือ 10,000 หัวต่อไร่
– ขนาดหัวกลาง ระยะ ปลูก 20 x 25 เซนติเมตร หรือ 15,000 หัวต่อไร่
– ขนาดหัวเล็ก ระยะปลูก 20 x 20 เซนติเมตร หรือ 20,000 หัวต่อไร่
– ปลูก 1 หัวต่อหลุม ปลูกลึก 7 x 10 เซนติเมตร จากผิวดิน
– สำหรับแปลงที่ไม่มีการคลุมพลาสติกอบดิน ควรพ่นสารกำจัดวัชพืชหลังการ ปลูก
– การปลูกเพื่อตัดดอก ในช่วงดอกตูมถึงดอกบานใช้ซาแรน 50-70% พรางแสง ก้านดอกจะยาวสีสวย
ปลายกลีบดอกมีสีน้ำตาลน้อยเหมาะกกับการ ตัดดอก
การปลูกลงถุง
– วัสดุปลูกที่เหมาะสมคือ ทราย : แกลบดิบหรือขุยมะพร้าว : ถ่าน แกลบ อัตรา 1 : 1 : 1
– ผสมวัสดุปลูกแล้วหมักกองไว้กลางแดด โดยกองสูงประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร พรมน้ำให้ชุ่ม คลุม
ด้วยพลาสติกใส นาน 1 เดือน เพื่ออบฆ่าเชื้อ
– ใช้หัวพันธุ์ขนาดใหญ่มีรากสะสมอาหาร 2 – 3 ราก ปลูกลงถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 6 x 12 นิ้ว 1 หัว
ต่อถุง พื้นที่ 1 ตารางเมตร วางถุงได้ 20-25 ถุง สามารถเก็บเกี่ยวหัวใหม่ได้ 5-7 หัวต่อถุง
– การปลูกลงถุงโดยใช้วัสดุปลูกไม่มีดินจำเป็นต้องมีการจัดการปุ๋ยและน้ำที่ ดี
– ปูพื้นแปลงด้วยแกลบดิบหรือคลุมด้วยพลาสติกใส เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค หัวเน่าจากดิน
– การวางถุงควรวางบนแปลงที่ยกสูงจากพื้น 20-30 เซนติเมตร หน้าแปลงควรมีความลาดเอียงเล็กน้อย
เพื่อให้มีการระบายน้ำที่ดี
3.2.3 ฤดูปลูก ฤดูปลูกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วงคือ
ปลูกก่อนฤดู
– เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม
– ก่อนปลูกต้องนำหัวพันธุ์ไปบ่มตามคำแนะนำข้อ 3.2.1 ในช่วงเดือนมกราคม เพื่อทำลายการพักตัว
– นำลงปลูกรดน้ำให้ชุ่มและสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำหรือน้ำไม่เพียงพออาจทำให้หัว พันธุ์ตายนึ่ง หรือยอดไหม้ได้
– ข้อดีของการปลูกเร็วคือสามารถผลิตดอกได้ก่อนฤดู ประมาณเดือนพฤษภาคม และ สามารถเก็บเกี่ยวหัวพันธุ์
และจำหน่ายได้เร็วขึ้น
ปลูกฤดูปกติ
– ปลูกช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม เป็นการปลูกโดยอาศัยน้ำฝน
– หลังปลูกประมาณ 2.5 – 3 เดือน ต้นปทุมมาจะเริ่มออกดอกในเดือน กรกฎาคม – สิงหาคม และจะพักตัว
เมื่อเข้าฤดูหนาวในช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม
ปลูกหลังฤดู
– ปลูกในช่วงเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม
– การปลูกวิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถตากดิน อบดินเพื่อกำจัดเชื้อโรคหัวเน่าได้นาน ดินมีโอกาสปลอดเชื้อมากขึ้น
และพืชมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวเน่าน้อยลง แต่พืชมีช่วงสะสมอาหารสั้นเพียง 5 – 6 เดือน จึงต้อง
มีการจัดการปุ๋ย และน้ำที่ดีให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช จึงต้องเก็บรักษาหัวพันธุ์มิให้เหี่ยวมากก่อน
ปลูกตามคำแนะนำข้อ 8.1.4
4. การดูแลรักษา
4.1 การให้ปุ๋ย
– ก่อนปลูก รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา ประมาณ 15กรัม/หลุม
– เมื่อใบคู่แรกกางใส่ปุ๋ยสูตรที่มีไนโตรเจนสูง เช่น 21-7-14 , 15-0-0 หรือสูตร 16-16-16 อัตรา 15 กรัมต่อกอ
เดือนละครั้ง
– เมื่อออกดอกใส่ปุ๋ย 13-13-21 และพ่นธาตุอาหารเสริมทางใบที่ มี แคลเซียม แมกนีเซียม โบรอน สังกะสี และ
ทองแดง เป็นต้น เมื่อพืชแสดงอาการใบเหลืองขาดธาตุอาหาร
– เมื่อพืชเริ่มลงหัวใส่ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมสูง เช่น 8-16-24 , 14-14-21 หรือ 13-13-21 อัตรา
15 กรัมต่อกอ เดือนละครั้ง
– การให้ปุ๋ยกับการปลูกลงถุงควรให้ปุ๋ยปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งกว่าการให้ใน แปลง อัตรา 7-10 กรัมต่อถุงทุก 3 สัปดาห์
4.2 การให้น้ำ
– ปทุมมาต้องกานน้ำสม่ำเสมอในช่วงการเจริญเติบโตและการออกดอก ส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ให้น้ำเสริมเมื่อ
ฝนทิ้งช่วง
– ควบคุมการระบายน้ำในแปลงปลูกไม่ให้น้ำท่วมขัง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการ เกิดโรค
– ระบบการให้น้ำ มีการให้น้ำระบบสปริงเกอร์พ่นฝอยเหนือต้นปทุมมา หรือใช้ระบบน้ำหยดพร้อม กับให้ปุ๋ย
– ถ้าตรวจพบน้ำที่ใช้ในแปลงปลูก และใช้ล้างหัวพันธุ์มีเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุโรคหัวเน่าปนเปื้อนให้ทำการบำบัดน้ำที่จะ
ใช้โดยใส่คลอรีนผง (คลอรีน 20 เปอร์เซ็นต์) อัตราส่วน 5 กรัมต่อน้ำ 200 ลิตร ปล่อยทิ้งค้างคืนไว้แล้วจึงนำไปใช้
4.3 การปลิดดอก
– ในกรณีที่ปลูกเพื่อผลิตหัวพันธุ์ เมื่อพืชออกดอกควรปลิดดอกทิ้งเพื่อให้แตกกอเพิ่มขึ้น และอาหารที่สังเคราะห์ขขึ้น
จะถูกส่งไปสะสมที่หัวทำให้ได้หัวขนาดใหญ่ได้มาตรฐาน ส่งออกมาก
4.4 การปลูกให้ได้ตุ้มสะสมอาหารสั้น รากสะสมอาหารหรือตุ้มที่ตลาดต้องการมีลักษณะอวบ สั้น การปลูกให้ได้
ตุ้มสั้น มีหลายวิธีดังนี้
• ปลูกในถุงพลาสติก
• ปลูก หลังฤดู
– ปลูกด้วยหัวขนาดเล็กหรือปลูกโดยใช้หัวขนาดกลางถึงใหญ่ที่ไม่มีตุ้มสะสม อาหาร
– ปลูกหลังฤดู ช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม เพื่อให้มีการสะสมอาหารสั้นเพีง 5-6 เดือน
– ปลูกโดยการจำกัดหน้าดิน อย่าไถพรวนให้ลึกเกินไป ชั้นดินปลูกควรลึก ประมาณ 15-20 เซนติเมตร
5. สุขลักษณะและความสะอาด
– กำจัดวัชพืชในแปลงปลูกใน ระยะแรก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับปทุมมา หรือเป็นแหล่งเพาะศัตรูพืช หรือ ติดโรคกับผลผลิต
การพ่นสารฆ่าหญ้าชนิดดูดซึม ควรทำด้วยความระมัดระวัง การ ใช้ในอัตราที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้หัวพันธุ์ที่ผลิตได้
ใหม่เจริญผิดปรกติ
– อุปกรณ์ เช่น มีด เครื่องพ่นสารเคมี ภาชนะที่ใช้เก็บผลผลิต ฯลฯ หลังใช้งานแล้วต้องทำความสะอาด ควรแยก
เครื่องพ่นสารกำจัดโรค แมลง กับสารป้องกันกำจัดวัชพืช
– เก็บสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีในที่ ปลอดภัย ภาชนะบรรจุที่ใช้สารหมดแล้วให้ทำลายอย่างเหมาะสม เช่น
เผา ทำลาย ฝังดิน ไม่ควรนำมาใช้ใหม่อีก
6. ศัตรูของปทุมมาและการป้องกันกำจัด
6.1 โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
6.1.1 โรคหัวเน่าหรือโรคเหี่ยว
สาเหตุเกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะอาการ หลังจากการติดเชื้อ ใบแก่ที่อยู่ตอน ล่าง ๆ จะม้วนเป็นหลอดคล้ายอาการขาดน้ำและเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
อาการจะลุกลามไปยังส่วนปลายยอด บริเวณโคนต้นและหน่อที่แตกออกมา ใหม่มีลักษณะช้ำ ฉ่ำน้ำ ลำต้นมีลักษณะสีคล้ำหรือสี
น้ำตาลเข้ม ซึ่งต่อมาจะเน่าเปื่อยหักหหลุดออกมาจากหัวโดยง่าย ในที่สุดทั้งต้นจะแห้งตาย หัวของต้นที่เป็นโรค ระยะแรกมี
ลักษณะช้ำ ฉ่ำน้ำเป็นปื้น ๆ โดยเฉพาะหัวอ่อน ต่อมาเนื้อหัวจะมีสีคล้ำขึ้นและเน่าเละ เมื่อผ่าหัว ที่เป็นโรคระยะแรก พบส่วน
ท่อน้ำ ท่ออาหารมีลักษณะคล้ำสีม่วงน้ำเงินจางๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในที่สุด และมีเมือกสีขาวข้นของเชื้อซึมออกมาตรงรอย
แผล
ช่วงเวลาระบาด สภาพดินและอากาศชุ่มชื้น
การแพร่ระบาด เชื้อแบคทีเรียเป็นเชื้อที่อาศัยอยู่ในดินได้เป็นเวลานานหลายปี ก่อให้เกิดโรคในแปลงปลูก เมื่อปลูก
โดยใช้หัวพันธุ์ที่ติดเชื้อ แปลงปลูกมีเศษซากพืชที่ติดเชื้อ ดินที่มีเชื้ออยู่แล้ว และมีวัชพืชเป็นพืชอาศัย แล้วแพร่ระบาดไปกับ
เครื่องมือการเกษตร มนุษย์ สัตว์เลี้ยง ลม น้ำชลประทานหรือน้ำฝน โดยเชื้อจะเข้าทำลายทางบาดแผลหรือช่องเปิด ธรรมชาติ
ของพืช นอกจากนี้ยังพบการทำลายของไส้เดือนฝอยที่ช่วยให้การระบาด ของโรคหัวเน่ารุนแรงมากขึ้น สภาพอุณหภูมิ 25-35
องศาเซลเซียส และความชื้นในดินสูง จะทำให้การพัฒนาของโรคเป็น ไปอย่างรวดเร็ว
การป้องกันกำจัด
– ก่อนปลูกพืช ควรเลือกพื้นที่ที่ไม่เคยปลูกพืชอาศัย ของโรคหัวเน่ามาก่อน เช่น พืชตระกูลมะเขือ ตระกูลขิงข่า ตระกูล
ทานตะวัน ฯลฯ ประกอบด้วย พริก มะเขือเทศ ยาสูบ มันฝรั่ง โทรงเทง มะแว้ง งา ขิง ดาวเรือง เป็นต้น
– กำจัดวัชพืชในแปลงก่อนปลูก 3 เดือน และไถดินผึ่งให้แห้งก่อนปลูกอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อกำจัดเชื้อสาเหตุที่อาจอาศัย
อยู่ในวัชพืชและในดิน กรณีที่ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น ข้าว โพด ข้าวฟ่างและข้าว ควรกำจัดวัชพืชในแปลงให้หมด
ในระหว่างการปลูกพืชหมุนเวียน
– ใช้หัวพันธุ์ที่ปลอดโรค
– เมื่อเลือกพื้นที่ปลูกได้แล้ว ควรเก็บตัวอย่างดินในแปลงส่งวิเคราะห์ความ เป็นกรด-ด่างของดิน พร้อมทั้งธาตุอาหารหลัก
และอินทรีย์วัตถุ เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงความเป็นกรด – ด่าง และความอุดมสมบูรณ์ของดิน ค่าความเป็น กรด
ด่างของดินที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 6.5 – 7.0
– ในช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโตให้มั่นตรวจแปลง ถ้าพบต้นที่แสดงอาการเป็นโรคหัวเน่าควรรีบถอนต้นที่เป็นโรค ทำลาย
โดยการเผาทิ้ง พร้อมทั้งขุดดินส่วนนั้นผึ่งแดด และใช้ปุ๋ยยูเรียกับปูนขาวในอัตรา 1 : 10 โรยแล้วผสมคลุกเคล้ากับดิน
– แล้วกลบทิ้งไว้ หรือราดดินบริเวณนั้นด้วยสารละลายคลอรอกซ์เข้มข้น 10 เปอรเซ็นต์ แล้วคลุมด้วยพลาสติกเพื่อกำจัด
เชื้อไม่ให้ลุกลามต่อไป
– ก่อนเข้าแปลงปลูกปทุมมาทุกครั้งให้ทำความสะอาดโดยการแช่รองเท้าในน้ำยาฆ่า เชื้อโรค
– ในช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโต ไม่ควรให้รากพืชเกิดบาดแผลเนื่องจากการใช้ เครื่องมือกำจัดวัชพืช ควรใช้สารกำจัดวัชพืช แทน เพื่อลดบาดแผลที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค
– ภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตควรเก็บเศษต้นปทุมมาให้หมด แล้วเผาทำลาย ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อใน
แปลงปลูก
– แปลงปลูกที่พบการระบาดของโรคหัวเน่า ควรงดการปลูกพืชที่เป็นพืชอาศัยเป็นเวลา 3 ปี และปลูกพืชหมุนเวียน เช่น
ข้าวโพด ข้าว ข้าวฟ่าง แล้วจึงเวียนกลับมาปลูกปทุมมาใหม่ เพื่อลดปริมาณเชื้อที่มีอยู่ในดิน
– ถ้าน้ำที่ใช้รดมีการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรค ควรบำบัดด้วยปูนคลอรีนก่อนใช้
อยากทราบว่า พันธุ์บัวสวรรค์ขาวเตี้ยนี้ มีข้อดีข้อด้อยยังไงครับ
และ พันธุ์บัวสวรรค์ชมพูเตี้ยนี้ มีข้อดีข้อด้อยยังไงอีกครับ
ถูกใจถูกใจ
ข้อมูลเพิ่มเติมขอได้จากสถาบันวิัจัยพืชสวน โทร 02-9405327 และ 02-9405484 หรือค้นเว็บตาม URL ข้างล่างครับ
http://as.doa.go.th/hort/operation/hortResponse/flower%20section/sflower.html
ถูกใจถูกใจ